The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.79 กระบี่ดวงดารา
ในช่วงสองวันหลังจากนั้น นอกจากเวลาที่ต้องทำงานเป็นผู้ช่วยฝึก หลินมู่อวี่แทบจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอยู่ที่ภูเขาจำลอง ผลการฝึกของเขาก็โดดเด่นมาก หินเลือดนกที่สูงหลายเมตรก้อนนั้น ถูกเขาหลอมจนกลายเป็นผงหินหมดแล้ว แถมยังดูดซับพลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในหินจนเหือดแห้งด้วย เห็นผลชัดเจน หลอนมู่อวี่ในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่ามีผิวเป็นทองแดงแล้ว
ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอื่นมายืนยัน จางเหว่ย เหลยหยิ่งและครูฝึกคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของหลินมู่อวี่ ด้วยตำแหน่งผู้ช่วยฝึก หลายวันมานี้เขากลับไม่มีบาดแผลตามร่างกาย วิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
หลายวันมานี้หลินมู่อวี่เองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมฉู่เหยา เพราะสถานะของตนถูกเปิดโปงแล้ว เจิ้งฟางจับตามองตนเองอยู่ ดังนั้นไม่ควรพาปัญหานี้ไปให้ฉู่เหยา ในทางกลับกันฉู่เหยามีพี่ชายอย่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนคุ้มครองอยู่ อย่างไรเสียฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็เป็นหนึ่งในองครักษ์อวี้หลินสองร้อยนายประจำพระราชวัง ด้วยฐานะพิเศษเช่นนี้ คนอื่นไม่กล้าล่วงเกินฉู่เหยาแน่นอน
พลบค่ำวันนี้ หลังจากมื้อเย็นหลินมู่อวี่ถือใบขออนุญาตออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันนี่เอง ฉินจื่อหลิงก็ตามมาด้วย ฉินจื่อหลิงเลื่อมใสในฝีมือของหลินมู่อวี่เป็นอย่างมาก ท่าทางเต็มใจที่จะเป็นลูกน้อง แต่หลินมู่อวี่ไม่มีความคิดจะรับลูกน้อง ดังนั้นจึงปฎิบัติต่อเขาดั่งเพื่อน
ท้องถนนตอนกลางคืนของเมืองหลวงค่อนข้างคึกคักทีเดียว หลินมู่อวี่สะพายกระบี่เหลียวหยวนไว้ด้านหลัง เดินผ่านถนนที่ปูหินอย่างรวดเร็ว ฉินจื่อหลิงที่ตามมาติดๆ ด้านหลังวิ่งจนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก “หลินจื้อ อย่าเดินเร็วมากสิ บอกข้าหน่อยสิว่าเจ้าหาอะไรอยู่กันแน่”
“ร้านศาสตราวุธน่ะ ร้านศาสตราวุธที่ดีที่สุดของเมืองหลวงคือร้านไหน จื่อหลิงเจ้าพาข้าไปหน่อยสิ”
“อ่อ” ฉินจื่อหลิงลดเสียงกล่าว “ร้านที่ขายดีที่สุดคือร้านทางฝั่งเหนือของเมือง แต่ร้านศาสตราวุธที่มีของดีเยอะสุดคือร้านศาสตราวุธว่านเซิ่งทางฝั่งใต้ ว่ากันว่าที่นั่นมีขายกระทั่งอาวุธวิญญาณเชียวนะ!”
“ดี เราไปที่นั่นกันเถอะ!”
“อือ!”
พวกเขาวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงฝั่งใต้ของเมือง เห็นป้ายร้านศาสตราวุธว่านเซิ่งมาแต่ไกล ตัดกับป้ายของหอโคมเขียวที่อยู่ห่างออกไปได้อย่างน่าสนใจ
หลังจากก้าวเข้าไปในร้าน พนักงานในร้านเห็นเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาก็ไม่ได้สนใจอะไร กลับเป็นหลินมู่อวี่ที่ถามคำถามดึงดูดความสนใจของเขา “ไม่ทราบว่า อาวุธที่ดีที่สุดของร้านนี้อยู่ตรงไหนหรือ”
พนักงานผู้นั้นงงงัน พิจารณาหลินมู่อวี่อย่างละเอียด ไม่รู้สึกว่าเขาจะมีเงินสักเท่าไร จึงขมวดคิ้วพูด “อาวุธที่ดีที่สุด เจ้าจะซื้อไหวหรือ”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “อ่อ ต้องขอโทษด้วย ความจริงแล้วข้าคิดจะมาขายอาวุธน่ะขอรับ เชิญท่านดูนี่”
เขาหยิบกระบี่เหลียวหยวนส่งให้ “ชิ้ง” พนักงานดึงกระบี่ออกมาครึ่งฝัก ใบหน้าฉายแววยินดี “อาวุธวิญญาณเกรดสาม ของดีนี่ จอมยุทธ์น้อยทำไมท่านถึงมีสิ่งนี้ได้”
หลินมู่อวี่ยักคิ้ว “เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ บอกมาเถอะ ที่นี่มีกระบี่ที่ดีกว่าเล่มนี้หรือไม่”
“ดูท่านพูดเข้า แน่นอนว่าต้องมี ตามข้ามาสิ!”
พนักงานพาพวกเขาพวกเขาสองคนเดินอ้อมระเบียงทางเดิน พูดเสียงนอบน้อม “เถ้าแก่ มีจอมยุทธ์น้อยท่านหนึ่งต้องการชมของล้ำค่าของร้านศาสตราวุธว่านเซิ่งขอรับ!”
ประตูห้องโถงเปิดออก เห็นชายชราท่าทางกระฉับกระเฉงปรากฏตัวขึ้นด้านใน แววตาเป็นประกายสดใส หลังจากเห็นกระบี่เหลียวหยวนที่หลินมู่อวี่สะพายอยู่ด้านหลัง แววตาก็เผยความประหลาดใจออกมา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นธรรมดาที่จะมองออกว่ากระบี่เล่มนั้นไม่ใช่ของธรรมดา จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “จอมยุทธ์น้อย เชิญเข้ามาเถอะ!”
หลินมู่อวี่ก้าวขาเข้าไป ถึงได้เห็นว่าโถงด้านหน้าที่เต็มไปด้วยอาวุธละลานตานั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่อาวุธธรรมดาๆ ชั้นดีเท่านั้น แต่อาวุธที่จัดวางในห้องนี้ กลับดูไม่ธรรมดาเลย ถึงขนาดที่อาวุธบางชิ้นพอเดินเข้าไปใกล้ก็รู้สึกถึงความร้ายกาจของมันแล้ว ทำเอาขนลุกไปหมด!
ตอนที่เขายืนอยู่เบื้องหน้าดาบใหญ่เล่มหนึ่ง ชายชราเจ้าของร้านก็ยิ้มพูด “ดาบราชสีห์คราม ระดับนิลขั้นที่หนึ่ง เคยเป็นอาวุธของปราชญ์สงครามหลิวเซวี่ยนหยิ่ง เป็นสมบัติล้ำค่าประจำร้าน ราคาสี่แสนเหรียญทอง แต่ไม่มีผู้ใดสามารถซื้อได้”
หลินมู่อวี่พูดไม่ออก แพงอะไรขนาดนี้ เงินเดือนของตนแค่หนึ่งร้อยเหรียญทอง หนึ่งปีก็พันสองร้อยเหรียญทอง นับๆ ดูแล้วตนต้องอยู่ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แบบไม่กินไม่ใช้สามร้อยสามสิบสามปีถึงจะซื้อดาบเล่มนี้ได้ แถมตนเองในตอนนี้ก็จัดว่าเป็นผู้มีรายได้สูงแล้วด้วย หากเปลื่ยนเป็นเจ้ายาจกแบบฉินจื่อหลินที่เงินเดือนห้าเหรียญทอง คงต้องถูกซ้อมอีกหมื่นปีถึงจะซื้อดาบเล่มนี้ได้!
ครู่เดียวเขาก็เดินมาถึงหน้าธนูยาวสีแดงเพลิงคันหนึ่ง ตัวเขามีธนูแกะสลักอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สู้ธนูคันนี้ไม่ได้ เพราะสายธนูคันนี้ส่องประกายวิบวับ ราวกับแสงจันทร์ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่า!
เถ้าแก่ยิ้มแล้วพูดต่อ “ธนูหยกเหมันต์จันทรา อาวุธระดับปราชญ์ขั้นที่ห้า เล่าขานกันว่าเป็นอาวุธของเทพธิดามู่หรงเยี่ยนที่ได้เข้าสู่ขอบเขตเทวะเมื่อสามพันปีก่อน หลังจากเหาะขึ้นสวรรค์ นางก็ทิ้งธนูคันนี้ไว้ และท้ายสุดมันก็ตกมาอยู่ในมือของข้า ราคาแปดแสนเหรียญทอง”
หมินมู่อวี่พูดไม่ออกอีกครั้ง ธนูคันนี้เป็นของดีจริงๆ แต่แน่นอนว่าตัวเขาไม่มีปัญญาซื้อ
“เถ้าแก่ ช่างตีเหล็กของเมืองหลวงจะทำอาวุธระดับวิญญาณและระดับนิลไม่ได้เชียวหรือ แล้วทำไมอาวุธเหล่านี้ถึงได้แพงหูฉี่ขนาดนี้ด้วย” เขาถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจออกไป
เถ้าแก่หัวเราะเสียงดัง “จอมยุทธ์น้อย ช่างตีเหล็กส่วนใหญ่ไม่ฝึกยุทธ์ อายุขัยของพวกเขามีแค่ร้อยปีเท่านั้น และช่างตีอาวุธไม่ได้หากันได้ง่ายๆ กี่หมื่นปีอาจจะมีสักคน หลายคนชั่วชีวิตสร้างผลงานชิ้นเอกได้เพียงชิ้นสองชิ้น ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่อาวุธระดับวิญญาณและระดับนิลจะหาได้ยากยิ่ง”
พูดจบ เขายิ้มอย่างมีเลศนัย “จอมยุทธ์น้อย เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนในเมืองหลวงเรียกข้าว่าอะไร”
“หืม เรียกว่าอะไรหรือขอรับ”
“ผู้เฒ่ากระบี่”
“เพราะอะไรขอรับ” ฉินจื่อหลิงอดที่จะถามไม่ได้
“เพราะชั่วชีวิตของข้าลุ่มหลงอยู่แต่กับทักษะกระบี่!” ผู้เฒ่ากระบี่หัวเราะฮ่าๆ ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น กระบี่เหลียวหยวนที่อยู่ด้านหลังหลินมู่อวี่หลุดออกจากฝักทันที ภายใต้การควบคุมของพลังไร้รูปร่าง มันหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงหวีดแหลมออกมา หลินมู่อวี่เงยหน้ามอง ใบหน้าเผยความตกตะลึง ไม่รอให้เขาได้ตั้งตัว ผู้เฒ่ากระบี่กดฝ่ามือลง กระบี่เหลียวหยวนกลับคืนสู่ฝักเอง แทบไม่ให้หลินมู่อวี่ได้มีโอกาสตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโส…ทักษะกระบี่ยอดเยี่ยมจริงด้วย หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ” ในใจหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความชื่นชม
ผู้เฒ่ากระบี่ลูบเครา ยิ้มกล่าว “หนึ่งในใต้หล้าข้าไม่กล้ารับ ข้ายังเก็บของล้ำค่าไว้อีกชิ้นหนึ่งด้วย นั่นถึงจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า จอมยุทธ์น้อยอยากดูหรือไม่”
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่ากระบี่เดินข้างผนัง กดกลไกเบาๆ ผนังก็เริ่มสั่น จากนั้นมีลิ้นชักยื่นออกมา ผู้เฒ่ากระบี่ประคองกล่องสีดำทรงยาวออกมาวางบนโต๊ะ ยิ้มพูด “เชิญดูนี่เถิด!”
หลินมู่อวี่เดินขึ้นไปข้างหน้า เปิดกล่องออก เห็นกระบี่โบราณมากเล่มหนึ่ง เขายกมันขึ้นมา ดึงกระบี่ออกจากฝักมาเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกถึงคลื่นพลังงานไร้รูปร่างไหลวนอยู่รอบกระบี่ ส่องประกายวาววับ รูปทรงกระบี่งดงามแบบโบราณ ตัวกระบี่ใสเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับถูกฉาบด้วยแสงดาว มหัศจรรย์มาก ที่สำคัญที่สุดคือใบมีดบนกระบี่ซ้อนทับกัน “หลายชั้น” เป็นการออกแบบที่แทบจะมองไม่ออกด้วยด้วยตาเปล่า นี่ยิ่งทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกตื่นตะลึง ทักษะหล่อหลอมของเขารวมวิชาตีเหล็กอยู่ด้วย กระบี่เล่มนี้เป็นสุดยอดกระบี่ที่หาไม่ได้ง่ายๆ
“นี่เป็นกระบี่ระดับไหนหรือขอรับผู้อาวุโส เป็นกระบี่ที่สุดยอดมาก!” เขาพูดชมจากใจจริง
ผู้เฒ่ากระบี่พอใจกับการแสดงออกของหลินมู่อวี่ “กระบี่เล่มนี้ชื่อว่า ‘ดวงดารา’ ระดับปราชญ์ขั้นที่สาม ระดับความคมชนะเหนือดาบราชสีห์ครามและธนูหยกเหมันต์จันทราอยู่มาก เป็นของล้ำค่าที่แท้จริงประจำร้าน ข้ากล้ารับรองได้ว่าทั้งเมืองหลวงหรือทั้งจักรวรรดิไม่มีอาวุธเล่มไหนที่เทียบกระบี่ดวงดาราได้เลย จอมยุทธ์น้อยเจ้าคิดว่าอย่างไร”
หลินมู่อวี่ชอบกระบี่ดวงดารามากจนวางไม่ลง เขาตอบ “หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ…กระบี่เล่มนี้ราคาเท่าไรหรือขอรับ”
“ประเมินราคามิได้…” ผู้เฒ่ากระบี่ส่ายหน้าแล้วยิ้มทอดถอนใจ “ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดมีปัญญาซื้ออาวุธเทพที่ล้ำค่านี้ได้เลย และยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ขายด้วย รอวันที่ข้าตาย ข้าก็จะฝังกระบี่เล่มนี้ลงโลงไปด้วยกัน แค่หวังว่าจะไม่ถูกพวกโจรขุดสุสานขโมยไป…”
หลินมู่อวี่อดพูดหยอกไม่ได้ “งั้นผู้อาวุโสอย่าลืมบอกที่ฝังศพท่านให้ข้ารู้ด้วยก็แล้วกัน…”
ผู้เฒ่ากระบี่หัวเราะ ไม่เอามาใส่ใจ เพราะนี่เป็นการยืนยันว่ากระบี่เล่มนี้ยอดเยี่ยมที่สุด
“จอมยุทธ์น้อย ท่านยังอยากซื้อกระบี่หรือว่าขายกระบี่อยู่หรือไม่” ผู้เฒ่ากระบี่ถามขึ้นอีก
หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่แล้วล่ะ ร้านศาสตราวุธว่านเซิ่งเปิดหูเปิดตาให้ข้ามากแล้ว ขอบคุณผู้เฒ่ากระบี่ที่ให้พวกเรามาดูของล้ำค่าเช่นนี้ ขอบคุณท่านมาก…”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเกรงใจ กลับดีๆ ข้าไม่ส่งล่ะ!”
ความจริงแล้วผู้เฒ่ากระบี่เป็นผู้ที่หลงใหลกระบี่ แค่ฟังชื่อก็รู้แล้ว การมีคนมาชื่นชมของสะสมล้ำค่าของตัวเอง แค่นี้ก็เป็นความสุขของเขาแล้ว
แต่หลินมู่อวี่กลับคิดในใจว่าวิชาตีอาวุธในทักษะหล่อหลอมของเขาถ้านำมาใช้บนโลกแห่งนี้จะสำเร็จได้มากแค่ไหนกันนะ ตนเองจะสามารถตีอาวุธเทพที่เทียบเท่ากับกระบี่ดวงดาราได้หรือไม่ ถึงจะค่อนข้างยาก แต่ถ้าไม่ลองพยายามก่อนจะรู้ผลได้อย่างไร
เดินผ่านระเบียงทางเดิน มีทหารจำนวนหนึ่งกำลังฝึกซ้อมอยู่ที่สวนด้านหลัง ร้านศาสตราวุธมีของล้ำค่ามากมายขนาดนั้น หากไม่มีกองกำลังที่เพียงพอของตัวเองมาดูแลก็ออกจะเป็นไปไม่ได้ แม้ตอนกลางคืนจะมีทหารรักษาการณ์ออกตรวจตราทั่วเมืองอยู่แล้วก็ตาม
ระหว่างทางกลับ ฉินจื่อหลิงสงสัยว่าหลินมู่อวี่มาร้านศาสตาราวุธเพื่ออะไรกันแน่ หลินมู่อวี่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนักเกี่ยวกับทักษะหล่อหลอมของตน เก็บเป็นความลับไว้ได้จะดีกว่า เขาเข้าใจคำกล่าวที่ว่า “ชาวบ้านเดิมทีไม่มีความผิด แต่เพราะครอบครองหยกจึงมีความผิด*” เป็นอย่างดี หากคนอื่นทราบว่าตนมีติ่งหลอมอาวุธที่สุดยอดขนาดนั้นอยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะอยากรีบจำกัดเขาทิ้งก็เป็นได้!
กำลังเดินอยู่ดีๆ จู่ๆ ด้านหน้าก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น ทหารม้าติดอาวุธหลายร้อยนายพุ่งตรงเข้ามา!
“ระวัง!”
หลินมู่อวี่นั้นว่องไว จึงดึงฉินจื่อหลิงหลบทหารม้าที่พุ่งเข้ามา ฉินจื่อหลิงตกใจจนหน้าซีดเผือด “นี่มันเกิดอะไรขึ้น จะรีบไปไหนกัน กองทัพของตระกูลไหนเนี่ย”
มองไปตามทางที่ทหารม้าวิ่งผ่านไป ด้านหลังยังมีทหารตามมาอีกไม่ขาดสาย เป็นทหารจากจวนขุนนางระดับสูง บนป้ายหน้าจวนเขียนด้วยอักษรสีทองขนาดใหญ่ “ตระกูลถังแห่งซีไห่”!
ฉินจื่อหลิงตกตะลึง “อ่า…กองทัพของชางหลันกงแห่งชีไห่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
หลินมู่อวี่ใจหายวาบ “ชางหลันกง…ใช่ท่านปู่ของถังเสี่ยวซีหรือไม่”
“ใช่แล้ว หลินจื้อเจ้าก็รู้จักหรือ”
“อืม”
หลินมู่อวี่ไม่พูดมากอีก รีบเบียดฝูงชนเข้าไป คว้าคอเสื้อของท่านลุงคนหนึ่งไว้ แล้วรีบถาม “ท่านลุง ตระกูลถังเป็นอะไรไปเหรอ”
ท่านลุงคนนี้นับว่ามีไมตรีอยู่บ้าง เห็นกระบี่ที่ด้านหลังหลินมู่อวี่ จึงตอบด้วยความเกรงใจ “เมื่อเจ็ดวันก่อนถังเสี่ยวซีคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลถังพาทหารองครักษ์เข้าไปตามหาเจ้าเด็กที่ชื่อหลินมู่อวี่ในป่าล่ามังกร ใครจะไปคิดว่าจะถูกพวกโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ไล่สังหาร ถังเสี่ยวซีตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เมื่อตอนเย็นโชคดีที่มีองครักษ์ใกล้ชิดควบม้ากลับมา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาเลยจะส่งกองทหารออกไปตามหาองค์หญิงถังเสี่ยวซี”
“เสี่ยวซีนาง…ไปตามหาข้างั้นหรือ”
สมองของหลินมู่อวี่ของโพลนทันที
* 匹夫无罪,怀璧其罪 แปลว่า ชาวบ้านเดิมทีไม่มีความผิด แต่เพราะครอบครองหยกจึงมีความผิด เพราะชาวบ้านไม่มีปัญญาครอบครองหยกได้ นอกเสียจะไปขโมยมา ใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่ต้องตายหรือบาดเจ็บเพราะมีความสามารถ