The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.480 ข่าวลือ
EP.480 ข่าวลือ
เพียงพริบตาเวลาล่วงเลยไปกว่าสามเดือน ถือเป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้วที่หลินมู่อวี่ติดตามฉินฮั่นเพื่อเรียนรู้การผสานวิญญาณยุทธ์ ท้ายที่สุดเขาก็สามารถพัฒนาน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปและดาราโซ่เทวะให้บรรลุถึงขั้นสูงสุดได้ภายในสามเดือน วิญญาณยุทธ์ทั้งสองแกร่งกล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อบรรลุถึงขั้นสูงสุดจึงสามารถอธิบายได้ด้วยสามคำที่เหมาะสม ซึ่งก็คือใหญ่โต สว่างไสวและแข็งแกร่ง
…
“วิ้ง”
ณ ก้นบึ้งทะเลจิต น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า ผิวของมันเต็มไปด้วยอักขระสีทองที่ยากจะเข้าใจราวกับภาษาของทวยเทพ โดยปกติน้ำเต้าเจ็ดอมตะเจ็ดประทีปจะหมุนวนด้วยพายุที่ทำให้ดวงดาวบนฟ้าถูกดึงดูดจนบิดเบี้ยว ทว่าบัดนี้พลังขั้นสูงสุดของมันราวกับจะดูดกลืนโลกและสวรรค์เข้าไปจนหมดสิ้น รัศมีพลังเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณยุทธ์ธรรมดาทั่วไปจะมีได้
ส่วนดาราโซ่เทวะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปนัก โซ่ยักษ์ทั้งสิบห้าเส้นถูกหลอมด้วยทองคำและเชื่อมต่อกันเป็นรูปร่างกุยอย่างงดงามและน่าเกรงขาม ดาราโซ่เทวะพุ่งทะยานราวกับจะเจาะทะลุท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของพลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลด้วยรูปทรงอันเรียบง่าย
…
“เฮือก…”
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกก่อนลืมตาอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกเพียงว่าทั้งร่างกายเบาสบาย วิญญาณยุทธ์ทั้งสองแลดูจะเข้ากับร่างกายและจิตวิญญาณได้มากขึ้นเพราะความเข้าใจอันลึกซึ้งของเขา
ฉินฮั่นหรี่ตาพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้มจาง “ขั้นต่อไปคือการผสานวิญญาณยุทธ์”
“นั่น…ท่านบรรพบุรุษยังไม่ได้สอนข้าเลยขอรับ” หลินมู่อวี่ยกยิ้ม
ฉินฮั่นหัวเราะ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถสอนเจ้าได้…อาอวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อวิญญาณยุทธ์และจิตวิญญาณของผู้เป็นนายผสานกัน พวกมันจะเรียนรู้วิธีปกป้องผู้เป็นนายด้วยตนเอง ฉะนั้นเมื่อใดที่ตกอยู่ในอันตราย วิญญาณยุทธ์ทั้งสองจะคอยปกป้องเจ้านายของมันเสมอ แต่เมื่อใดที่พลังของมันไม่สามารถปกป้องผู้เป็นนายได้ พวกมันจะแสวงหาพลังที่แข็งแกร่งกว่า ซึ่งนั่นก็คือการหลอมรวม ทว่ากระบวนการหลอมรวมขั้นแรกนั้นเป็นอันตรายยิ่ง แต่อย่างไรเสียมันก็คือการฝึกฝน คนเราจะได้รับพลังอันแข็งแกร่งไปถึงท้องนภาและผืนแผ่นดินได้อย่างไรหากไม่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียก่อน”
ถังเสี่ยวซีด้านข้างกะพริบตา “นี่หมายความว่าอาอวี่จะต้องทำลายขีดจำกัดของตนเองให้ได้หรือเพคะ?”
“ใช่”
ฉินฮั่นพยักหน้าพร้อมกล่าว “พวกเจ้าทั้งสามได้เวลาไปฝึกฝนแล้ว ทำลายขีดจำกัดของตนให้ได้ เสี่ยวอินที่เจ้ายังไม่สามารถเข้าใจทักษะสยบมังกรขั้นที่หกหรือมังกรครามทลายโลกาได้อาจเพราะการพัฒนาวิญญาณยุทธ์ของเจ้า จงทำเช่นเดียวกับอาอวี่ เจ้าต้องสัมผัสประสบการณ์ระหว่างความเป็นความตายเพื่อปลุกพลังมังกรโซ่เทวะบริสุทธิ์ขึ้นมาให้ได้ ส่วนเสี่ยวซี วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีเปลี่ยนไปเพราะร่างกายของเจ้า อันที่จริง…เจ้าเป็นผู้ที่มีโอกาสทำสำเร็จมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคน พลังของเจ้าอาจทะลวงถึงจุดสูงจุดได้ และแม้ว่าวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีหางเดียวจะเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับสอง แต่หากมีสองหางขึ้นไปมันจะกลายเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่ง เจ้าอาจไม่รู้ แต่วิญญาณยุทธ์ของเจ้าสามารถพัฒนาได้”
“เช่นนี้เอง” ถังเสี่ยวซีประหลาดใจและมีความสุขพร้อมๆ กัน “ท่านบรรพบุรุษทำให้ข้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยเพคะ”
ฉินฮั่นกล่าวต่อ “ครั้งหนึ่งข้าเคยผ่านสวรรค์ชั้นสูงและได้พบกันจอมยุทธ์หญิงระดับเทพราชันย์ นางมีนามสกุลว่าถังและมีจิ้งจอกอัคนีเป็นวิญญาณยุทธ์ประจำตนเฉกเช่นเดียวกับเจ้า ทว่ามันเป็นจิ้งจอกอัคนีห้าหางซึ่งทรงพลังเหนือกว่าเจ้านัก หากฝึกฝนให้ดี เจ้าจะสามารถครอบครองพลังอันแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนที่เจ้ารักได้ อีกทั้งผนึกเทพอัคคียังเป็นวิญญาณยุทธ์อันแกร่งกล้า หากฝึกซ้อมอย่างดีมันจะช่วยให้เจ้าทะลวงสู่ขอบเขตเทวะ”
ถังเสี่ยวซีคุกเข่าลงบนพื้น ดวงตาคู่สวยจ้องมองฉินฮั่นอย่างซาบซึ้งขณะกล่าวออก “ขอบพระทัยท่านบรรพบุรุษเพคะ ข้าจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”
“อืม พวกเจ้าไปเถิด ข้าจะไปฝึกฝนเพียงลำพังสักสองสามเดือนเช่นกัน”
ฉินอินพยักหน้า “ข้าจะให้คนไปส่งอาหารให้ท่านเป็นประจำเพคะ”
“อืม อย่าลืมบอกให้พวกเขานำหัวสิงโตตุ๋นมาส่งทุกๆ สามวันด้วย ข้าชอบ”
“เพคะ…”
…
วันรุ่งขึ้น ณ ตำหนักเจ๋อเทียน
“ฝ่าบาทจะเสด็จออกไปฝึกฝนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เฟิงจี้สิงผงะ
“ใช่”
ฉินอินยิ้มระรื่น “ในฐานะองค์จักรพรรดินี ข้าจะต้องทะลวงสู่ขอบเขตอันแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ เมื่อก้าวสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว ข้าจะมีสมาธิฝึกฝนพัฒนาตนมากขึ้นไปอีก ข้าจึงจะออกไปฝึกพร้อมกับผู้บัญชาการหลินและองค์หญิงซี”
ซูมู่หยุนยกมือห้ามก่อนกล่าวออก “ข้าแต่ฝ่าพระบาท ในฐานะผู้นำของแผ่นดิน หากพระองค์จากเมืองหลันเยี่ยนไป เรื่องการเมืองกับการทหารจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินยิ้มจางพร้อมกล่าวตอบ “เช่นนั้นข้าจึงต้องวานท่านตา ท่านหลานกงและผู้บัญชาการเฟิงสักหน่อย ระหว่างที่ข้าไปฝึกฝน ท่านตาและท่านหลานกงจะรับผิดชอบดูแลการเมืองของจักรวรรดิร่วมกัน ส่วนกิจการทางทหารทั้งหมดจะเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการเฟิง ในช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ให้ใช้สองเสียงในสามของพวกท่านตัดสินตามชอบธรรม หากไม่ใช่เหตุด่วนนัก ก็เพียงรอให้ข้ากลับมา”
ถังหลานเอ่ยถาม “การเสด็จประพาสคราวนี้ใช้เวลานานเพียงใด และพระองค์ประสงค์ผู้ติดตามจำนวนเท่าใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“สองถึงสามเดือนเพคะ ไม่เป็นต้องมีผู้ติดตาม เราจะไปกันเพียงสามคน” ถังเสี่ยวซียกยิ้มพร้อมกล่าว “ท่านปู่อย่าได้เป็นกังวลไปเลยเพคะ ข้าและมู่มู่อยู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพวกปีศาจหรือสัตว์วิญญาณ ก็ไม่เกินกำลังของพวกเราเป็นแน่เพคะ”
ถังหลานมองหลานของตนด้วยสายตาเอ็นดูรักใคร่ก่อนกล่าวออก “เสี่ยวซี เจ้าจะออกเดินทางทั้งที่เพิ่งกลับมาเมืองหลันเยี่ยนได้ไม่นาน ปู่เป็นห่วงนัก…”
ถังเสี่ยวซียกยิ้มก่อนคว้าแขนของถังหลานมากอดพร้อมกล่าว “ท่านปู่รอจนกว่าเสี่ยวซีจะกลับมาอยู่กับท่านนะเพคะ ข้ารู้…ท่านตาก็คาดหวังให้ตระกูลถังมีเซียนผู้แข็งแกร่งไม่แพ้กัน”
“แน่นอน”
ถังหลานพยักหน้าก่อนกล่าวต่อ “เมื่อฝ่าบาทและเสี่ยวซียืนยันที่จะไป เช่นนั้นหากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกระหม่อม หลานกงและหยุนจงโหวจะตัดสินใจร่วมกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม”
ฉินอินกล่าวต่อ “เรื่องที่พวกข้าออกไปฝึกฝนต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับ ผู้ใดที่ริอ่านเปิดเผยเรื่องนี้จะถูกตัดสินโทษ”
เหล่าข้าราชบริพารต่างคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง “น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
…
แสงแดดยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศอบอุ่นขึ้นเป็นเท่าตัว ใบเมเปิลปลิวว่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่งในเมืองหลันเยี่ยนราวกับเปลวเพลิง ถือเป็นความงดงามที่สิ่งใดก็ไม่อาจเทียบเทียม
หลินมู่อวี่ในชุดสีฟ้าทับด้วยเสื้อคลุมสีเทาอ่อนขี่ท่าเฉว่ออกเดินทางไปอย่างเชื่องช้าพร้อมแบกกระบี่ไว้ด้านหลัง แลดูไม่ต่างจากเหล่าทหารรับจ้างและอัศวินมากนัก ฉินอินและถังเสี่ยวซีดูแตกต่างไปจากเดิมเช่นกัน ฉินอินสวมชุดสีกรมท่าในขณะที่ถังเสี่ยวซีสวมชุดสีแดงขาว ชุดอันหรูหราของจักรพรรดินีและองค์หญิงต่างถูกปิดบังไว้ด้วยเสื้อคลุมสีเทาซึ่งทำให้ทั้งสองดูเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ในจักรวรรดิที่สามารถพบเห็นได้ทุกหนทุกแห่งในเมืองหลันเยี่ยน
“เราจะไปที่ใดกัน ป่าล่ามังกรรึ?”ถังเสี่ยวซีเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่ตอบอย่างสบายๆ “แล้วแต่เจ้า ไม่ว่าที่ใดข้าก็ฝึกได้”
ฉินอินตื่นเต้นและมีความสุขมาก ยามเดินทางออกจากตำหนักเจ๋อเทียน นางรู้สึกเหมือนกับนกที่ได้โบยบินออกจากกรง นางอยากใช้ชีวิตเช่นนี้มาตลอด การปกครองบ้านเมืองในตำหนักเจ๋อเทียนนั้นเป็นเพียงความรับผิดชอบที่ดำเนินตามความคาดหวังของครอบครัวเท่านั้น
ถังเสี่ยวซีกล่าว “ด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมอยู่ แวะไปดื่มกันสักแก้วสองแก้วดีหรือไม่? ข้าว่าจะไปสอบถามข่าวลือในช่วงนี้สักหน่อย”
“อืม”
“ไปกันเถอะ”
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสามผูกม้าไว้ก่อนเดินเข้าไปพร้อมกัน พวกเขาเลือกนั่งที่ริมหน้าต่างและสั่งสุราข้าวสามแก้ว แม้จะเป็นยามบ่าย ทว่าโรงเตี๊ยมกลับมีลูกค้าล้นหลามจนแทบไม่มีที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า ทหารรับจ้างและจอมยุทธ์ หรือแม้แต่สมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มาดื่มที่นี่
ในฐานะผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ หลินมู่อวี่ไม่ได้คิดจะห้ามแต่อย่างใด การตัดศีรษะเหล่าจอมยุทธ์ทิ้งอาจเป็นการดีเสียกว่าห้ามไม่ให้พวกเขาดื่มสุรา เฉกเช่นเดียวกับจางเหว่ย ปราณยุทธ์ของเขาจะลดลงกว่าครึ่งหากไม่ได้ดื่มสรุาเป็นเวลาสองวัน กล่าวได้ว่าครึ่งหนึ่งของเหล่าจอมยุทธ์พึ่งพาสุรามากกว่าข้าวและขนมปังเสียอีก
ถังเสี่ยวอินลุกขึ้น ร่างบางย่างกรายไปยังโต๊ะสั่งสุรา นางยิ้มพร้อมกล่าวกับสาวใช้โรงเตี๊ยม “แม่นาง ช่วงนี้มีข่าวลือที่น่าสนใจบ้างหรือไม่?”
“โอ้”
สาวใช้โรงเตี๊ยมจ้องมองสตรีผู้งดงามเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึงก่อนหลบสายตาทันใด นางกล่าวออก “ท่านอยากทราบข่าวชั้นหนึ่งหรือชั้นสองเจ้าคะ?”
“ข่าวแบ่งออกเป็นชั้นหนึ่งและชั้นสองด้วยงั้นรึ? มันแตกต่างกันอย่างไร?” ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
สาวใช้โรงเตี๊ยมยิ้ม “ข่าวชั้นหนึ่งจ่ายด้วยเหรียญทอง ส่วนข่าวขั้นสองจ่ายด้วยเหรียญเงินเจ้าค่ะ ทว่าข่าวเหล่านี้ล้วนเล่าลือมาจากพวกโจร หากนำไปกล่าวต่อ ท่านอาจถูกสังหารตายตกได้นะเจ้าคะ…แม่นางโปรดเข้าใจด้วย”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีหยิบเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะ นางยกยิ้มก่อนกล่าวออก “เอาล่ะ บอกมาเถิด หากนี่ยังไม่พอ ข้าพังโรงเตี๊ยมเจ้าเละไม่เป็นท่าแน่”
สาวใช้โรงเตี๊ยมผงะก่อนรีบเก็บเหรียญทองบนโต๊ะ นางยิ้มพร้อมกล่าว “ไม่นานมานี้ข้าได้ยินมาว่าเซี้ยโหวซาง รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์เพิ่งได้นางสนมคนใหม่ ซึ่งมีราคากว่าสามร้อยเหรียญทอง ผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ช่างร่ำรวยเสียจริง”
“นั่นมันข่าวอะไรกัน”
ใบหน้าสวยแผ่รัศมีอาฆาต นางตบโต๊ะก่อนกล่าวคำออกอย่างหัวเสีย “คืนเหรียญทองมา มิเช่นนั้นข้าจะพังโรงเตี๊ยมเจ้า!”
ฉับพลันปราณยุทธ์พวยพุ่งรอบกายถังเสี่ยวซี สาวใช้โรงเตี๊ยมรู้ในทันทีว่าสตรีร่างบางเบื้องหน้าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป นางรีบคุกเข่าลงพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ขะ…ข้ายังมีอีกข่าวหนึ่งเจ้าค่ะ ไม่นานนี้ข้าได้ยินมาว่ามีพลังวิญญาณอยู่ใกล้เทือกเขาหยุนหลิงทางตะวันออกของมณฑลเทียนชู่ หลายคนคิดว่าอาจมีอาวุธวิเศษอยู่ที่นั่น ช่วงนี้เหล่าจอมยุทธ์และทหารรับจ้างจึงมุ่งไปยังเทือกเขาหยุนหลิงเป็นจำนวนมาก หากแต่…เทือกเขาหยุนหลิงอยู่ใกล้กับมณฑลทงเทียนซึ่งเป็นที่ตั้งของเผ่าปีศาจ สิ่งนี้ต้องนำไปสู่เกิดความโกลาหลในไม่ช้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“โอ้ ข่าวนี้ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง” ถังเสี่ยวซีหรี่ตาก่อนหยิบเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะอีกเหรียญหนึ่ง นางยิ้มพร้อมกล่าว “ขอบใจมาก”
สาวใช้โรงเตี๊ยมเอื้อมไปหยิบเหรียญทองด้วยความหวาดกลัว
ถังเสี่ยวซีเดินกลับมานั่งลงข้างฉินอินก่อนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “เราไปที่เทือกเขาหยุนหลิงในมณฑลเทียนชู่กันเถิด ว่ากันว่าช่วงนี้ที่นั่นครึกครื้นมากทีเดียว”
“โอ้ นั่นไกลมิน้อยเลย” หลินมู่อวี่กล่าว
“ไม่เห็นเป็นไร”
ถังเสี่ยวซีกล่าวออกอย่างเอาแต่ใจ “อย่างน้อยก็ได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติไปตลอดทาง”
ฉินอินอดยิ้มออกมาไม่ได้ “เช่นนั้นก็เดินทางไปเทือกเขาหยุนหลิงกัน”
…………………………………..