The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.477 ความยิ่งใหญ่ของหญิงสาว
EP.477 ความยิ่งใหญ่ของหญิงสาว
“เสี่ยวถัง…”
เด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในของร้านค้าล่ามังกร นางคือพานจื่ออีลูกสาวของพานติงเถียน หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของร้านค้าล่ามังกร
“จื่ออี เป็นอย่างไรบ้าง?” จินเสี่ยวถังยกยิ้มให้เพื่อนของเขา
พานจื่ออีกล่าวตอบ “ก็ดี เหตุใดจู่ๆ จึงมาร้านค้าล่ามังกรเล่า?”
หลังจากเหลือบไปเห็นหลินมู่อวี่ นางจึงรีบแสดงความเคารพทันที “พานจื่ออี คารวะท่านผู้บัญชากการหลินเจ้าค่ะ”
“อืม” หลินมู่อวี่ยกยิ้มจาง
พานจื่ออีหันไปมองฉินอินก่อนพึมพำ “ท่านคือ…”
“เพื่อนข้าเอง” หลินมู่อวี่รีบกล่าวตอบแทนฉินอิน “เรามาร้านค้าล่ามังกรเพื่อหาซื้อศิลาวิญญาณเก่าแก่ แม่นางจื่ออีโปรดพาเราไปดูหน่อยเถิด”
“ยินดีเจ้าค่ะ เชิญทางนี้”
“อืม”
หลังจากเดินเข้ามาสักครู่หนึ่ง พวกเขาก็มาถึงส่วนด้านในของร้านค้าล่ามังกร ซึ่งมีทหารคอยรักษาการณ์ร้านค้าศิลาวิญญาณอย่างใกล้ชิด แม้จะมีขนาดเล็กจิ๋วแต่มันก็มีค่ามาก ดังนั้นร้านศิลาวิญญาณในร้านค้าล่ามังกรแห่งนี้จึงได้รับการคุ้มกันจากทหารรับจ้างทั้งภายในและภายนอกเพื่อความปลอดภัยของสินค้าและผู้ขาย
…
“ยินดีต้อนรับท่านจื่ออี” เจ้าของร้านร่างท้วมก้าวออกมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้มีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลืองั้นหรือ?”
พานจื่ออียกยิ้มก่อนกล่าว “ข้าพาเพื่อนๆ มาเลือกศิลาวิญญาณ พ่อค้าโอหยางร้านของท่านมีศิลาวิญญาณชั้นยอดชนิดใดบ้าง? อย่าคิดซ่อนของดีไว้เชียว”
“ฮ่าๆ ไม่มีทางขอรับ”
โอหยางชี้ไปยังตู้ด้านหลังของเขาก่อนกล่าวออก “ร้านของเรามีศิลาวิญญาณอายุกว่าหมื่นปีสองก้อนและศิลาวิญญาณอายุกว่าเจ็ดพันปีอีกสิบเอ็ดก้อน ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการศิลาวิญญาณแบบใดขอรับ?”
หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “ศิลาวิญญาณอายุกว่าหมื่นปีเป็นศิลาวิญญาณชนิดใด?”
“ก้อนหนึ่งเป็นศิลาวิญญาณอัคนีจากหมาป่าเพลิงอายุหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยปี ส่วนอีกก้อนเป็นศิลาวิญญาณอรุณจากอสูรแสงอายุหมื่นสองพันปีขอรับ”
“อสูรแสงอายุหมื่นสองพันปีงั้นรึ?” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “เท่าที่ข้ารู้ อสูรแสงเป็นสัตว์วิญญาณหายาก และอสูรแสงที่อายุมากกว่าหมื่นปีเช่นนี้ยิ่งหายากไปอีก ผู้ที่ล่ามันได้คงแข็งแกร่งมิน้อย”
พ่อค้าโอหยางยกยิ้ม “นายท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ อสูรแสงตนนี้ไม่ได้ถูกมนุษย์ฆ่าแต่อย่างใด ว่ากันว่ามันถูกฟ้าผ่าตายตกที่ภูเขาลึกในมณฑลหลิงหนาน สี่ปีให้หลังถึงมีนายพรานไปพบร่างเน่าเปื่อยของมันเข้า เขาตัดหัวของมันและพบกับศิลาวิญญาณก้อนนี้ ทว่ากลับไม่รู้ค่าและขายมันไปในราคาเพียงหนึ่งพันเหรียญทอง ศิลาถูกนำมาเก็งกำไรในมณฑลหลิงหนานสูงถึงห้าหมื่นเหรียญ ท้ายที่สุดคนของร้านค้าล่ามังกรก็ไปซื้อมันมาได้ในราคาแปดหมื่นเหรียญทองขอรับ”
“แปดหมื่นเหรียญ…” หลินมู่อวี่ยิ้มก่อนเอ่ยถาม “เช่นนั้นศิลาวิญญาณก้อนนี้มีราคาขายเท่าใด?”
“คนของเราต้องขึ้นเรือขึ้นเกวียนหลายต่อ อีกทั้งยังถูกทหารรับจ้างฆ่าตายตกไปหลายร้อยคนเพื่อนำศิลาวิญญาณก้อนนี้มา ทางเราต้องจ่ายเหรียญทองจำนวนมากเพื่อเป็นเงินบำนาญและค่าชดใช้ให้แก่ครอบครัวผู้ตาย เช่นนั้น…” โอหยางยิ้ม “เห็นแก่ท่านจื่ออี ข้าจะขายเพียงสองแสนเหรียญทองเท่านั้นขอรับ”
“สองแสนเหรียญทองงั้นรึ…” ฉินอินขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงแพงนัก? ไม่ใช่ว่าศิลาวิญญาณอายุหมื่นสองปีจะมีราคาราวห้าหมื่นรึ?”
โอหยางประสานหมัดพร้อมยกยิ้ม “แม่นางผู้นี้อาจไม่รู้ว่าศิลาวิญญาณอสูรแสงนั้นหายากเพียงใด ตัวศิลาวิญญาณเองก็หายากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับศิลาที่ต้องแก่งแย่งซื้อมาจากมณฑลหลิงหนาน ราคาของมันจึงสูงกว่าศิลาวิญญาณทั่วไป ทุกท่านคงทราบดีว่ามณฑลหลิงหนานปิดกำแพงเหล็กไปแล้ว คนของเราต้องใช้เงินหลายหมื่นเหรียญในการสร้างสัมพันธ์เพื่อซื้อศิลาวิญญาณก้อนนี้มาขอรับ”
หลินมู่อวี่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวคำออก “หนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญทองเป็นราคาที่เหมาะสม หากท่านตกลง ข้าจะซื้อมัน”
“เอ่อ…” เจ้าของร้านโอหยางเผยความไม่พอใจออก
จินเสี่ยวถังยกยิ้มเล็กน้อย “ศิลาวิญญาณขายได้ในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญถือเป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าแล้ว ท่านยังได้กำไรอีกมากมาย หากราคานี้ยังไม่สมเหตุสมผล ข้าเกรงว่าท่านอาจกำลังตั้งใจทำให้เรื่องมันยากโดยใช่เหตุ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ” โอหยางกล่าวด้วยความเคารพ “ข้าเป็นเพียงพ่อค้าทำธุรกิจ หาได้มีนิสัยร้อยเล่ห์เช่นนั้นไม่ หากแต่ข้าเกรงว่าเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญทองอาจไม่พอคืนทุนขอรับ”
“ไม่พอคืนทุนรึ?”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วพร้อมกล่าว “ข้าเคยเดินทางไปยังจักรวรรดิอี้เหอ แม้พวกเขาจะปิดกำแพงเหล็ก แต่เหล่าพ่อค้าก็สามารถจ่ายค่าผ่านทางเข้าไปได้ในราคาเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญเท่านั้น ข้าหวังว่าท่านคงไม่ได้เสนอราคาที่สูงถึงเพียงนั้นเพราะเห็นเราต้องการมัน”
“ฮ่าๆ ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ” โอหยางยิ้มตอบทว่าเขาก็ไม่อยากลดราคาให้
ขณะนั้นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากระยะไกล ผู้นำของคนเหล่านั้นอยู่ในชุดผ้าทอหรูหราและมีอายุราวห้าสิบปี ใบหน้าแดงก่ำกล่าวออก “เกิดเหตุอันใดขึ้น? เสียงดังโวยวายนัก”
เจ้าของร้านโอหยางรีบกล่าวออกอย่างนอบน้อม “นายท่านพานนี่เอง”
เขาคือพานติงเถียน ผู้ดูแลอันดับหนึ่งของร้านค้าล่ามังกร
“จื่ออี เกิดเหตุอันใด?” พานติงเถียนขมวดคิ้ว
พานจื่ออีกล่าวตอบด้วยความเคารพ “เสี่ยวถังนำแขกสองท่านนี้มาซื้อศิลาวิญญาณอสูรแสงอายุหมื่นสองพันปีเจ้าค่ะท่านพ่อ ทว่าเจ้าของร้านโอหยางเสนอขายในราคาสูงถึงสองแสนเหรียญจึงไม่สามารถตกลงกันได้”
“โอ้”
เมื่อพานถิงเตียนเหลือบไปเห็นยศทหารบนบ่าของหลินมู่อวี่ เขาประสานหมัดพร้อมกล่าวด้วยความเคารพทันที “ท่านผู้บัญชาการ...ดูจากอายุ ท่านคงเป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนใช่หรือไม่ขอรับ?”
หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนกล่าว “ข้าเคยพบท่านพานมาก่อน”
พานถิงเตียนกล่าวคำออก “ท่านหลินต้องการศิลาวิญญาณอสูรแสงอายุหมื่นปีหรือขอรับ?”
“ใช่ ทว่าราคาสองแสนเหรียญนั้นแพงเกินไป คู่ค้าของท่านจึงอยากขอลดราคาสักหน่อย”
“ฮ่าๆ” พานติงเถียนกล่าว “ไม่กี่ปีมานี้เกิดสงครามขึ้นมากมาย อีกทั้งเหล่าจอมยุทธ์ยังคงฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ปริมาณและคุณภาพของศิลาวิญญาณที่เราหาได้จึงลดลงอย่างมาก ซึ่งทำให้ราคามันสูงขึ้น ข้าเกรงว่าราคานี้คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว หากท่านผู้บัญชาการหลินไม่สามารถจ่ายได้ก็ลืมมันไปเถิดขอรับ”
เขากล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการคนโปรดขององค์จักรพรรดินี อีกทั้งยังเป็นผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ เงินเพียงเท่านี้คงไม่สะเทือนขนหน้าแข้ง”
นอกจากร้านค้าล่ามังกรจะเป็นทรัพย์สินของเมืองชีไห่และพังเถียนติง มันต้องเป็นของถังหลานด้วยแน่
พานจื่ออีขมวดคิ้วทว่าไม่ได้กล่าวคำใด
หลินมู่อวี่มองพานติงเถียนก่อนยกยิ้มจาง “พานติงเถียน นี่ท่าน...กำลังต่อต้านข้างั้นรึ?”
“ข้าไม่บังอาจทำเช่นนั้นหรอกขอรับ”
พานถิงเตียนประสานหมัดพร้อมกล่าว “ข้าเป็นเพียงพ่อค้าที่ต้องทำธุรกิจ ผู้บัญชาหลินโปรดอภัยให้ข้าด้วย แท้จริงแล้วเราไม่อาจขายศิลาวิญญาณนี้ให้แก่ท่านได้เนื่องจากร้านค้าล่ามังกรและร้านค้าจื่อยินต่างไม่ถูกกัน ทางเรามีกฎไม่ให้ขายสินค้าใดๆ แก่ร้านค้าจื่อยินมาเนิ่นนานแล้ว หากแต่ข้าก็ยอมขายศิลาวิญญาณนี้เพราะเห็นแก่ท่าน”
“ร้านค้าล่ามังกรช่างโอหังนัก”
ดวงตาของฉินอินฉายแววโกรธเคืองเล็กน้อย นางกล่าวออก “ท่านก็ทราบดีไม่ใช่หรือว่าร้านค้าจื่อยินเป็นธุรกิจขององค์จักรพรรดินี ท่านหลานกงเป็นผู้สั่งให้ออกกฎเช่นนี้หรืออย่างไร?”
พานถิงเตียนหัวเราะ “แม่นางผู้นี้อารมณ์ร้อนนัก ข้าหาหมายความเช่นนั้นไม่”
ขณะนั้น เสียงอันหยิ่งทะนงดังมาจากระยะไกล “โอ้ นั่นผู้บัญชาการหลินรึ?”
ถังลู่เดินเข้ามา
อาจเพราะหลินมู่อวี่บังตัวฉินอินไว้ถังลู่จึงไม่สังเกตเห็นใบหน้าของนาง เขายกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า “เหตุใดผู้บัญชาการหลินยังถามเรื่องร้านค้าล่ามังกรของเราอีกล่ะ ฮ่าๆ เช่นนั้นสหายคนนี้จะบอกให้ พานถิงเตียนฟังข้าให้ดีล่ะ ไม่ว่าหลินมู่อวี่จะซื้อสิ่งใดจากร้านค้าล่ามังกร ราคาของสินค้าจะเพิ่มเป็นสองเท่า ศิลาวิญญาณก้อนนี้ราคาสี่แสนเหรียญ หากเขาไม่สามารถจ่ายได้ก็ไม่ต้องขาย”
หลินมู่อวี่โกรธจนตัวสั่น สรุิยันสาดแสงค่อยๆ พวยพุ่งออกจากร่างกายอย่างเชื่องช้า
“เจ้ากล้าทำร้ายผู้อื่นงั้นรึ?”
ถังลู่กล่าวออกอย่างเย้ยหยัน “เมืองหลันเยี่ยนมีกฎหมาย หากเจ้ากล้าทำร้ายคนของร้านค้ามังกรล่ะก็…หึ ข้าเกรงว่าจักรพรรดินีก็คงไม่อาจช่วยเจ้าได้”
“งั้นรึ?”
เสียงของฉินอินดังมาจากด้านหลังของหลินมู่อวี่ นางค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมสีดำออกจากศีรษะ ใบหน้าสวยเหลือบมองถังลู่ก่อนกล่าวคำเบา “ท่านถังลู่แลดูมีอำนาจเสียจริง”
ถังลู่ตัวสั่นเทา เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น “ถะ…ถังลู่ ถวายบังคัมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
จากนั้นพานถิงเตียน พานจื่ออีและโอหยางต่างรีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว เหล่าทหารรักษการณ์บริเวณนั้นพากันคุกเข่าพร้อมกล่าวออกอย่างพร้อมเพรียง “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฉินอินกล่าวออกด้วยสายตาเยือกเย็น “ถังลู่ เจ้ากระทำความผิดโดยจงใจกล่าวเย้ยหยันหลินมู่อวี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ถังลู่เนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว “กะ…กระหม่อมไม่ทราบว่ากระหม่อมทำความผิดอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินกล่าวออกอย่างเด็ดขาด “หลินมู่อวี่เป็นผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิ อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพสูงสุด ผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์และเพิ่งได้รับการขนานนามเป็นหยุนหลิงโหว เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบ้างเลยหรืออย่างไร หากไม่เห็นแก่หน้าท่านหลานกง เจ้าต้องถูกผู้บัญชาการหลินสังหารด้วยมีดดาบตามกฎหมายของจักรวรรดิแล้ว”
ถังลู่หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด “ข้าแต่ฝ่าพระบาท…กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยด้วย…”
“หึ”
ดวงตาของฉินอินฉายแววสงบทันทีที่คิดได้ว่าระบบเทศมณฑลและกองกำลังแผ่นดินยังต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากถังหลาน นางยกยิ้มเล็กน้อย “ลืมมันไปซะ อย่างไรเสียผู้บัญชาการหลินคงไม่ถือสาเจ้า ถังลู่ ร้านค้าล่ามังกรแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้างั้นรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ…”
“เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มอบศิลาวิญญาณอสูรแสงนี้ให้แก่ข้าเพื่อแสดงความจงรักภักดีของเจ้าล่ะ?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นำศิลาวิญญาณออกมาถวายแด่องค์จักรพรรดินี!” ถังลู่กล่าวออกด้วยใบหน้าซีดเซียว “จักรวรรดิฉินแห่งนี้เป็นของพระองค์…นับประสาอะไรกับศิลาวิญญาณก้อนเล็กเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ…”
หลินมู่อวี่ยกยิ้มพร้อมกล่าวออกอย่างอ่อนโยน “ถังลู่ นายน้อยตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่…รู้จักกาลเทศะแล้วสินะ”
…………………………………..