The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.73 ผู้ช่วยฝึก
คืนที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้า สวนด้านหลังโรงเตี๊ยมเมฆขาวกว้างขวางมาก เฟิงจี้สิงถือดาบยืนคุมเชิงอยู่ด้านข้างด้วยความสนอกสนใจ ส่วนหลัวเลี่ยกลับยิ้มมุมปาก “จะได้เห็นสุดยอดวิชาที่แสนงดงามขององครักษ์อวี้หลินฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอีกครั้งแล้ว!”
“งดงาม?” หลินมู่อวี่อึ้งหน่อยๆ ทักษะยุทธ์ก็คือทักษะยุทธ์ มีอะไรให้งดงามกัน
แต่เห็นท่าทีที่จริงจังของเฟิงจี้สิง เขาก็รู้ว่าพี่ชายของฉู่เหยาต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน!
แต่กลับเป็นฉู่เหยาที่มีสีหน้ากังวล “ท่านพี่ อาอวี่เพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านอย่าทำอะไรเกินเลยนะ อีกอย่างอาอวี่เป็นแค่ปราชญ์สงครามระดับห้าสิบ แต่ท่านเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “วางใจเถอะอาเหยา ข้าไม่ใช้ปราณยุทธ์ก็หมดเรื่อง”
“อืม…”
……
แสงดาราตกกระทบชุดสีขาวที่หลินมู่อวี่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ สะท้อนดวงตาใสเป็นประกายของเขา ดูเหมือนการรอนแรมอยู่ในป่าสัตตะดาราทำให้บุคลิกของเขามีการเปลี่ยนแปลง สุขุมและนิ่งสงบมากขึ้น เมื่อรวมกับรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา บางทีในสายตาของสาวน้อยวัยแรกแย้ม เขาก็เป็นจอมยุทธ์น้อยยอดฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่งแล้ว
กลับมาดูด้านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เขาก็เป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีคราม พันผ้าพันคอสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของหน่วยองครักษ์อวี้หลิน เขาค่อยๆ ประสานมือแล้วยิ้มพูด “ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง ปรมาจารย์สวรรค์ระดับหกสิบแปด โปรดชี้แนะ!”
หลินมู่อวี่หัวใจหล่นวูบ ระดับหกสิบแปด แข็งแกร่งกว่าเฟิงจี้สิงเสียอีก การประลองนี่ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่นา!
แต่เขาก็ยังประสานมือคำนับ “หลินมู่อวี่ ปราชญ์สงครามระดับห้าสิบ พี่ฉู่ออมมือด้วย…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ “งั้นอาอวี่ ระวังให้ดีล่ะ!”
พูดจบ เขาค่อยๆ กางฝ่ามือออก ปราณเคลื่อนที่อยู่ตามนิ้วมือ และพลันพุ่งทะลุออกไปทางปลายนิ้ว “วิ้ง” ปราณสายหนึ่งพุ่งโจมตีออกไป ปราณไม่ได้สลายไป แต่เคลื่อนวนอย่างช้าๆ ดูคล้ายกับดวงดาวที่ทอแสงอย่างงดงาม!
มิน่าหลัวเลี่ยถึงพูดว่าวิชาของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั้นงดงามมาก!
“ดัชนีเด็ดดารา เปลี่ยนปราณให้เป็นสายพลังที่นิ้วมือแล้วปล่อยออกโจมตี เอาละนะ!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกระโดดเข้ามา นิ้วชี้และนิ้วกลางหุบชิดติดกัน พลังโจมตีจากปลายนิ้วที่แข็งแกร่งไหลมาตามลม
จังหวะที่หลินมู่อวี่สร้างปราการเกร็ดมังกร เขาก็ใช้กระบวนท่าผีเสื้อของฝีเท้าดาวตก เคลื่อนตัวหลบการโจมตีของดัชนีเด็ดดาราอย่างแม่นยำ และก่อนที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะลงมืออีกครั้ง เขาก็ปล่อยหมัดหนักๆ เข้าที่เอวของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน
ดัชนีเด็ดดาราเป็นวิธีการโจมตีด้วยการขับปราณให้ออกมาทางปลายนิ้ว ต้องใช้เวลานิดหน่อย ส่วนหลินมู่อวี่ก็พนันว่าการโจมตีสังหารระยะไกลของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั้นแข็งแกร่งมาก แต่การต่อสู้ระยะประชิดเป็นจุดอ่อนเขาของ
แต่เขาคิดอะไรง่ายเกินไป ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแค่ก้มตัวก็หลบหมัดนี้ได้แล้ว และโต้กลับด้วยการปล่อยหมัดใส่กระดองเต่าทมิฬเหมือนกัน!
“เปรี้ยง!”
อากาศกระเพื่อม กระดองเต่าทมิฬสั่น หลินมู่อวี่รู้สึกเลือดลมตีขึ้นมา จริงๆ ด้วย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยั้งมือไว้ หมัดนี้ของเขาอย่างมากก็ใช้พลังไม่ถึงห้าส่วน
“พลังป้องกันแข็งแกร่งเหลือเกิน!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอดประหลาดใจไม่ได้ เขาหัวเราะฮึ และพลันยกสองมือขึ้นพร้อมกัน เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ดัชนีเด็ดดาราโจมตีใส่กระดองเต่าทมิฬสามครั้งติดต่อกัน ชั้นแรกของกระดองเต่าทมิฬแตกออกอย่างรวดเร็ว พลังดัชนีนั่นเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนกระดองเต่าทมิฬ พลังแข็งแกร่งถึงที่สุด หลินมู่อวี่ไหนเลยจะต้านทานได้
คงต้องพึ่งปราการเกล็ดมังกรแล้ว
หลินมู่อวี่กระทืบเท้าลงบนพื้น ทันใดนั้นเถาวัลย์น้ำเต้าแทงทะลุดินขึ้นมา พันธนาการขาทั้งสองข้างของคู่ต่อสู้ไว้
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนไม่ตื่นตระหนก วิญญาณยุทธ์เตียวม่วงปรากฏขึ้นร้องเสียงแหลมออกมา โจมตีด้วยคลื่นเสียงหรือนี่ คลื่นเสียงตรงเข้าฉีกเถาวัลย์น้ำเต้าจนกลายเป็นผุยผง แต่จังหวะที่กำลังทำลายเถาวัลย์น้ำเต้า เสียงระเบิดกลางอากาศรุนแรงดังขึ้น นั่นหมัดเสียงปีศาจ!
“ปัง!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตั้งรับไม่ทัน รีบถอยออกมาหลายก้าว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีความรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก เขาชี้นิ้ว ปราณดารารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาใช้พลังเจ็ดส่วน “อาอวี่ ระวังให้ดีล่ะ!”
“ฟึ่บ!”
ดัชนีเด็ดดาราครั้งนี้รุนแรงมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะทะลุปราณเกร็ดมังกรเข้ามา โชคดีที่พลังนั้นมาถึงตรงหน้าอกของหลินมู่อวี่ก็แทบจะสลายไปหมดแล้ว แต่หลินมู่อวี่กลับตกใจมาก เขาคิดว่าปราการเกร็ดมังกรของตัวเองนั้นแข็งแกร่งมากแล้ว แต่เมื่อเจอกับดัชนีเด็ดดาราของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกลับเป็นแค่กระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง
เขายกมือขึ้นช้าๆ แสงอสนีเคลื่อนที่อยู่บนฝ่ามือ หลินมู่อวี่ใช้มือต่างดาบ ใช้ท่าดาราย่างกรายเคลื่อนตัวเข้าไป โจมตีด้วยท่าพิฆาตอสนีบาตอย่างรุนแรงด้วยมือเปล่า
“ปัง!”
พลังปราณสลายไป เกราะปราณที่หน้าอกของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถูกโจมตีจนแตก เขาถอยหลังไปหลายก้าว พลังที่นิ้วมือของเขาเข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็โบกมือสลายพลัง “วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน พลังของอาอวี่ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง อายุยังน้อยก็มีพลังขนาดนี้ มิน่าถึงทำให้ทหารเมืองหยินซานพวกนั้นต้องวุ่นวายกันไปหมด!”
หลินมู่อวี่หอบหายใจหนัก ความจริงเขารู้ชัดเจน ถ้าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนลงมืออีกครั้ง ตนเองต้องป้องกันไม่ได้อย่างแน่นอน
เฟิงจี้สิงก็ยิ้มอยู่ข้างๆ “ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย เพียงแต่น้องฉู่ไม่ได้เห็นอาอวี่ใช้กระบี่อันร้ายกาจ น่าเสียดายจริงๆ ฮ่าๆๆ…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มบางๆ “ภายภาคหน้ายังมีโอกาสประลองกันอีก”
พูดจบแล้วเขาก็มองไปทางเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้ท่านช่วย”
“ข้ารู้แล้ว”
เฟิงจี้สิงเป็นคนฉลาด เขาโบกมือแล้วเอ่ย “ในเมืองหลวงนี้ข้าพอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง หากอาเหยาต้องการเข้าสมาพันธ์โอสถฝึกฝนวิชาแพทย์ก็ไม่เป็นปัญหา อาอวี่เจ้าอยากจะเข้าสมาพันธ์โอสถพร้อมกับอาเหยาด้วยหรือไม่”
“ไม่ขอรับ”
หลินมู่อวี่ส่ายหน้าแล้วพูด “พี่เฟิง ถ้าไม่เป็นการรบกวน ได้โปรดเขียนจดหมายแนะนำให้ข้าด้วย ข้าอยากเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปฝึกยุทธ์”
“หืม เจ้าอยากจะเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่ขอรับ”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” เฟิงจี้สิงพูดเสียงเบา “เพียงแต่วิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสถานที่ๆ พละกำลังเป็นใหญ่ ในนั้นมียอดฝีมือขอบเขตนภาอยู่ไม่ใช่น้อย ข้ากังวลว่าเจ้าเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วจะมีคนมารังแก”
“ไม่เป็นไร ข้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นแล้วรังแกพวกนั้นคืนได้!”
“ตกลง!”
เฟิงจี้สิงเขียนจดหมายสองฉบับ ณ ตรงนั้น ฉบับหนึ่งเพื่อจัดการให้หลินมู่อวี่เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ และอีกฉบับหนึ่งเพื่อจัดการให้ฉู่เหยาเข้าสมาพันธ์โอสถ ทั้งสองคนเพิ่งเข้าเมืองหลันเยี่ยนมาพอดี ยังไม่มีแม้แต่ที่จะพักอาศัย เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์และสมาพันธ์โอสถจะได้มีที่อยู่ และเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้คน หลินมู่อวี่จึงใช้ชื่อว่า “หลินจื้อ” เฟิงจี้สิงไม่ได้รู้เลยว่านี่ก็คือชื่อที่แท้จริงของเขา
……
กลางดึก เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นผ่านถนนในเมืองหลวงยามค่ำคืน บนหลังม้าศึก ชายหนุ่มสวมชุดทำศึกสีขาวกำบังเหียนไว้แน่น สายตาเย็นชา ตะบึงไปทางสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ท่ามกลางความมืด ใต้แสงจากคบไฟ ป้ายศิลาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้สลักอักษรไว้ว่า—สมาพันธ์นกกระจอกเพลิง
ทหารระดับสูงอายุยังน้อยผู้นี้พลิกตัวลงจากม้า แล้วพูดเสียงเรียบกับทหารยามสองนาย “องครักษ์อี้หลินฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขอพบใต้เท้าเจิ้งกู้!”
ทหารยามที่กำลังพูดคุยเรื่องหน้าอกของสาวใช้ประจำโรงสุราของเมืองหลวงว่านุ่มนิ่มขนาดไหนก็ถูกทำให้หมดอารมณ์ เลิกคิ้วถาม “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีธุระอันใดหรือขอรับ”
ใบหน้าของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนบิดเบี้ยวไปด้วยความคับแค้น ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่เมืองหยินซาน ฮว๋าเทียนสังหารปู่ของข้าฉู่เฟิง ข้าต้องการเจ้าหน้าที่จากสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงสองนายไปเมืองหยินซานพร้อมกับข้า เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการตายของท่านปู่”
“ขอรับ โปรดรอสักครู่”
หลังจากนั้นไม่นาน ก่อนที่รุ่งอรุณจะมาถึง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็นำเจ้าหน้าที่ชุดแดงของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงสองคนออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปยังเมืองหยินซาน
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย หลินมู่อวี่ดูเงินของตนเอง ตลอดทางมานี้ทั้งต่อสู้และหนีตายจึงทำเหรียญทองลดลงไปไม่น้อย ทั้งหมดเหลือแค่ห้าสิบเอ็ดเหรียญทองเท่านั้น ฉู่เหยาปรุงโอสถต้องใช้เงินเยอะ เขาจึงให้นางไปสี่สิบเหรียญ เหลือสิบเอ็ดเหรียญเก็บติดตัว อย่างไรเสียค่ากินอยู่ของตนก็ไม่ค่อยเยอะ
สมาพันธ์โอสถและวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นห่างกันเพียงถนนกั้น ฉู่เหยาดึงมือของเขาไว้แล้วยิ้มพูด “อาอวี่ เจ้าต้องมาเยี่ยมข้าบ่อยๆ นะ หากข้ามีเวลา ข้าก็จะไปเยี่ยมเจ้าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน”
“อือ ข้าจะมาบ่อยๆ”
หลินมู่อวี่พยักหน้า กำจดหมายแนะนำแล้วจูงม้าเดินไปอีกทางสิ่งปลูกสร้างที่สูงตระง่าน วิหารสงครามศักดิ์สิทธิ์ เลื่องลือกันว่าเป็นแหล่งกำเนิดเหล่ายอดฝีมือแห่งจักรวรรดิ ในวินาทีที่ย่างเท้าเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ หลินมู่อวี่ก็ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ และก็เป็นเส้นทางของผู้แข็งแกร่ง หากไม่มีพลังที่มากพอ ก็ได้แต่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ถูกผู้อื่นควบคุม ต้องมีพลังถึงจะสามารถจัดการดูแลชีวิตได้
……
ด้านหน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีทหารสวมชุดเกราะสองนายยืนเฝ้าอยู่ ความจริงแล้วเบื้องหลังของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็คือจักรวรรดิ ผู้มีความสามารถที่ออกมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์จะเข้ากองทัพเพื่อรับใช้จักรวรรดิ ดังนั้นที่นี่มีทหารเฝ้าคุ้มกันอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
“เจ้าหนู เจ้ามีธุระอะไร” ทหารนายหนึ่งถาม
หลินมู่อวี่ยื่นจดหมายแนะนำให้แล้วพูด “นี่คือจดหมายแนะนำจากผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงแห่งกองทหารรักษาพระองค์ ข้าต้องการเข้าฝึกที่วิหารศักดิ์สิทธิ์”
“อ่อ จดหมายแนะนำของผู้บัญชาการเฟิงหรือ” ทหารรับจดหมายมาเปิดดู แล้วยิ้มตอบ “ที่แท้ก็เป็นสหายของผู้บัญชาการเฟิงนี่เอง เช่นนั้นก็เข้ามาข้างในเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบผู้ดูแล”
“ขอรับ!”
ประตูเล็กที่อยู่ตรงประตูใหญ่อันหนักอึ้งของวิหารศักดิ์สิทธิ์เปิดออก แสงจากด้านนอกส่องเข้าไป ราวกับดาบคมที่แทงทะลุเข้าไปในความมืด แสงในวิหารศักดิ์สิทธิ์มาจากคบเพลิงที่อยู่สองข้างทางเดิน หลินมู่อวี่เงยหน้ามอง และพบว่าสองข้างทางเดินนั้นมีรูปหล่อทองแดงขนาดใหญ่ของคนสิบสองคน เหมือนจริงมาก น่าจะเป็นวีรบุรุษทั้งสิบสองของจักรวรรดิกระมัง ส่วนจะเป็นใครนั้นเขาก็ไม่ทราบได้
เดินทะลุทางเดินที่ทอดยาว ในที่สุดด้านหน้าก็สว่างขึ้น เขามาถึงลานฝึก แต่คนที่ลานฝึกนั้นกลับไม่เยอะ มีไม่ถึงยี่สิบคน ต่างฝึกอยู่เงียบๆ บ้างก็รำดาบ บ้างก็นั่งสมาธิ ปราณไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัว ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น
เดินขึ้นไปอีกนิด ก็ไปถึงวิหารหลังคาโดม ที่นี่ก็คือใจกลางของวิหารศักดิ์สิทธิ์
“ก๊อกๆ…”
ทหารเคาะประตู “ผู้ดูแลทุกท่าน ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกองทหารรักษาพระองค์แนะนำเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมาที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา”
“ขอรับ!”
ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก หลินมู่อวี่เดินเข้าไป ส่งม้าให้แก่นายทหารคนนั้นจูงไปที่คอกม้า ม้าตัวนี้เป็นตัวที่เย่เหลียงทิ้งไว้ ฝีเท้าและความถึกไม่เลวเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงทิ้งมันไม่ลง
……
ในวิหารศักดิ์สิทธิ์มีที่นั่งเหล็กอยู่สิบสองที่นั่ง แต่ตอนนี้มีเพียงสามที่นั่งที่มีคน สองคนเป็นผู้อาวุโส อีกคนหนึ่งกลับเป็นคนหนุ่มอายุราวสามสิบ อำนาจสูงสุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของผู้ดูแลทั้งสิบสองคน และสามคนตรงนี้ก็อยู่ในสิบสองคนนั้น
“หนุ่มน้อย เจ้าชื่ออะไร” ผู้อาวุโสเคราขาวถามขึ้น
“หลินจื้อขอรับ”
“เจ้าเข้ามายืนกลางแท่นวงกลม แล้วปล่อยพลังทั้งหมดในร่างออกมาให้สูงที่สุด”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่เดินไปตามที่เขาบอก แท่นวงกลมที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านั้นดูเหมือนจะเป็นคริสตัลขนาดยักษ์ เมื่อเขาเดินพลัง คริสตัลก็ส่องแสงขึ้นมา ปราณยิ่งแข็งแกร่งเท่าไรคริสตัลก็ยิ่งส่องแสงสว่างมากขึ้นเท่านั้น ตอนที่เขาเร่งพลังจนถึงจุดสูงสุดแล้วนั้น ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวขึ้น “ไม่เลว เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สาม ปราชญ์สงครามระดับห้าสิบ สามารถรับตำแหน่งครูฝึกระดับดาวทองแดงได้ ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“ยี่สิบสี่ ครูฝึกระดับดาวทองแดงคืออะไรหรือขอรับ” หลินมู่อวี่มึนงง
ผู้อาวุโสอีกคนก็หัวเราะ “อายุยี่สิบสี่ก็เข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามแล้ว ความเร็วในการเลื่อนระดับเช่นนี้ดูเหมือนจะเหนือกว่าใต้เท้าเจิ้งฟางอีกนะ!”
และในตอนนี้เอง ผู้ดูแลอายุน้อยที่นั่งอยู่ตรงหัวมุมก็ลุกขึ้น เผยรอยยิ้มออกมา “ผู้ดูแลเกอหยาง เขาอายุยังน้อยรับตำแหน่งครูฝึก เกรงว่าจะไม่ได้รับความเคารพเอาน่ะสิ!”
เกอหยางชะงักเล็กน้อย “ใต้เท้าเจิ้งฟาง ท่านมีความเห็นอย่างไร”
เจิ้งฟางยิ้มจางๆ “ไม่สู้ให้เขาเป็นผู้ช่วยฝึกไปก่อน ท่านว่าอย่างไร”
“ก็ดีเหมือนกัน…” เกอหยางไม่ได้คัดค้าน
……
หลินมู่อวี่ถามอย่างนอบน้อม “ขอถามใต้เท้าท่านนี้ ครูฝึกกับผู้ช่วยฝึกแตกต่างกันอย่างไรหรือขอรับ”
แววตาของเจิ้งฟางเผยความชั่วร้ายและยโสออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามอย่างไม่ปกปิดออกมาว่า “คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นี้มีเพียงสองประเภท ประเภทแรกคือคนซ้อม และอีกประเภทคือคนถูกซ้อม คนที่ซ้อมคนอื่นคือครูฝึก งานหลักคือรับผิดชอบสอนยุทธวิธีการศึก และทักษะการต่อสู้ให้แก่นักเรียนทหารของโรงเรียนการสงคราม ส่วนผู้ช่วยฝึกนั้นคือคนที่เป็นเป้าให้ครูฝึกยังไงล่ะ เข้าใจหรือยัง”
พริบตาเดียวใจของหลินมู่อวี่ร่วงลงก้นเหว แต่ก็ยังคงประสานมือคำนับ “ขอรับ!”
……
มังกรว่ายน้ำตื้น แต่สุดท้ายก็บินขึ้นฟ้าได้!