The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.76 เจอศัตรูผู้แข็งแกร่งอีกครา
“ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าปัญญาอ่อนพวกนี้ตื่นเต้นดีใจอะไรกันนัก”
ในกลุ่มครูฝึกระดับดาวสีเงิน จางเหว่ยที่เคราเฟิ้มเต็มหน้ากำหมัดแน่น ใบหน้าปรากฏยิ้มเหยียดหยัน “ในเมื่อครูฝึกระดับดาวสีเงินต่างไม่อยากอาสา เช่นนั้นข้าหนวดยาวแซ่จางจะเป็นคนแรกก็แล้วกัน!”
ทันใดนั้น เหล่าผู้ช่วยฝึกต่างก็ตกตะลึง
หลินมู่อวี่แอบรู้สึกประหลาดใจ หรือจางเหว่ยผู้นี้จะมีตรงไหนที่พิเศษกัน
ไกลออกไป ฉินจื่อหลิงตะโกนเสียงดัง “หลินจื้อระวังตัวด้วย จางเหว่ยพละกำลังแข็งแกร่ง แถมยังค่อนข้างโหดร้ายด้วย ครั้งที่แล้วข้าถูกเขาซ้อมจนซี่โครงเกือบหัก!”
จางเหว่ยตวาด “ไอ้สวะ หุบปากเจ้าซะ ครั้งหน้าข้าจะถอนฟันหน้าเจ้าออก ดูซิจะเคี้ยวข้าวอย่างไร!”
ฉินจื่อหลิงตกใจจนหุบปากลงทันที หนวดยาวแซ่จางเป็นคนที่พูดจริงทำจริง นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งวิหารต่างรู้ดี
จางเหว่ยเดินเข้าสู่ใจกลางลานประลอง มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ลึกล้ำ ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงไปบนพื้นหิน จะทิ้งรอยเท้าอัคคีไว้ด้วย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่เปลวไฟแห่งปราณแท้ได้ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ทุกตารางนิ้ว ขณะเดียวกันเหนือศีรษะของเขามีหมีเพลิงปรากฏขึ้น เขาแสยะยิ้ม แล้วเอ่ย “จางเหว่ย ปราชญ์สงครามระดับที่ 58 วิญญาณยุทธ์อันดับสี่หมีเพลิง เจ้าหนู เตรียมตัวให้ดีล่ะ!”
หลินมู่อวี่ไม่กล้าประมาท โบกมือเบาๆ กระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขาทำได้เพียงพึ่งพาพลังการป้องกันของตัวเองในการรับมือเท่านั้น เพราะการทดสอบแบบนี้ไม่อนุญาตให้เขาใช้ฝีเท้าดาวตกมาช่วยหลบหลีก มิเช่นนั้นการทดสอบก็จะหมดความหมาย
“ย่า!”
จางเหว่ยคำรามเสียงต่ำ หมัดเหล็กถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลวเพลิงพุ่งตรงเข้าโจมตี!
“เปรี้ยง!”
กำแพงน้ำเต้าสั่นสะท้านอย่างรุนแรง หลินมู่อวี่ทนไม่ไหวจนต้องถอยร่นไปหลายก้าว ใบหน้าปรากฏแววตกใจ หนวดยาวแซ่จางผู้นี้ท่าทางคล้ายคนปัญญาอ่อน แต่พละกำลังเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก กระดองเต่าทมิฬเริ่มปรากฏรอยแตกร้าวเล็กน้อย เขารีบใช้ปราณเข้าช่วยซ่อมแซม ขณะเดียวกันก็เร่งพลังขึ้น เพิ่มระดับความสามารถในการป้องกันให้ต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว
จางเหว่ยโจมตีอย่างไม่ลดละ เขาสวนอีกหมัดเข้าไปในทันที เมื่อหมัดที่สองโจมตี หลินมู่อวี่ก็รู้สึกพลุ่งพล่านแปรปรวน พลังหมัดรุนแรงยิ่งนัก!
เขาไถลเท้าอย่างรวดเร็ว หมุนตัวใช้ด้านข้างของกำแพงน้ำเต้าเข้าต้านพลัง!
ใครจะไปคิดว่าความเร็วของจางเหว่ยก็มิได้เชื่องช้า กระบวนหมัดยิ่งยอดเยี่ยม ปล่อยหมัดกวาดตามออกไป โจมตีใส่กำแพงน้ำเต้าอย่างแม่นยำเหมือนเดิม!
“เปรี้ยง!”
เลือดลมของหลินมู่อวี่เริ่มปั่นป่วนอย่างรุนแรง เขารีบเคลื่อนพลังกดไว้ พลางคำรางเสียงต่ำ ดึงปราณออกมาสองส่วนสร้างเกราะศิลาเขียวขึ้นมาป้องกัน ขณะเดียวกัน นำเกราะปราณเพียงหนึ่งเดียวบนร่างไปป้องกันส่วนสำคัญบริเวณหน้าอก เช่นนี้ก็เท่ากับว่ากระดองเต่าทมิฬ + ปราการเกล็ดมังกร + เกราะปราณ + เกราะศิลาเขียว รวมเป็นพลังป้องกันทั้งหมดสี่ชั้น!
“หืม?”
เหลยหงที่นั่งอยู่ด้านบนอดที่จะตะลึงมิได้ เขาลูบเคราขาว อดลอบยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าหนุ่มผู้นี้น่าสนใจจริงๆ … นั่นไม่ใช่เกราะศิลาเขียว เคล็ดวิชาที่เจ้าแก่ชวีฉู่คิดค้นออกมาหรอกหรือ”
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…”
กระบวนหมัดของจางเหว่ยนั้นถี่กระชั้นไร้ซึ่งช่องโหว่ ถึงจะปล่อยออกไปสิบกว่าหมัดติดต่อกัน แต่ทั้งหมดก็ถูกกำแพงน้ำเต้าต้านทานไว้ได้หมด กลับกลายเป็นพลังสะท้อนกลับของกำแพงน้ำเต้านั้นทำให้ชีพจรบนแขนทั้งสองข้างของจางเหว่ยหยุดการเคลื่อนที่ ความเร็วในการออกหมัดก็ช้าลงเช่นกัน
ด้านหลินมู่อวี่นั้น เขากัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดบนร่างกาย บังคับการเคลื่อนที่ของปราณเพื่อประคองการป้องกันทั้งสี่ชั้นเอาไว้
เป็นเช่นนี้ จนผ่านไปหนึ่งนาทีเต็ม!
เหลยหงชูมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว จางเหว่ยไปได้ หลินมู่อวี่ผ่านด่านไปหนึ่งคนแล้ว พักสิบนาที คนที่สองค่อยขึ้นมา”
“ขอบคุณท่านผู้ดูแลอาวุโส… ”
หลินมู่อวี่หอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำ เลือดลมภายในกายปั่นป่วนผิดปกติ หมัดของหนวดยาวแซ่จางผู้นี้ดุร้ายเกินไปแล้ว ทำเอาเขาเกือบจะต้านไม่ไหว
ส่วนจางเหว่ยนั้นได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเด็กหนุ่มผู้นี้ไปจนหมดสิ้น คาดไม่ถึงว่าเขาจะเดินเข้าไปหาและตบบ่าหลินมู่อวี่ “เจ้าหนุ่ม เก่งมาก ต่อไปภายหน้าหากมีโอกาส พวกเรามาซ้อมประลองกันอีกก็แล้วกัน!”
หลินมู่อวี่พยักหน้าด้วยความยินดี “อือ ข้าอยากจะเรียนรู้วิชาหมัดจากท่านด้วย!”
“ฮ่ะ ฮ่ะ เรื่องเล็กน้อย!”
การแพ้ครั้งนี้ของจางเหว่ย ทำให้ครูฝึกระดับดาวสีเงินอีกผู้หนึ่งเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข นั่นคือเหลยหยิ่ง ครูฝึกระดับดาวสีเงินที่ถูกหลินมู่อวี่ทำให้อับอายขายหน้าที่โรงอาหารเมื่อวาน
“ตาข้าแล้ว!” เหลยหยิ่งจับอาวุธเอ่ยขึ้น แต่ในใจกลับคิด เมื่อวานข้าไม่ได้พกอาวุธติดตัว ถูกมันทำให้ขายหน้า วันนี้ข้ามีอาวุธมา ข้าจะใช้โอกาสนี้กำจัดมันซะ!
แน่นอนว่าหลินมู่อวี่รู้ความคิดของคนผู้นี้ แต่กลับยิ้มหยัน เข้าสู่ลานประลองได้ก็ปล่อยพลังป้องกันสี่ชั้นออกมาทันที เหลยหยิ่งผู้นี้อยู่ขั้นปราชญ์สงครามระดับที่ห้าสิบสอง ความแข็งแกร่งด้อยกว่าจางเหว่ยอยู่มาก เอาชนะได้ง่ายๆ แน่นอน
เหลยหยิ่งคำรามปลุกพลังของวิญญาณยุทธ์แล้วทะยานออกมา ฟันกระบี่ลงมาอย่างหนักหน่วงราวขุนเขาไท่ซาน!
หลินมู่อวี่ไม่อยากสิ้นเปลืองปราณและพละกำลังไปกับคนผู้นี้มากนัก ขณะที่มือขวายังคงควบคุมการป้องกันสี่ชั้นนั้นอยู่ อีกมือของเขากำหมัดแน่น แบ่งพลังออกมาสองส่วนแล้วซัดหมัดเสียงปีศาจออกไป!
“เปรี้ยง!”
เป็นไปตามคาด กำแพงน้ำเต้าที่มีการป้องกันสี่ชั้นนั้นสะท้อนการโจมตีของคู่ต่อสู้จนกระเด็นออกไป ในเวลาเดียวกันนี้เอง หมัดเสียงปีศาจที่ไร้เสียงก็กระแทกเข้าที่ส่วนท้องของเหลยหยิ่งตามแรงที่สะท้อนกลับ!
ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง เหลยหยิ่งไม่ได้พลิกตัวกลางอากาศเพื่อรักษาสมดุล แต่กลับล้มลงบนพื้นดังเสียงดัง “ตึง” ราวกับหมูตาย เขาเอามือกุมท้อง ส่งเสียงร้องครวญครางออกมา
“ครูฝึกเหลยหยิ่งพ่ายแพ้! ผู้ช่วยฝึกหลินจื้อชนะ!”
เหลยหงลุกขึ้นประกาศ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก การเคลื่อนไหวเล็กน้อยของหลินมู่อวี่ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ ทว่าเขาเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการกระทำนี้ของหลินมู่อวี่ คนเราไม่ควรจะใสซื่อเกินไป มิเช่นนั้นในโลกที่สับสนวุ่นวายใบนี้คงได้แต่เป็นผู้ถูกกระทำ
ดังนั้น เหลยหงจึงเอ่ยต่อ “ชนะครูฝึกระดับดาวสีเงินสองครั้งติด ไม่ต้องประลองกับคนที่สามแล้ว หลินจื้อสามารถเข้าประลองกับครูฝึกระดับดาวสีทองได้เลย หลังจากนี้สิบนาทีเริ่มการประลองได้!”
“ขอบคุณท่านผู้ดูแลอาวุโส!”
หลินมู่อวี่หันไปตัวยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ เขาต้องการเวลาที่มากพอในการปรับลมปราณฟื้นพลัง
ในเวลานี้เอง ผู้ดูแลหนุ่มที่สวมชุดจีนเดินเข้ามา เขาคือเจิ้งฟาง เขาประสานหมัดคำนับเหลยหงแล้วเอ่ย “ท่านผู้ดูแลอาวุโส ตอนนี้ครูฝึกระดับดาวสีทองที่อยู่ในวิหารมีเพียงสองคน หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บขณะฝึกยุทธ์ ตอนนี้อยู่ในระหว่างการรักษาตัว ดังนั้นครูฝึกระดับดาวสีทองที่สามารถออกประลองได้จึงมีเพียงเจิ้งซานเหอเท่านั้น ข้าเจิ้งฟางจึงอยากจะขอผู้ดูแลอาวุโส ให้ข้าเป็นผู้ประลองในฐานะของครูฝึกระดับดาวสีทองแทน ท่านเห็นเช่นไร”
เหลยหงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “เจิ้งฟาง เจ้าเป็นหนึ่งในสิบสองผู้ดูแล มิใช่ครูฝึกระดับดาวสีทองอีกต่อไปแล้ว อีกอย่างในเมื่อมีเจิ้งซานเหอ เช่นนั้นก็ให้เขาออกประลองเถอะ”
“แต่ว่า…”เจิ้งฟางยังอยากจะพูดอะไรต่อ
“แต่ว่าอะไร” เหลยหงย้อนถาม
เจิ้งฟางมิได้ต่อปากต่อคำกับผู้ดูแลอาวุโสต่อ เพียงแต่จ้องไปทางหลินมู่อวี่ที่อยู่ไกลๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกัน
ด้านหลินมู่อวี่ก็แอบตื่นกลัวอยู่เงียบๆ เจิ้งฟางผู้นี้เหตุใดจึงคิดแค้นพยาบาทตนถึงเพียงนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้ามายังวิหารแล้ว
ด้านฉินจื่อหลิงหัวเราะสดใส “ยินดีกับเจ้าด้วยหลินจื้อ เป็นไปได้ว่าเจ้าจะได้นั่งเก้าอี้ผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองคนแรกของวิหารแล้ว!”
“หมายความว่าอย่างไร เพราะอะไรหรือ”
“วันนี้เจิ้งซานเหอเป็นครูฝึกระดับดาวสีทองเพียงคนเดียวที่อยู่ในวิหาร ความแข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์สวรรค์ระดับที่หกสิบเอ็ด แต่ไม่ต้องกังวลไป แนวทางการฝึกยุทธ์ของเขาคือการป้องกัน แม้แต่วิญญาณยุทธ์ก็ยังเป็นเต่าทมิฬ ดังนั้นเขาถนัดการป้องกัน แต่การโจมตีนั้นไม่เท่าไหร่ ด้วยพลังของเจ้าจะต้องรับมือการโจมตีของเจิ้งซานเหอได้แน่นอน สู้เขาล่ะ!”
“ดีล่ะ…” หลินมู่อวี่ค่อยวางใจลงได้บ้าง
จากนั้นไม่นาน ครูฝึกระดับดาวสีทองในแถวเพียงคนเดียวก็ออกมา เจิ้งซานเหอเป็นชายวัยกลางคนที่ดูห้าวหาญผู้หนึ่ง ใบหน้าดำเหมือนถ่าน มือหนึ่งถือดาบเล่มโต อีกมือถือโล่เหล็กสีดำทะมึน หน้าตามีความซื่อตรง เขาหัวเราะหึ “สหายน้อยหลินจื้อ ข้ามาขอรับคำชี้แนะเกี่ยวกับการป้องกันของเจ้าสักหน่อย!”
หลินจื้อพยักหน้า
เจิ้งซานเหอกลับโบกมือ แล้วยิ้ม “ข้าใช้อาวุธ แต่เจ้าไม่ใช้ ดูจะรังแกกันไปหน่อย แบบนี้แล้วกัน พวกเราโจมตีใส่อีกฝ่ายได้ทั้งคู่ เพียงแค่เจ้าประคองไปจนถึงหนึ่งนาทีโดยไม่แพ้ ก็จะถือว่าเจ้าชนะ เป็นอย่างไร”
“ขอบคุณท่านมาก!”
หลินมู่อวี่หันหลังกลับทันที เขาชักกระบี่เหลียวหยวนจากถุงย่ามของตัวเองที่วางอยู่ข้างเสาออกมา ทำเอาเจิ้งซานเหอตกตะลึง “โอ้ นี่คือ…อาวุธวิญญาณหรือ”
“ขอรับ หากท่านรู้สึกเสียใจ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ใช้”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ…” เขาหัวเราะครืนใหญ่ “เจ้าเห็นข้าเจิ้งซานเหอเป็นคนแบบไหนกัน เชิญเข้ามาได้เลย!”
“ย้าก!”
สิ้นเสียงตะโกน วิญญาณยุทธ์ของเจิ้งซานเหอก็เริ่มเคลื่อนไหว กระดองเต่าทมิฬวนอยู่รอบตัว ส่วนหัวของเต่าทมิฬนั้นโผล่ขึ้นมาบนไหล่ของเขา ร่างของเขาทรงพลังดั่งขุนเขาที่ไม่สั่นคลอน บนโล่มีประกายของปราณยุทธ์ ดาบเล่มโตถูกชูขึ้น ทันใดนั้นดาบที่มีปราณยุทธ์ก็ฟันฉับไปทางหลินมู่อวี่
“เปรี้ยง!”
ยังคงเป็นการป้องกันสี่ชั้นของกำแพงน้ำเต้า หลินมู่อวี่ใช้พลังเพียงหกส่วน คาดไม่ถึงว่าจะเท่านี้ก็ต้านทานการโจมตีของเจิ้งซานเหอได้แล้ว เขารีบใช้ฝีเท้าดาวตกเคลื่อนตัวไปยังด้านข้างของเจิ้งซานเหอ ยกกระบี่เหลียวหยวนขึ้นและใช้พิฆาตอสนีบาต!
“เคร้ง!”
เกิดประกายไฟขึ้นบนโล่เหล็ก คาดไม่ถึงว่าจะเกิดรอยกระบี่เป็นทางยาวอย่างน้อยหลายเซนติเมตรบนโล่ เจิ้งซานเหออดตะลึงมิได้ พลางคิดในใจว่านี่มันกระบี่อะไรกัน ถึงได้คมเช่นนี้!
แต่กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่า การโจมตีของหลินมู่อวี่ไม่สามารถทำลายการป้องกันได้ อีกอย่างการป้องกันของเจิ้งซานเหอนั้นไร้ซึ่งช่องโหว่ง ไม่ว่าเขาจะเข้าโจมตีอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าถึงจุดสำคัญได้ ทุกๆ กระบี่ที่ฟาดออกไปถูกโล่เหล็กต้านไว้ได้ นี่ทำให้หลินมู่อวี่แอบประหลาดใจอยู่เงียบๆ ความสามารถด้านการป้องกันของเจิ้งซานเหอนั้นดีถึงเพียงนี้ ไม่ไปเป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองช่างน่าเสียดายจริงๆ!
หนึ่งนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลยหงยกแขนขึ้น ยิ้มแย้มกล่าว “ผ่านการทดสอบ หลินจื้อได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทอง!”
แต่ในตอนนี้เอง เจิ้งฟางที่ถือกระบี่ยาว เอ่ยขึ้น “ท่านผู้ดูแลอาวุโส หลินจื้อประลองชนะครูฝึกระดับดาวสีทองแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แบบนี้ดูจะมักง่ายเกินไปสักนิด อีกอย่างผู้ดูแลอาวุโสก็ถือหางกันเช่นนี้ ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้ผู้คนรู้สึกสงสัยได้ หวังว่าผู้ดูแลอาวุโสจะยุติธรรมบ้าง!”
เหลยหงเลิกคิ้ว “ผู้ดูแลเจิ้งฟาง ท่านจะเอาอย่างไร”
“ข้าต้องการใช้ฐานะครูฝึกระดับดาวสีทองเข้าประลองกับหลินจื้อ หากเขาชนะ จึงจะถือว่าเขาเหมาะที่เป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทอง!”
“เช่นนั้นก็ตกลง!”
สายตาของเหลยหงฉายประกายเย็นเยียบ “ภายในเวลาหนึ่งนาที หากเจ้าไม่มีทางจัดการเขาได้ หลินจื้อก็จะกลายเป็นหัวหน้าผู้ช่วยฝึกอันดับหนึ่งแห่งวิหารของเรา”
“ขอรับ!”
เจิ้งฟางถือกระบี่บางเดินเข้าสู่ลานประลอง วิญญาณยุทธ์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีรูปทรงเป็นเจดีย์ที่คลุมร่างเขาไว้ทั้งตัว กลิ่นอายที่รุนแรงและทรงพลังอย่างผิดปกติแผ่กระจายออกมาโดยรอบ
หลินมู่อวี่มองเขาซึ่งหน้า แล้วเอ่ยว่า “ข้าไปล่วงเกินอะไรท่านไว้หรือ”
เจิ้งฟางหัวเราะฮ่า ใบหน้าเผยความดุร้าย เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้า พูดขึ้นที่ข้างหูของหลินมู่อวี่ด้วยเสียงต่ำอย่างที่สุด
“วิญญาณยุทธ์น้ำเต้า พิฆาตอสนีบาต หมัดเสียงปีศาจ แล้วยังกระบี่เหลียวหยวนในมือ เจ้าคิดว่าเจ้าโง่พวกนี้ดูไม่ออก แล้วข้าเจิ้งฟางจะดูไม่ออกหรือว่าเจ้าคือหลินมู่อวี่นักโทษอุกฉกรรจ์แห่งจักรวรรดิ เจ้าสังหารพี่ใหญ่ข้าฮว๋าหวัน คิดไม่ถึงว่ายังกล้ามารนหาที่ตายถึงเมืองหลวง แต่ไม่เป็นไร ข้าจะไม่ส่งเจ้าให้ทางการหรอก ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง! เพราะการที่ข้าจะฆ่าเจ้า มันง่ายดายเหมือนเหยียบมดตายเท่านั้น!”