The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.78 ก่อชั้นผิว
หลินมู่อวี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจิ้งฟางจะมีภูมิหลังเช่นนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าตนเองจะสร้างศัตรูที่น่ากลัวแบบนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
จางเหว่ยตบบ่าเขา “หาทางรับมือดีๆ แล้วกันเจ้าน้องชาย หากไม่ระวังชีวิตน้อยๆ ของเจ้าอาจจะดับสูญได้!”
ขณะที่พูด เขาก็หัวเราะแหะๆ “แต่ข้าว่าผู้ดูแลอาวุโสเหลยหงเหมือนจะชื่นชมเจ้ามาก บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของเจ้า ขอคำชี้แนะท่านเหลยหงให้มากเข้าไว้ สำหรับเจ้าแล้วมีแต่ข้อดี”
“ขอรับ ขอบคุณมาก!”
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จางเหว่ยจะลงมือแบบยั้งไมตรีแล้ว แต่เนื้อตัวของหลินมู่อวี่นั้นยังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำเหมือนเดิม แน่นอนว่า ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของหมัดเสียงปีศาจนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของจางเหว่ยจึงมีรอยฟกช้ำอยู่หลายแห่งเช่นเดียวกัน ส่วนช่วงบ่ายเขาได้รับหน้าที่ช่วยฝึกครูฝึกระดับดาวสีเงินผู้หนึ่ง จนกระทั่งถึงช่วงเย็น หลินมู่อวี่ก็รู้สึกว่าผิวหนังทุกตารางนิ้วของตนใกล้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
หลังจากมื้อเย็น หลินมู่อวี่นั่งอยู่ในห้อง ใช้ผ้าขนหนูเช็ดรอยฟกช้ำและบาดแผลตามตัว เขากัดฟันข่มความเจ็บปวด ตัวสั่นเทิ้ม เหมือนกับสัตว์ป่าตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บแล้วกำลังเลียแผลตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนนี้เอง มีเสียง “แอ๊ด” ดังขึ้น ประตูเปิดออกเองโดยไม่มีลมพัด เหลยหงในชุดยาวสีขาวยืนอยู่ด้านนอกประตู
“ท่านผู้ดูแลอาวุโส มาแล้วหรือขอรับ” ดูเหมือนหลินมู่อวี่คาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะมา จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เหลยหงหน้าตาใจดี ริ้วรอยบนใบหน้าดูน่ารักอยู่บ้างภายใต้แสงจันทร์ เขายิ้มพูด “เจ้าคือหลินมู่อวี่สินะ”
“ข้า…” เขาตกใจมาก เหมือนตัวเองตกพรวดลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
“วางใจเถอะ หากเจ้าคือหลินมู่อวี่ศิษย์ของชวีฉู่จริง เช่นนั้นก็ง่าย” เหลยหงใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เจ้าหนู เจ้าเชื่อใจข้าเหลยหงหรือไม่”
“ขอรับ ข้าเชื่อ”
“เช่นนั้นก็ดี ตามข้ามาสิ ตาเฒ่าชวีฉู่ก็ขี้เกียจไปหน่อยแล้ว สอนลูกศิษย์ทั้งทีดันสอนแค่ครึ่งเดียว เฮ้อ หลายปีมานี้เขาก็ทำนิสัยแบบนี้มาตลอด…”
เหลยหงสะบัดชุดยาวสีขาว แล้วหันหลังเดินออกไป
หลินมู่อวี่รีบสวมเสื้อ แล้วถือกระบี่เหลียวหยวนตามออกมา
แสงดาวส่องสว่างลงมากลางลานกว้างของวิหาร สะท้อนเงาต้นไม้เป็นดวงๆ บนทางเดินที่ปูด้วยหิน เหลยหงเดินอย่างเร่งรีบ หลินมู่อวี่จำต้องใช้ฝีเท้าดาวตกถึงจะตามเขาได้ทัน ร่างของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ จิตของเหลยหงรับรู้ได้ว่าหลินมู่อวี่ยังคงตามเขามาติดๆ อดไม่ได้ที่จะปลาบปลื้มใจอีกครั้ง เจ้าเด็กนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็หยุดลงที่เรือนโบราณที่ลานด้านหลังวิหาร
เหลยหงชี้ไปที่สระน้ำด้านหน้า แล้วเอ่ยขึ้น “จากนี้ไปจงมาฝึกที่นี่ทุกวัน”
“หือ ที่นี่คือ?”
หลินมู่อวี่เดินขึ้นไปข้างหน้า ยื่นมือลงไปวัก “น้ำในสระ“ แต่กลับพบว่านี่มันใช่น้ำเสียที่ไหน กองเศษหินชัดๆ!
“ผู้ดูแลอาวุโส เศษหินพวกนี้มีประโยชน์อย่างไรหรือขอรับ“
“เลิกเรียกข้าว่าผู้ดูแลอาวุโสได้แล้ว เรียกข้าว่าปู่เหลยหงเถอะ!“ เหลยหงยิ้มอย่างเมตตา “ข้าอายุเท่ากับชวีฉู่ ให้เจ้าเรียกว่าปู่คงจะไม่น่าเกลียดกระมัง“
“ไม่น่าเกลียดเลยขอรับ ท่านปู่เหลยหง”
“ฮ่า ฮ่า…” คำเรียกท่านปู่ทำให้เหลยหงรู้สึกเบิกบาน เขาลูบเคราพลางกล่าว “ก้อนหินพวกนี้เป็นหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่เก็บมาจากภูเขาลึก พูดง่ายๆ ก็คือ มีพลังฟ้าดิน ผ่านแดดผ่านฝน ผ่านกาลเวลามาหลายหมื่นปี ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือน้ำค้างล้วนถูกซึมซับอยู่ภายในหินที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ มนุษย์มักจะมองว่าโสม เอ็นมังกร และอื่นๆ คือสิ่งล้ำค่า แต่ในความจริง สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ก้อนหินเหล่านี้กลับล้ำค่ากว่ามากนัก”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับเหมือนจะเข้าใจ
เหลยหงพูดต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้รับบาดเจ็บหลายครั้งหลายครา”
“เพราะเหตุใดขอรับ” เป็นการถามได้ตรงใจหลินมู่อวี่นัก
“เป็นเพราะหนังเจ้ายังหนาไม่พอ” เหลยหงยิ้มอย่างลึกลับ
หลินมู่อวี่งงงวย “ท่านปู่เหลยหง ท่านกำลังจะบอกว่าข้าต้องเอาอย่างพวกหมี ถูตัวกับเปลือกไม้ทุกวัน ให้ยางไม้ติดตามร่างกายจนมันแข็งและก่อตัวเป็นชั้นผิวเพื่อปกป้องอีกชั้นอย่างนั้นหรือ”
“ฮ่า ฮ่า…” เหลยหงหัวเราะครืนใหญ่ “แม้จะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ความหมายก็ประมาณนั้นแหละ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือใช้ก้อนกรวดเหล่านี้ถูผิวหนังของตัวเองทุกวัน ผิวหนังของเจ้าจะค่อยๆ ดูดซับไอวิญญาณในก้อนหินเข้าไปเอง ผู้แข็งแกร่งกระดูกเหล็กผิวทองแดงหลายคนก็อาศัยวิธีที่ง่ายดายเช่นนี้ฝึกยุทธ์จนสำเร็จ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง…” หลินมู่อวี่ถึงกับพูดไม่ออกไปเล็กน้อย
เหลยหงลูบเครา แล้วพูดต่อ “ขั้นตอนนี้ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์เรียกว่า ‘การก่อชั้นผิว’ ถึงแม้เจ้าจะผ่านขอบเขตมนุษย์มาแล้ว แต่พื้นฐานเจ้าไม่ดี เหมือนกับคนธรรมดาพวกนั้นที่รีบเร่งฝึกการก่อชั้นผิว ตอนนี้เริ่มฝึกใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งก็คงไม่ผิดอะไรกระมัง”
“ขอรับ ขอบคุณท่านปู่!”
“เอาล่ะ ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว เจ้าตั้งใจฝึกก็แล้วกัน”
“ขอรับ!”
เหลยหงจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้หลินมู่อวี่อยู่กับภูเขาหินและกองเศษหินเพียงลำพัง
เขากระโดดเข้าไปในกองหิน ไม่ทันไรแขนของเขาก็ถูกก้อนหินแหลมบาดจนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลออกมาไม่หยุด เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า วิธีการฝึกเช่นนี้จะได้ผลจริงๆ หรือ
ทว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ จุดหลิงไถก็สว่างวาบขึ้นมา ภูตสาวสวยตนหนึ่งบินออกมาจากทะเลจิต ภูตระบบลู่ลู่นั่นเอง
“พี่ชาย!”
ลู่ลู่กระพือปีก บินวนรอบหลินมู่อวี่ด้วยความตื่นเต้น ลู่ลู่ยิ้มพูด “ที่พวกท่านคุยกันเมื่อครู่ ลู่ลู่ได้ยินหมดแล้ว ความจริงพี่ชายไม่จำเป็นต้องใช้วิธี ‘โง่ๆ’ แบบนี้ก็ได้ พี่ชายลืมไปแล้วหรือว่าท่านเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธ ติ่งหลอมอาวุธสามารถหลอมไอวิญญาณที่อยู่ในหินธรรมชาตินั่นได้ แล้วก็ช่วยก่อชั้นผิวขึ้นใหม่ให้ท่านได้ด้วย!”
“หา?”
หลินมู่อวี่กระจ่างในบัดดล มีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่รู้ค่าเสียนี่ ตัวเองลืมติ่งหลอมอาวุธไปได้อย่างไรนะ มาคิดดูที่ผ่านมาสิ่งที่ใช้กับติ่งหลอมอาวุธเป็นวัตถุมาโดยตลอด แต่เขากลับไม่เคยคิดจะใช้ติ่งหลอมอาวุธมาฝึกฝนร่างกายของตัวเองเลย!
พอคิดได้ก็ลงมือทันที ที่นี่น่าจะไม่มีใครอื่นเข้ามา
“วิ้ง!”
ท่ามกลางแสงระยิบระยับ หลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมอาวุธออกมา ติ่งปรากฏให้เห็นเป็นวงกลมที่มีรัศมียาวประมาณสองเมตรห่อหุ้มตัวของเขาเอาไว้ หลินมู่อวี่เพียงแค่ต้องกระตุ้นปราณ แล้วปราณก็จะเกิดเป็นเปลวไฟขึ้นมาหลอมสิ่งที่อยู่ในติ่งหลอม หลินมู่อวี่มองไปรอบๆ เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา พูดขึ้นในใจ
“แต่หินก้อนไหนที่มีไอวิญญาณเยอะล่ะ พวกเศษหินในสระน้ำนั่นเหรอ”
ลู่ลู่หรี่ตาคู่งามมองไปรอบๆ แล้วหัวเราะ “ฮึ พวกตาแก่หน้าโง่ในวิหารนั่นจะรู้ซะที่ไหนล่ะว่าหินก้อนไหนมีไอวิญญาณเยอะ พวกนั้นล้วนแต่คาดเดาเอาเท่านั้น ความจริงนะพี่ชาย ท่านดูที่ภูเขาจำลองนั่น หินสีแดงเพลิงก้อนใหญ่สุดด้านบนนั้นต่างหากคือก้อนที่มีไอวิญญาณเยอะที่สุด แต่พวกเขากลับเอามาใช้ประดับตกแต่ง ท่านใช้กระบี่ตัดมันออกมาส่วนหนึ่ง แล้วลองดูก่อนเถอะ”
“อือ”
หลินมู่อวี่กระโดดขึ้นไปอยู่บนภูเขาจำลอง ฟันกระบี่ลงไป ก้อนหินขนาดเท่ากะละมังล้างหน้าก้อนหนึ่งก็ตกมาอยู่ในมือ เขาประคองหินด้วยสองมือแล้วค่อยๆ เข้าไปภายในติ่งหลอมอาวุธ พอปล่อยมือ ก้อนหินก็ลอยอยู่เบื้องหน้า ปราณค่อยๆ ไหลออกมา เปลวไฟแผ่ออกมาจากทั้งสี่ด้านของติ่งหลอมอาวุธห่อหุ้มหินก้อนนี้ทันที
เขาหลับตาทั้งสองข้างลง จิตเริ่มเข้าสู่ภายในก้อนหิน วิเคราะห์ส่วนประกอบของชั้นหิน เป็นจริงดั่งที่เหลยหงพูดไว้ หินได้ผ่านการสั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน ตรงช่องว่างของแต่ละชั้นมีพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลสะสมอยู่ ไอวิญญาณที่ลึกลับเหล่านี้หลับใหลมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี และในขณะนี้เปลวไฟภายในติ่งหลอมอาวุธก็กำลังค่อยๆ ทลายชั้นนอกของหิน จะทุบหินให้แตกไม่ได้ มิเช่นนั้นไอวิญญาณขนาดเล็กเหล่านั้นจะไหลหายออกไปพร้อมกับเศษหินที่แตกละเอียด
นี่เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานมาก กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดหินก้อนนี้ก็เริ่มแตกออก มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หินชั้นนอกสุดลอกออกมาเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นชั้นของพลังวิญญาณที่อยู่ด้านใน หินชั้นนี้ส่องสว่างโชติช่วงอยู่ใต้แสงจันทร์ ชวนให้หลงใหลยิ่งนัก ด้านหลินมู่อวี่หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ส่วนลู่ลู่ที่อยู่ด้านข้างก็ตบมือหัวเราะร่า “พี่ชายยอดจริงๆ เห็นชั้นของพลังวิญญาณแล้ว พยายามต่อไปนะเจ้าคะ!”
ธาตุพลังวิญญาณค่อยๆ ลอยออกมาจากรอยแตกของก้อนหินทีละนิด แล้วบินไปบินมาตามอำเภอใจอยู่ในติ่งหลอมอาวุธ พลังวิญญาณเหล่านี้เหมือนกับภูติตัวน้อยที่ยังไม่ได้สติ บางครั้งสงบเสงี่ยม บางครั้งก็คลุ้มคลั่ง เพียงแต่ไม่ว่าพวกมันจะบินไปทางไหน ก็ไม่สามารถออกไปนอกติ่งหลอมอาวุธได้ เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณเหล่านี้ออกมาจากหินก้อนนี้จนหมด ภายในติ่งหลอมอาวุธนอกจากเศษหินที่แตกละเอียดบนพื้นแล้ว ก็ยังมีแสงวิบวับจำนวนมากที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“จะเริ่มละนะ!”
หลินมู่อวี่ยืดแขนออก ทำจิตใจให้สงบ แล้วยืดเส้นยืดสายทั่วร่าง จากนั้นเขาปล่อยปราณออกมา กระตุ้นติ่งหลอมอาวุธชักนำให้พลังวิญญาณเหล่านี้มาหลอมผิวหนังของตัวเอง
ในพริบตานั้น ความแสบร้อนบนผิวหนังเกือบทำให้เขาวูบหมดสติไป ถึงขั้นทำให้ตัวเขานึกสงสัยว่า เรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างการหลอมผิวหนังของตัวเองนี้มันจะเป็นไปได้จริงๆ หรือ
“สู้ๆ พี่ชาย…” ลู่ลู่เบิกตากลมโตสดใสให้กำลังใจเขา
ลู่ลู่กับตนเองนั้นมีร่างกายเดียวกัน นางไม่มีทางทำร้ายเขาอย่างแน่นอน หลินมู่อวี่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมุ่งมั่นพยายามต่อไป ในไม่ช้า หลังจากผ่านความเจ็บปวดอันน่าตกใจนั้นมาได้ พลังวิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนดวงดาวจำนวนมากมายก็เริ่มแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง ค่อยๆ ก่อเป็นชั้นผิวหนังแทนที่ผิวหนังที่ถูกเผาไหม้ หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับร่างกาย
แล้วผิวหนังที่เกิดขึ้นใหม่ก็ปรากฏให้เห็นอย่างรวดเร็ว!
นี่คือการก่อชั้นผิวหรือ
หลินมู่อวี่ตะลึงลาน นี่มันเป็นกระบวนการทำลายร่างกายกับวิญญาณชัดๆ เลย เริ่มจากทำลายผิวหนังก่อน จากนั้นค่อยผสานพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่ วิธีฝึกยุทธ์แบบนี้ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง!
แต่ทว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า หลินมู่อวี่หลอมหินก้อนนี้จนหมด ผิวหนังบนร่างกายก็เปลี่ยนสภาพราวกับเกิดใหม่ แถมบาดแผลจากเมื่อตอนกลางวันก็ได้รับการฟื้นฟูจนหายดีทั้งหมด!
หลินมู่อวี่กำหมัดหลวมๆ รอบกำปั้นรายล้อมด้วยพลังจางๆ ไม่ต้องทดสอบก็สัมผัสได้ว่าชั้นผิวหนังนี้ได้ผลัดเปลี่ยนใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง พลังการป้องกันในตอนนี้ไม่สามารถนำพลังก่อนหน้ามาเทียบได้เลยสักนิด
เขาปล่อยหมัดออกไป “เปรี้ยง” หินก้อนหนึ่งแตกละเอียด กำปั้นกับข้อมือสัมผัสได้ถึงชีพจรที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก ซึ่งก็หมายความว่า ความรู้สึกของผิวหนังนั้นยังคงอยู่ แต่มีความทนทานมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดที่ว่าตอนชกก้อนหินไม่มีความรู้สึกอะไรเท่าไหร่
เขาลองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะไม่ใช้ปราณ
“เปรี้ยง!”
ก้อนหินสั่นน้อยๆ รอยหมัดปรากฏอยู่บนนั้น ส่วนกำปั้นสัมผัสได้ถึงความเจ็บอยู่บ้าง โดยรวมแล้วพูดได้ว่าผิวหนังเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วจริงๆ
หลินมู่อวี่ตื่นเต้นดีใจ ตวัดกระบี่ตัดหินสีแดงลงมาหลอมต่ออีก
ภายใต้แสงดาว บนยอดศาลาที่ห่างออกไปมีผู้อาวุโสสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือเหลยหง
“เจ้าเด็กนี่เลือกหินเลือดนกมาใช้ในการฝึก” เหลยหงเอ่ย
ผู้อาวุโสอีกคนคือผู้เฒ่าเกอหยาง ชายชราใจดีหนึ่งในสิบสองผู้ดูแล เขาลูบเคราพลางหัวเราะ “หินเลือดนกถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในหินที่แข็งที่สุด คิดจะดูดซับพลังวิญญาณในหินเลือดนกนั้นยากยิ่งนัก”
“แต่ดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จแล้ว แล้วกลุ่มแสงนั่นมันคืออะไรกัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าเด็กนี่ยิ่งดูก็ยิ่งน่าสนใจ” เกอหยางหัวเราะเบาๆ
“เฮอะ ก็แน่ล่ะ อัจฉริยะที่ตาเฒ่าชวีฉู่ถูกใจ ย่อมไม่ธรรมดา…จริงสิ เรื่องของเจิ้งฟางควรจะจัดการอย่างไร ถ้าหากเสินโหวออกหน้าร้องขอให้ลงโทษหลินมู่อวี่ เกรงว่าพวกเราพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” เหลยหงพูดอย่างหนักใจ
เกอหยางส่ายหัว “ท่านพี่ ท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เจิ้งฟางเป็นพวกบ้าที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เขาจะต้องอยากฆ่าหลินมู่อวี่ด้วยมือตัวเองเป็นแน่ เราแค่ต้องทำให้หลินมู่อวี่กลายเป็นคนที่ฆ่าไม่ตาย แค่นี้ก็จะปกป้องต้นกล้าชั้นดีอย่างหลินมู่อวี่ไว้ได้แล้ว”
“อืม!”