The Book - ตอนที่ 10 บทที่ 1 องค์ 5 (1)
ทารกพร้อมผ้าห่อตัวถูกทิ้งไว้ที่วัดแห่งหนึ่งในช่วง 10 มิถุนายน ปี 1982 เจ้าอาวาสติดต่อไปยังกองสวัสดิการเด็กในทันที และต่อมาในวันเดียวกันนั้นเองที่ทารกน้อยถูกส่งตัวไปยังสถานอนุบาลเด็กอ่อน
ผู้อำนวยการของศูนย์เป็นคนตั้งชื่อให้กับเด็กน้อยคนนั้น สถานอนุบาลตั้งอยู่บนท้องที่ฮาสุมิจิ ดังนั้นเขาจึงให้นามสกุลเด็กว่า “ฮาสุมิ” ส่วนตัวเด็กน้อยมีปานรูปม้าที่บริเวณหัวไหล่ข้างขวา เขาจึงตั้งชื่อให้ว่า “ทาคุมะ” (อักษร “มะ” ในชื่อแปลว่า ม้า)
ฮาสุมิ ทาคุมะ อยู่ที่สถานอนุบาลเด็กอ่อนจนอายุครบหนึ่งขวบ จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่ซึ่งเด็ก 15 คนพักอาศัยอยู่ โดยมีผู้ดูแลคอยจัดการเรื่องอาหารการกินและซักเสื้อผ้าให้ ทั้งหมดอยู่ที่นั่นด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป เช่น พ่อแม่ต้องโทษในเรือนจำ หรือยากจนจนไม่สามารถเลี้ยงดูต่อไปได้ กระนั้นกรณีเด็กที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครอย่างทาคุมะ ก็ไม่ค่อยพบเจอได้บ่อยนัก
เมื่อทาคุมะอายุได้ 5 ขวบ ก็มีเด็กอายุ 3 ขวบอีกคนหนึ่งเข้ามาที่สถานรับเลี้ยง สาเหตุที่เขาต้องมาอยู่ที่นี่ก็เนื่องจากถูกพ่อเลี้ยงทำร้าย ในช่วงกลางดึก เด็กคนนี้จะร้องไห้อยู่เป็นประจำ จึงทำให้ทุกคนเรียกเขาว่า เด็กขี้แย
ที่สถานรับเลี้ยง เด็กอายุต่ำกว่าระดับประถมทุกคนต้องนอนด้วยกันในห้องใหญ่ แต่เนื่องจากเด็กขี้แยเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด เด็กที่อยู่ในห้องนั้นจึงไม่ค่อยได้นอน เด็กบางคนหงุดหงิดถึงขึ้นตีเขาด้วยหมอน กระทั่งคืนหนึ่งที่ทาคุมะนั่งลงพูดคุยกับเด็กขี้แย
“ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ?”
เด็กขี้แยไม่ตอบ ได้แต่นอนสะอึกสะอื้นต่อไป ทาคุมะโอบกอดศีรษะของเด็กน้อยเอาไว้ และพบรอยช้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณกลางหลัง เด็กขี้แยใช้แขนเสื้อที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตาขึ้นเช็ดหน้า
“นี่ ฉันจะเล่าอะไรสนุก ๆ ให้ฟัง เอามะ? ไม่ต้องร้องแล้ว”
เขาวางเด็กขี้แยลงบนที่นอน ระหว่างที่ลูบหลังเอาไว้ ก็เล่าเรื่อง “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” และ “นกสีฟ้าแห่งความสุข” ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสถานรับเลี้ยงเคยอ่านให้ฟัง ทาคุมะเล่านิทานได้อย่างรื่นหู จนเด็กขี้แยรู้สึกเพลิดเพลินจนหยุดร้องไห้และผลอยหลับไปอย่างอารมณ์ดี
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทาคุมะก็หาเรื่องใหม่ ๆ มาเล่าให้เขาฟังอยู่เสมอทุกคืน ระหว่างนั้นเองที่เด็กคนอื่น ๆ ก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อมาร่วมฟังไปด้วยกัน กลายเป็นว่าทุกค่ำคืนที่ห้องพัก เด็กทุกคนจะมารายล้อมทาคุมะ กอดกันในความมืด แววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นว่าจะได้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้นแบบใดในค่ำคืนนี้
เจ้าหน้าที่เริ่มได้ยินเสียงในยามค่ำคืน เมื่อลองแอบฟังจากด้านนอก ก็ให้แปลกใจว่าทาคุมะสามารถจดจำเรื่องราวเรื่องราวที่พวกเขาเคยเล่าให้ฟังได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อกลับไปตรวจเทียบกับหนังสือ ก็พบว่ามันตรงไปทุกตัวอักษรอย่างไม่มีตกหล่น เขาจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“นี่หนูจำเรื่องทั้งหมดได้ยังไงเนี่ย?”
พวกผู้ใหญ่ถามทาคุมะในวันหนึ่ง
“ไม่มีอะไรนี่ครับ ก็จำได้ทั้งหมดเลย อะไร ๆ ที่เคยกินผมก็จำได้”
จะมีซักกี่คนบนโลกนี้ที่จดจำจำนวนขนมปังที่ตัวเองเคยกินได้? แต่ทาคุมะก็จำได้อย่างชัดเจน เขาจำทุกมื้ออาหารที่เคยกินได้ ทุกมื้อตั้งแต่อาหารเด็กอ่อนจนอายุปัจจุบันที่ 5 ขวบ
พวกผู้ใหญ่ในสถานรับเลี้ยงทดลองเอาไพ่มาสับ แล้วลองวางเกลี่ยบนโต๊ะ
“ไหนมองไพ่หน่อยซิว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง?”
ทาคุมะมองไพ่ทั้ง 52 ใบบนโต๊ะอยู่ราวสิบวินาที จากนั้นพวกเขาจึงคว่ำหน้าไพ่ลงทั้งหมด เพื่อทดสอบความจำ
“เอาล่ะ ลองบอกเลขและสัญลักษณ์ของไพ่มาหน่อย”
เมื่อทาคุมะชี้ไพ่ทีละใบและบอกหน้าไพ่ได้อย่างถูกต้องไปเรื่อย ๆ จนเจ้าหน้าที่ถึงกับเปิดไพ่ตามแทบไม่ทัน พวกผู้ใหญ่เริ่มจับกลุ่มคุยกันอื้ออึง
“ไอ้หนูนี่มันอัจฉริยะชัด ๆ”
จากนั้นเขาจึงถูกพาขึ้นรถไปยังสถานีวิจัยของวิทยาลัยการแพทย์ ที่ห้องวิจัยนั้นเอง ทาคุมะถูกหมวกประหลาด ๆ สวมหัวเพื่อวัดระดับคลื่นสมอง ถูกทดสอบให้จดจำตัวเลขเป็นร้อยเป็นพันบรรทัด และเมื่อพบว่าเขาจดจำได้ทั้งหมด เหล่าผู้ใหญ่ก็ดูจะตื่นเต้นกันมาก
ระหว่างทางกลับสถานรับเลี้ยง เขาได้รับอนุญาตให้ทานไอศกรีมที่ร้านกาแฟหน้าสถานีรถไฟ ตัวร้านกาแฟมีโต๊ะเก้าอี้วางไว้ตรงระเบียงร้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยงก็มักจะเลือกนั่งข้างนอกตัวร้านเนื่องจากได้บรรยากาศที่ดีกว่า ระหว่างที่พวกเขากำลังทานไอศกรีมอยู่นั้นเอง ก็มีเด็กกลุ่มนักเรียนมัธยมต้นซึ่งกำลังเดินทางกลับบ้านผ่านมา นักเรียนที่กลับบ้านด้วยรถไฟและรถเมล์ หรือเหล่าเด็ก ๆ ที่กลับจากไปเล่น มักจะหยุดดูของที่ร้านหน้าสถานี ทำให้สถานที่แห่งนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนในชุดเครื่องแบบสีดำอยู่อย่างเนืองแน่น
พวกเขาแวะมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้มาหลายครั้งแล้ว ทาคุมะสังเกตเห็นว่าคนที่ผ่านไปผ่านมาเหล่านั้น ไม่มี “คนหน้าใหม่” เลย ตอนพูดคุยกับพวกเจ้าหน้าที่
“หมายความว่าหนูจำหน้าพวกนักเรียนพวกนี้ได้ทุกคนเลยเหรอ?”
พวกผู้ใหญ่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“นี่คือพอพบหน้ากัน ก็จดจำใบหน้าเก็บไว้ได้เลยเรอะ ใบหน้าของพวกนักเรียนทุกคนในชุดเครื่องแบบเนี่ยนะ”
หลังจากที่เก็บรวบรวมข้อมูลต่อมาอีกระยะ นักวิจัยนำไปตรวจสอบกับจำนวนนักเรียนที่เข้าเรียน เทียบกับจำนวนที่ทาคุมะจดจำได้ ก็พบว่าตรงกันทุกประการ เหมือนกับที่เจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยงเด็กกล่าวไว้ว่า ทาคุมะจดจำใบหน้าของนักเรียนได้ทุกคนจริง
ทาคุมะจดจำทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แม้เพียงได้เห็นเพียงครั้งเดียว ราวกับบันทึกด้วยภาพถ่ายหรือวิดิโอ เขาสามารถฉายภาพซ้ำได้ด้วยการหลับตามองหลังเปลือกตาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ไม่ถูกบิดเบือนด้วยอารมณ์หรือเลือนลางจางหาย รายละเอียดแจ่มชัดในทุกที่ที่สายตามองเห็น จำได้แม้กระทั่งสีหน้าของเหล่าผู้คนที่เดินผ่าน สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และแม้จะได้ยินสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เสียงเหล่านั้นก็จะถูกจดจำได้เหมือนกับบันทึกด้วยเทป เขายังสามารถจดจำรสชาติของเครื่องปรุงในอาหารทุกมื้อที่เคยได้ทาน นอกจากแสง สี กลิ่น รส และสัมผัสแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาสามารถจดจำได้ ก็คือความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิดยามได้มองเมฆบนฟ้าไม่กี่วันก่อน ความเคืองเมื่อโดนเพื่อนหยิกเมื่อหลายปีก่อน หรือความรู้สึกใจเต้นในทุกนาทีของปีที่ผ่านมา เขาก็จดจำได้จนหมดสิ้น
ถึงอย่างไรก็ตาม ทาคุมะก็หาใช่อัจฉริยะไม่ เขาไม่สามารถนำข้อมูลที่จดจำได้มาวิเคราะห์ผลเพื่อก่อเกิดข้อมูลใหม่ ๆ หรือตอบคำถามซึ่งเขาไม่เข้าใจมาก่อนได้ สมองของทาคุมะไม่เหมือนกับหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำการคำนวนอย่างรวดเร็ว หากแต่เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้แม่นยำ รวบรวมและบันทึกข้อมูลได้ราวกับมีคลังข้อมูลขนาดมหึมาอยู่ในสมอง เมื่อได้ค้นพบความจริงข้อนี้แล้ว เหล่าบรรดาศาสตราจารย์และแพทย์ที่คาดหวังถึงอัจฉริยภาพของเขาต่างก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อย ทั้งนี้ภาพความรู้สึกของคนรอบข้างในขณะนั้น ก็ถูกจดจำรายละเอียดลงในความทรงจำของเขาด้วยเช่นกัน
ในช่วงปีการศึกษาของชั้นประถมหนึ่ง ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ระหว่างที่ทาคุมะกลับจากโรงเรียน เขาได้พบการวิ่งราวต่อหน้าต่อตา คนร้ายขี่รถมอเตอร์ไซค์เล็กมาทางด้านหลังของหญิงชรา ระหว่างที่ขับรถผ่านก็กระชากกระเป๋าไปจากมือของเธอแล้วขับหนีหายไป กว่าสามวันให้หลังก็ยังตามจับคนร้ายไม่ได้ เขาได้ยินมาว่าในกระเป๋ามีค่าใช้จ่ายเพื่อดำรงชีพทั้งหมดของหญิงชราอยู่ ด้วยความที่อยากจะช่วยเหลือ ทาคุมะจึงย้อนความทรงจำในวันนั้นในหัวของตนเอง
เขาจำได้ว่ามีนกกระจอก 24 ตัวกำลังบินขึ้นไปบนฟ้า ในยามที่ล้อของรถคนร้ายขับผ่านมา จำได้ว่านานกี่วินาทีที่หญิงชรากรีดร้อง แต่คนร้ายนั้นสวมหมวกกันน็อก เขาจึงมองไม่เห็นหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ป้ายทะเบียนก็ถูกเทปแพ็คของปิดทับเอาไว้ จึงแทบไม่มีอะไรเป็นร่องรอยได้เลย
เมื่อลงรายละเอียดให้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ภาพความทรงจำก็เริ่มแจ่มขัดขึ้น ทุกสิ่งที่เห็น ได้ยิน ความรู้สึกบนผิวหนัง ใจที่เต้นแรงขึ้นจากอาการตกใจ เขากดสติสัมปชัญญะเพื่อรวบรวมประสาทสัมผัสเข้าด้วยกัน จนรู้สึกราวกับตนเองย้อนเวลากลับไปอยู่ช่วงเวลานั้น โลกทั้งใบที่ต่างจากโลกที่อยู่ในปัจจุบันกำลังเกิดขึ้นในหัวของเขา โลกที่แทบไม่ต่างจากความเป็นจริง และหลังจากที่ได้ยินหญิงชรากรีดร้องเป็นครั้งที่ 30 ในหัว เขาก็เริ่มได้ร่องรอยของคนร้าย
ในเสี้ยววินาทีที่คนร้ายกระชากกระเป๋า รถมอเตอร์ไซค์เล็กก็เอียงขึ้นเล็กน้อย เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับตัวรถ ในมุมที่หากไม่ตั้งใจคงมองไม่เห็น ปรากฎรอยขีดข่วนลักษณะคล้ายสายฟ้าสะท้อนแสงเด่นชัดขึ้นมา เมื่อบอกเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยง เรื่องก็ส่งต่อถึงตำรวจ แม้ตำรวจจะดูมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กระนั้นพวกเขาก็ลองมองหารถมอเตอร์ไซค์ที่มีลักษณะตามที่ทาคุมะบอกไว้ ไม่นานนัก คนร้ายก็ถูกจับตัวได้
แต่นั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย ที่ความทรงจำของทาคุมะถูกนำมาใช้ในเรื่องที่ดี