The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.479 โอสถปลุกเทพ
EP.479 โอสถปลุกเทพ
หลังจากปรุงโอสถฝันคืนสู่สูงสุด ชวีฉู่กล่าวอย่างมีความสุข “อาอวี่ หากเจ้ามีสูตรลับดีๆ บอกเล่าปู่บ้าง อย่าคิดปิดบัง”
หลินมู่อวี่กล่าว “ท่านปู่ชวีฉู่คงไม่ได้คิดว่าแย่งตำแหน่งผู้นำสมาพันธ์โอสถของพี่ฉู่เหยาใช่หรือไม่?”
“ฮ่าๆ”
ชวีฉู่กล่าว “การเป็นผู้นำช่างเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย มีเพียงแม่นางฉู่เหยาและตาเฒ่าเหล่ยหงเท่านั้นที่หลงใหลสิ่งนี้ ส่วนข้านั้นไม่มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงต้องการปรุงโอสถที่ไม่เคยมีใครคิดค้นมาก่อน หากเจ้ามีสูตรลับอะไรก็บอกข้าซะ ไม่ว่าจะต้องข้ามภูเขาหรือแม่น้ำเพื่อไปหาวัตถุดิบก็ตาม”
“โอ้ เช่นนั้น…นำกระดาษและปากกาเหล็กมากให้ข้า”
“ขอรับ” องครักษ์อวี้หลินพยักหน้ารับ
ไม่นาน ปากกาเหล็ก หมึก และกระดาษก็ถูกยกมา หลินมู่อวี่ไม่รีรอวางกระดาษลงพื้นและจรดปากกาเหล็กเขียนสูตรปรุงโอสถให้แก่ชวีฉู่
โอสถทลายเมฆาระดับแปด หรือที่รู้จักกันดีสำหรับโอสถที่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ ผสมหิ่งห้อยโลหิต ไขลำไส้มังกร และโสมโลหิตในอัตราส่วนเจ็ดต่อสิบสี่ต่อสิบหก แช่ทิ้งไว้หนึ่งวัน
โอสถเวทมนตร์เยือกแข็งระดับเก้า ทำให้ศัตรูเกิดอาการประสาทหลอน ผสมผงเขาฉีหลินและน้ำไผ่หนานเทียนในอัตราสี่ต่อหก จากนั้นกลั่นด้วยเปลวไฟ
โอสถปลุกเทพระดับเก้า เพิ่มโอกาสหนึ่งส่วนสามให้แก่ผู้ใช้ในการทำความเข้าใจวิญญาณยุทธ์ ผสมโลหิตคลั่งและหญ้าหม่อนในอัตราห้าต่อห้า จากนั้นทำให้ระเหยด้วยไฟ
โอสถหลอมเทพระดับสิบ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังศักดิ์สิทธิ์ ผสมผงเขามังกรประทีป โลหิตคลั่ง และหญ้าสมานจิตในอัตราเจ็ดส่วนสองต่อหนึ่ง จากนั้นกลั่นด้วยเปลวไฟ
…
ชวีฉู่ตะลึงงัน แม้แต่ฉินอินก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง สูตรที่หลินมู่อวี่เขียนขึ้นมาล้วนเป็นโอสถในตำนานที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไม่จริงใช่ไหม…” ชวีฉู่กล่าวอย่างมึนงง “เจ้ารู้แม้กระทั่งโอสถในตำนานที่หายสาบสูญไปหลายพันปี”
“ตราบใดที่รู้ส่วนผสมก็สามารถปรุงขึ้นมาได้อีก” หลินมู่อวี่กล่าว “น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้พบเห็นสัตว์ร้ายโบราณอย่างมังกรประทีปและโลหิตคลั่งอีกแล้ว ทำให้ไม่มีทางได้ส่วนผสมนี้มา แม้จะรู้สูตรการปรุง แต่ก็ไร้ประโยชน์”
ชวีฉู่รีบนำกระดาษมาถือไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าพร้อมกล่าวว่า “ฉิงฉี…ข้าโชคดีที่เคยพบอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ขณะนั้นข้ายังไม่มีพลังยุทธ์มากนักจึงไม่กล้าท้าทายมัน แต่ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว กระนั้น…โอสถปลุกเทพจะมีประโยชน์ใดหรือไม่?”
“มีแน่นอน”
หลินมู่อวี่พยักหน้ากล่าว “ท่านปู่ชวีฉู่คิดว่ามีนายพลกี่คนในจักรวรรดิที่ไม่สามารถเข้าใจวิญญาณยุทธ์บรรพบุรุษของพวกเขา? อีกทั้งมันยังสามารถช่วยปลุกพลังในกายของผู้ที่ไม่เคยมีวิญญาณยุทธ์หรือผู้ที่สิ้นหวังในการฝึกวิชาโดยไร้ซึ่งวิญญาณยุทธ์ โอสถปลุกเทพนี้จะเป็นโอกาสเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล”
“ยอดเยี่ยม”
ชวีฉู่พับกระดาษลงถุงสรรพสิ่งก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท กระหม่อมจะเข้าไปยังป่าลึกอีกครั้ง ส่วนเมืองหลันเยี่ยน...คงต้องรบกวนองค์จักรพรรดิฉินฮั่นและฝ่าบาทชั่วคราว”
“ท่านอาวุโสชวีฉู่ต้องการเสาะหาวัตถุดิบเพื่อปรุงโอสถหรือ?” ฉินอินเอ่ยถาม
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชวีฉู่กระซิบ “นี่เป็นความฝันที่กระหม่อมต้องการมาทั้งชีวิต”
ฉินอินอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านชวีฉู่อาศัยอยู่นอกเมือง เสี่ยวอินต่างหากที่กักขังท่านไว้ในตำหนักเจ๋อเทียนด้วยความเห็นแก่ตัว ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมของเมืองหลันเยี่ยนถือว่ามั่นคง เช่นนั้นท่านชวีฉู่ไม่ต้องกังวลและสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ที่ท่านต้องการ ท่านบรรพบุรุษจะเป็นผู้ดูแลเมืองช่วงที่ท่านไม่อยู่เอง ข้าเชื่อว่าคงไม่มีผู้ใดกระทำการร้ายเป็นแน่”
“กระหม่อมคิดอย่างนั้นเช่นกัน…ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ชวีฉู่ทำความเคารพอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนตบไหล่หลินมู่อวี่พร้อมกล่าวว่า “ปู่จะออกไปท่องยุทธภพสักเล็กน้อย อีกราวครึ่งปีข้าจะกลับมา”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ท่านปู่ระวังตัวให้ดี ข้าหวังว่าท่านจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวะโดยเร็ว หากท่านพบโลหิตคลั่งและไม่สามารถปรุงโอสถปลุกเทพได้ อย่าลืมนำเลือดของมันกลับมาให้ข้าปรุงมันเอง”
ชวีฉู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้าเด็กนี่ดูถูกปู่เกินไป เอาล่ะ ข้าคงต้องขอตัว เจ้ารอฟังข่าวดีจากปู่ได้เลย อีกอย่าง…หากข้าปรุงโอสถปลุกเทพได้ แม่นางฉู่เหยาสามารถรับรองข้าเป็นเทพโอสถได้หรือไม่?”
“ไม่ได้”
หลินมู่อวี่ส่ายหัว “โอสถปลุกเทพเป็นโอสถระดับเก้า ท่านจะต้องปรุงมันให้ได้ในระดับสองหรือสูงกว่าเพื่อได้การรับรองเป็นราชาโอสถ และหากปรุงโอสถระดับสิบให้ได้ประสิทธิภาพสูงกว่าระดับสองจึงจะได้การรับรองเป็นเทพโอสถ ท่านปู่คิดว่าการเป็นเทพโอสถนั้นง่ายดายราวกับเดินบนถนนหรือ?”
“พระเจ้า…”
ชวีฉู่โบกมือ “เวลาไม่รอท่า ข้าจะออกเดินทางทันที”
“เดินทางปลอดภัยขอรับ”
หลินมู่อวี่และฉินอินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับท่าทีของชวีฉู่ที่กำลังออกจากตำหนักฝึกตน
…
วันรุ่งขึ้นฉินอินประกาศใช้ ‘ระบบเทศมณฑลและเขต’ และ ‘ระบบกองกำลังแผ่นดิน’ ในจักรวรรดิ แม้ถังหลานและซูมู่หยุนจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่นางแก้ปัญหาโดยการแต่งตั้งทั้งสองขึ้นเป็นราชาแห่งอวิ้นจงและราชาแห่งชีไห่ ซึ่งทำให้พวกเขาเสียอำนาจการควบคุมมณฑลหลัก แต่เพื่อเป็นการชดเชย นางเลื่อนตำแหน่งให้ถังลู่และถังเทียนอีกครั้ง ในตำแหน่งหลิงเป่ยโหวและหลิงซี่โหว
ในวันเดียวกัน ภายใต้การคุ้มกันพิเศษ พระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดินีได้ถูกส่งไปยังหน่วยงานราชการของมณฑลชีไห่ มณฑลอวิ้นจง มณฑลหลิงเป่ย มณฑลชางหนาน มณฑลดารา และมณฑลเทียนชู่ กองกำลังแผ่นดินจะเริ่มดำเนินการทันที และวิหารศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งจะเริ่มรับสมัครผู้แข็งแกร่งเพื่อจัดตั้งกองทัพของจักรวรรดิ
ช่วงบ่าย ทหารม้าหนักนำองค์หญิงปีศาจเฟิงจิ้งไปยังกำแพงเหล็ก ขณะที่เจิ้งอี้ฝานนำทหารกองทัพเสินเวยไปยังจักรวรรดิอี้เหอเป็นการส่วนตัว ส่วนหลินมู่อวี่นำทหารม้าหนักกองทัพมังกรผงาดหนึ่งหมื่นนายซึ่งนำโดยจางเหว่ยติดตามไป
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่หลินมู่อวี่ขี่ม้าฝึกฝนภายใต้สภาวะหลับใหลเพื่อค้นหาต้นกำเนิดวิญญาณยุทธ์ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง โดยมีเว่ยโฉว ซือตู่เซิน ซือตู่เฉว่ และคนอื่นๆ คอยอารักขาอยู่ด้านข้าง
…
สิบวันถัดมา ภายในส่วนลึกของทะเลจิตน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปไม่มีรูปลักษณ์เดิมอีกต่อไป หลินมู่อวี่มองเห็นเพียงต้นอ่อนสีเขียวที่กำลังเติบโตในดิน ส่วนดาราโซ่เทวะเปลี่ยนรูปร่างเช่นกัน มันกลายเป็นเพียงเศษแร่เปล่งแสงสีทองจางๆ
“นี่คือต้นกำเนิดหรือ?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงคำพูดฉินฮั่นที่กล่าวถึงระดับการผสาน เขาพลันรู้สึกไม่วางใจเล็กน้อยและสัมผัสได้แผ่วเบาว่านี่ยังไม่ใช่ต้นกำเนิดของน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีป อย่างไรก็ตามเขาคงต้องใช้เวลาเพื่อกะเทาะบางสิ่งออกจากเปลือก
เช่นนั้นจงฝึกฝนต่อไป
การเจรจานอกกำแพงเหล็กเป็นไปอย่างราบรื่น จักรวรรดิส่งมอบเฟิงจิ้งกลับคืน ขณะที่เผ่าปีศาจแลกเปลี่ยนด้วยเหรียญเทวนครหนึ่งร้อยเกวียนและเหรียญผลึกอสูรหนึ่งเกวียนให้แก่จักรวรรดิ ซึ่งหลินมู่อวี่จะเป็นผู้ดูแลเงินแลกเปลี่ยนทั้งหมด เจิ้งอี้ฝานไม่ได้สนใจนัก…ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจอำนาจหรือเงินตราใดเลยหลังจากกลับมายังจักรวรรดิ ด้วยเหตุนี้จักรพรรดินีจึงไว้วางใจให้ทำการใหญ่
จากนั้นเกวียนบรรทุกเหรียญเทวนครถูกส่งเข้าไปในกำแพงเหล็กช่วงเย็น
หลินมู่อวี่ออกคำสั่งให้เดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นเพื่อขนเหรียญเทวนครไปยังเมืองหลันเยี่ยน เหรียญเหล่านี้ไม่สามารถนำไปใช้หมุนเวียนในจักรวรรดิได้เนื่องจากเป็นสกุลเงินของเผ่าปีศาจ กระนั้นเหรียญเทวนครล้วนทำจากทองคำ เขาจึงจะนำมันไปหลอมและผลิตเหรียญทองคำของจักรวรรดิขึ้น หลินมู่อวี่ถือเหรียญผลึกอสูรภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านจากเหรียญ มันไม่ใช่หินธรรมดา แต่เป็นหินพลังงานชนิดหนึ่ง เขาพลันมีความคิดที่จะยึดเหรียญเหล่านี้ทั้งหมดไว้กับตนเอง
แต่เมื่อนึกถึงฐานะผู้บัญชาการของจักรวรรดิและหนึ่งในองค์ชายของตน…เขาคงต้องล้มเลิกความคิดเหล่านั้น เนื่องจากต้องรักษาภาพพจน์ไว้
…
วันถัดมา หลินมู่อวี่ฝึกฝนตลอดทางกลับเมืองหลวง เขาลองใช้วิธีการทางจิตใจที่ฉินฮั่นสอนในการกระตุ้นต้นกำเนิดของวิญญาณยุทธ์ให้คืนสู่ธรรมชาติ กระบวนการนี้ใช้เวลานานและค่อนข้างเจ็บปวด
กระทั่งหนึ่งวันก่อนถึงเมืองหลันเยี่ยน การฝึกเริ่มแสดงผลสัมฤทธิ์
ภายในส่วนลึกของทะเลจิต ต้นอ่อนน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปหายไป เมื่อหลินมู่อวี่ขุดลงไปในดิน เขาพบเมล็ดพืชที่ส่องสว่างสีทองจางๆ ราวกับมาจากสรวงสวรรค์ น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปนั้นจะต้องไม่ใช่น้ำเต้าเขียวธรรมดาอย่างแน่นอน
หลินมู่อวี่รู้สึกปีติยิ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ดาราโซ่เทวะกลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม ซึ่งเป็นเพียงหินสีเทาด้าน เมื่อนำเมล็ดน้ำเต้าและหินด้านมารวมกัน เขาสัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจจากวิญญาณยุทธ์ทั้งสองที่มีให้แก่กันราวกับกำลังพูดว่า ‘เจ้าเคยเป็นเช่นนี้เองหรือ’
เวลาผันผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาสามารถบรรลุการผสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สองอย่างสมบูรณ์
ต่อไปจะต้องฝึกฝนขั้นที่สาม
…
เมื่อหลินมู่อวี่จมดิ่งเข้าสู่ทะเลจิตอีกครั้ง วิญญาณยุทธ์ทั้งสองได้กลับสู่สภาพเดิม น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปที่มีกิ่งก้านอุดมสมบูรณ์ ขณะที่ดาราโซ่เทวะเปล่งประกายสีทองสวยงาม การฝึกขั้นที่สามทำให้ทั้งสองเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์…แต่สภาวะสมบูรณ์แบบของพวกมันคืออะไร?
ตอนเย็น ฉินอินจัดงานเลี้ยงในตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อเป็นเกียรติแก่หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง เซี่ยงอวี้ ถังหลาน ซูมู่หยุน ซูอวี่ เหยาหยวน และขุนนางคนสำคัญอื่นๆ หลังจากดำเนินการระบบเทศมณฑลและเขตในจักรวรรดิแล้ว ส่วยของปีนี้จากเทศมณฑลและเขตกลุ่มแรกมาถึงเมืองหลันเยี่ยนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ใบหน้าของเจ้าหน้าที่สำนักทหารและพลเรือนเปี่ยมไปด้วยความสุขจนหน้าแดงก่ำ
กระนั้นฉินอินสั่งจัดตั้ง “หน่วยควบคุม” ขึ้นมาในสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงเพื่อดูแลรายได้และค่าใช้จ่ายของสำนักทหารและพลเรือน กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นๆ ทำให้เมืองหลันเยี่ยนมีเงินส่วนกลางมากขึ้น หากขุนนางคนใดรับสินบนจะถูกลงโทษสถานหนัก แม้ทุกคนจะไม่พอใจกับกฎนี้ แต่ก็ทำได้เพียงเชื่อฟังเท่านั้น
…
หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยง หลินมู่อวี่กลับวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อพักผ่อน ก่อนจะเดินทางไปยังตำหนักฝึกตนในวันถัดไปเพื่อรับคำสอนของฉินฮั่น
ฉินฮั่นเป็นจักรพรรดิผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นรองจากฉินอี้เท่านั้น เขาช่วยเหลือหลินมู่อวี่และฉินอินในการฝึกยุทธ์มาก ซึ่งเห็นได้จากพัฒนาการของหลินมู่อวี่ในการฝึกผสานวิญญาณยุทธ์ และฉินอินที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ ฉินอินจึงได้ส่งสารขนนกเชิญถังเสี่ยวซีกลับเมืองหลวงเพื่อเข้ารับการสั่งสอนจากฉินฮั่นด้วยกัน
……….……….……….……….