The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.476 ต้นกำเนิด
EP.476 ต้นกำเนิด
“ไม่เป็นไร องค์หญิงหนิงคงสามารถบอกข้าได้” หลินมู่อวี่เริ่มเข้าหาเฟิงหนิง
เฟิงหนิงอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น นางตอบกลับอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่เคยเห็นเสด็จพ่อและท่านนักปราชญ์ต่อสู้ แต่จอมพลเฉียนเฟิงและเหล่ยฉงแข็งแกร่งมากจนน่าเกรงขาม กระนั้นข้าก็คิดว่าเสด็จพ่อและท่านนักปราชญ์จะต้องแข็งแกร่งกว่าจอมพลทั้งสองมาก”
“โอ้”
หลินมู่อวี่เม้มปากและกล่าวว่า “แล้วสมาชิกเผ่าเทพมีจำนวนเท่าใด? และมีกี่เมืองในภูเขาสูงนั่น?”
“เรามีเมืองเพียงเมืองเดียวซึ่งก็คือเมืองหลวง ส่วนที่เหลือเป็นเมืองและหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กระจัดกระจาย ส่วนจำนวนประชากร…ข้าไม่ค่อยรู้มากนัก เนื่องจากเราตั้งรกรากอยู่หลายแห่ง กระนั้นเผ่าเทพของเราก็มีจอมยุทธ์ระดับสูงนับหมื่น”
“จำนวนนับหมื่น…”
หลินมู่อวี่ตกตะลึงพร้อมเอ่ยถามต่อ “อสูรเกราะเป็นกองกำลังหลักของเผ่าเทพ ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาถูกทำให้เชื่อฟัง ข้าจึงต้องการถามพวกท่านฝึกอสูรเกราะอย่างไร และมีเสบียงอาหารอยู่เท่าใดจึงสามารถหล่อเลี้ยงกองทัพนับแสนเช่นนั้นได้?”
“อืม…” เฟิงหนิงหยิบขนมขึ้นแล้วกล่าวว่า “แท้จริงแล้วอสูรเกราะถูกสร้างขึ้น”
“ถูกสร้าง?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้นเฟิงจิ้งกล่าวแทรกเสียงดัง “หนิงเอ๋อร์หุบปากเจ้าซะ! ห้ามผู้ใดกล่าวถึงอสูรเกราะและอสูรปีก หากเจ้าแพร่งพรายสิ่งนี้แก่มนุษย์ จะถือเป็นการทรยศต่อเสด็จพ่อ เจ้าต้องการเป็นลูกอกตัญญูงั้นรึ?”
เฟิงหนิงตกใจจนน้ำตาเอ่อล้นขณะกล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าจะไม่แพร่งพรายสิ่งใดอีก”
เฟิงจิ้งรู้สึกเสียใจเล็กน้อยก่อนจะกระซิบ “หนิงเอ๋อร์ บางสิ่งเจ้าไม่ควรพูด แม้อีกฝ่ายจะดูเหมือนคนดีก็ตาม”
นางเงยหน้าจ้องมองหลินมู่อวี่
เขายิ้มเล็กน้อยและเข้าใจดีว่าในสายตาเผ่าปีศาจตนเองไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน แต่เป็นเสมือนอาวุธสงครามของจักรวรรดิมนุษย์ และเป็นเทพมรณะสำหรับเผ่าปีศาจ
“เอาล่ะ ข้าจะไม่ถามสิ่งใดกับองค์หญิงหนิงอีก”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืนพร้อมประสานหมัด “ข้ายังมีกิจของวิหารศักดิ์สิทธิ์อีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ เช่นนั้นข้าขอลา องค์หญิงพักผ่อนเถิด แล้วข้าจะมาอีกครั้ง”
“ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้บัญชาการหลิน” เฟิงหนิงกล่าว
หลินมู่อวี่เพียงขมวดคิ้วและหันกลับออกไป
…
กลางดึกภายในสำนักงานผู้นำเงียบสงบ หลินมู่อวี่นั่งอยู่บนเตียงขณะที่ฌานสัมผัสค่อยๆ จมดิ่งเข้าสู่ทะเลจิต เมื่อบินลึกเข้าไปไม่นานก็พบน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปและดาราโซ่เทวะหลับใหลอยู่อย่างเงียบงัน หลังจากลอยลงพื้นเขาร้องเรียกทั้งสอง “ข้ากลับมาแล้ว”
ทันใดนั้นพวกมันตื่นขึ้นมาพร้อมทำท่าดีใจ
หลินมู่อวี่ผายฝ่ามือออก น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปและดาราโซ่เทวะควบแน่นบนฝ่ามือสองข้างพร้อมกัน ขณะนี้วิญญาณยุทธ์ทั้งสองแทบไม่ขัดแย้งกันแล้ว เขาหลับตาลงและสัมผัสพวกเขาด้วยหัวใจ หลอมรวมความทุกข์และความสุขของสองวิญญาณเข้าด้วยกันตามฉินฮั่นสอน จากนั้นค่อยๆ ขยับฝ่ามือเข้าหากัน
“ฟิ้ว”
น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปค่อยๆ หมุนตัวเองขณะที่ดาราโซ่เทวะวนเวียนรอบน้ำเต้าเปล่งประกายแสงสีทอง เมื่อเห็นเช่นนั้นหลินมู่อวี่รู้สึกประหลาดใจยิ่ง ในที่สุดวิญญาณยุทธ์ทั้งสองก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์
แม้ว่าจิตใจหลินมู่อวี่จะไม่มั่นคงเล็กน้อย กระนั้นน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปและดาราโซ่เทวะยังคงอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติราวกับพี่น้อง
“เรียบร้อย”
หลินมู่อวี่หัวเราะ หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็สามารถฝึกฝนการผสานวิญญาณยุทธ์ขั้นแรกสำเร็จ
ขั้นต่อไป…
ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดเป็นการฝึกฝนให้วิญญาณยุทธ์อยู่ในรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่กระบวนการที่ทำได้ง่ายดาย อีกทั้งต้องใช้ความเข้าใจร่วมด้วย
ฌานสัมผัสของหลินมู่อวี่นั่งอยู่ในส่วนลึกของทะเลจิตและแอบใช้กลอุบายเล็กน้อย ทันใดนั้นสุริยันสาดแสงลอยวนรอบกายเขา ขณะที่วิญญาณยุทธ์ทั้งสองพุ่งตัวแยกไปสองทาง ก่อนจะห่อหุ้มฌานของผู้เป็นนายราวกับกำลังเล่นสนุก
หลินมู่อวี่หลับตาลงขณะที่ฌานสัมผัสผ่านเข้าสู่ร่างน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีป เขาลอยตามเส้นเลือดเข้าไปกระทั่งสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเจ็ดประทีปที่พลุ่งพล่านภายใน และยังสามารถสัมผัสถึงพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถอันทรงพลังของน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีป มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างต่อเนื่องและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากวิญญาณยุทธ์อันดับสิบขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
ภายใต้พลังการชำระล้างของขอบเขตปราชญ์ น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม หลังผ่านไปราวสามชั่วโมงแสงสีทองชั้นนอกของน้ำเต้าจางลงไปมาก อีกทั้งใบของมันเล็กลง แม้แต่ดอกก็เริ่มเหี่ยวเฉา ขณะเดียวกันดาราโซ่เทวะเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง ตัวโลหะแข็งหดเล็กลงและผิวสัมผัสกลายเป็นปูน
หลินมู่อวี่ตั้งหน้าตั้งตารอ เขาลืมไปแล้วว่ารูปลักษณ์ดั้งเดิมของวิญญาณยุทธ์ทั้งสองนี้เป็นเช่นไร การฝึกฝนขั้นที่สองของการผสานวิญญาณยุทธ์คือการทำให้ทั้งสองกลับสู่รูปลักษณ์เดิมเพื่อให้มีความเท่าเทียมกันและผสานเข้าด้วยกันง่ายขึ้น การที่ฉินฮั่นสามารถสรรค์สร้างทักษะเช่นนี้ได้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
กลางดึกสงัด พลังสุริยันสาดแสงยังคงลอยวนรอบกายผู้นำวิหารศักดิ์อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่กำลังฝึกยุทธ์
หลินมู่อวี่รู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องฝึกฝนและแสวงหาความแข็งแกร่งเพื่อเพิ่มพลังให้ตนเอง มิฉะนั้นคงไม่สามารถอยู่รอดในโลกนี้ได้ อีกทั้งไม่สามารถปกป้องคนที่เขาห่วงใย ทั้งเฉียนเฟิงและเหล่ยฉงต่างก็มีพลังที่เหนือกว่าเขาขณะนี้ แต่ตามคำพูดของเฟิงหนิง จักรพรรดิปีศาจและนักปราชญ์แข็งแกร่งยิ่งกว่า หากหลินมู่อวี่ฝึกฝนไม่มากพอ คงมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ ท้ายที่สุดด้วยฐานะผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์และผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาดห้าหมื่นนาย ทำให้เผ่าปีศาจต้องการควักหัวใจเขาออกมา เช่นเดียวกับที่จักรวรรดิต้องการควักหัวใจเฉียนเฟิง
…
เช้าตรู่วันต่อมา เสียงไก่ขันดังขึ้นจากด้านหลังวิหาร หลินมู่อวี่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสบายตัว การจมดิ่งในทะเลจิตเพื่อฝึกฝนทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะหลับใหล ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาเขาจึงมีพลังงานอยู่เต็มเปี่ยม วันนี้เขาไม่มีงานที่ต้องทำมากมายอะไรนัก เพียงฝึกซ้อมและออกไปข้างนอกกับฉินอิน
หลังจากล้างหน้า เขาสวมเสื้อและเดินออกไปยังโถงของวิหาร ก่อนจะพบเกอหยางถือม้วนตำราฝึกสอนหน่วยฝึกสัตว์วิญญาณ ขณะที่ครูฝึกอีกหลายคนกำลังช่วยกันสอนตัวต่อตัว เมื่อเห็นหลินมู่อวี่เดินเข้ามา พวกเขาประสานหมัดกล่าวอย่างเคารพ “คารวะท่านใต้เท้า”
หลินมู่อวี่โบกมือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนกำลังตั้งใจฝึกฝน เช่นนั้นกลับไปฝึกกันเถิด ข้าขอตัว”
“ขอรับท่านใต้เท้า!”
การถูกทำความเคารพเช่นนี้ทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกอึดอัด เขาเป็นชายผู้รักอิสระ แต่ตอนนี้กลับอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย หากไม่ใช่เพราะจักรวรรดิต้องการชื่อเสียงและพลังของเขา รวมถึงฉินอินที่ต้องการอำนาจทางทหาร เขาอาจลาออกจากการเป็นผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว
การท่องไปตามแม่น้ำและทะเลสาบ เหม่อมองเมฆบนท้องฟ้าพร้อมเฝ้ามองนกกระเรียนป่า สิ่งเหล่านั้นต่างหากคือชีวิตที่หลินมู่อวี่ต้องการ
…
ภายในตำหนักเจ๋อเทียน ในที่สุดก็ถึงวันที่ฉินอินเฝ้ารอคอย นางสวมชุดสีน้ำเงินเข้มสวยงามพร้อมสวมเสื้อคลุมที่ปักอย่างประณีต ใต้เสื้อคลุมมีตราดอกจื่อยินบนหน้าอก นี่คือเครื่องแต่งกายมาตรฐานของหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลันเยี่ยน ทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่านางคือจักรพรรดินี
“ไปกันเถิด”
หลังจากหลินมู่อวี่มาถึง ฉินอินมอบกิจหน้าที่ภายในตำหนักเจ๋อเทียนให้เสนาธิการจิ้งเยว่เป็นการชั่วคราว ก่อนที่ทั้งสองจะควบม้าเคียงข้างกันไป การที่หลินมู่อวี่เป็นผู้อารักขาจักรพรรดินีด้วยตนเอง ทำให้พวกจางเหว่ยวางใจและยอมปล่อยทั้งสองไปตามลำพัง พร้อมทั้งมอบตั๋วพิเศษสำหรับร้านอาหารหรูหราที่สุดในจักรวรรดิ เขาพลันรู้สึกได้ว่าจางเหว่ยมีเจตนาแอบแฝง ขณะที่ฉินอินเพียงหัวเราะและไม่ได้กล่าวสิ่งใด ไม่แน่ใจว่านางไม่เข้าใจจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่
“พี่อาอวี่ ไปร้านค้าจื่อยินกันก่อนเถิด”
ฉินอินกล่าว “ท่านบรรพบุรุษกล่าวว่า ข้าสามารถทะลวงขอบเขตปราชญ์ได้ แต่ต้องใช้ศิลาวิญญาณอายุมากกว่าหนึ่งหมื่นปีเป็นสื่อนำทาง”
“อื้ม”
…
เมื่อทั้งสองมาถึงร้านค้าจื่อยิน ในตอนแรกจินเสี่ยวถังจำไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านี่คือจักรพรรดินี นางก็ตกตะลึงและรีบทำความเคารพ “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
ฉินอินรีบพยุงนางขึ้นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่ามากพิธีไป ข้ากำลังปลอมตัวออกมาท่องเที่ยว เสี่ยวถังอย่าเปิดเผยตัวตนข้า”
“เพคะฝ่าบาท” จินเสี่ยวถังแลบลิ้นอย่างซุกซน
หลินมู่อวี่กล่าว “ฝ่าบาททรงมีพระราชประสงค์นำศิลาวิญญาณธาตุแสงอายุมากกว่าหนึ่งหมื่นปีเพื่อไปฝึกยุทธ์ ในร้านค้าของเรามีหรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ…” จินเสี่ยวถังกล่าวขอโทษ “เมื่อเร็วๆ นี้จักรวรรดิได้ต่อสู้กับเผ่าปีศาจ ทำให้การออกตามหาศิลาวิญญาณทำได้ยากยิ่งขึ้น ศิลาวิญญาณที่ดีที่สุดในร้านค้าจื่อยินมีอายุเพียงเก้าพันปีเท่านั้น แต่ข้ารู้ว่าคู่แข่งของเราหรือร้านค้าล่ามังกรได้ซื้อศิลาวิญญาณมาจากจักรวรรดิอี้เหอสองสามก้อนซึ่งมีอายุมากกว่าหนึ่งหมื่นปี บางที…เสี่ยวถังสามารถพาท่านไปดูเพื่อขอซื้อได้”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าและหันมอง ร้านค้าล่ามังกรดำเนินการโดยพานติงเถียนและเป็นของตระกูลถัง เดิมทีร้านค้าทั้งสองเป็นคู่แข่งการค้าที่สำคัญ แต่ฉินอินต้องการศิลาวิญญาณอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น แน่นอนว่าพานติงเถียนจะต้องทำหน้าตาบูดบึ้ง แม้ว่าจะไม่ควรทำก็ตาม ตามกฎการค้าขาย การซื้อขายโดยตรงเป็นสิ่งที่ดีเสมอ
…
จากนั้นทั้งสามจึงออกจากร้านค้าจื่อยิน เมื่อเลี้ยวที่หัวมุมหนึ่งพวกเขาพบอาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มันคือร้านค้าล่ามังกร ซึ่งปัจจุบันที่ร้านค้าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลันเยี่ยน
“เข้าไปกันเถิด”
เมื่อหลินมู่อวี่ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวขององครักษ์มังกรเดินเข้าไปพร้อมจินเสี่ยวถังและฉินอิน ทำให้ทหารรักษาการณ์ต่างตกตะลึง แม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นใบหน้าของหลินมู่อวี่ แต่พวกเขารู้จักดาวสามดวงที่ติดอยู่บนหน้าอกดี ซึ่งมันบ่งบอกถึงผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิ ชายผู้มียศทหารสูงและยังดูอ่อนเยาว์…ทุกคนต่างสามารถคาดเดาได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นใคร
……….……….……….……….