The Book - ตอนที่ 11 บทที่ 1 องค์ 5 (2)
ในชั้นปีประถมสอง ทาคุมะประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน
สาเหตุก็เนื่องมาจากเขาเดินไปด้วยในขณะที่กำลังย้อนความทรงจำ นึกถึงเพลงที่ได้ยินในชั่วโมงดนตรี เขาสามารถย้อนฟังเพลงที่คุณครูเล่นได้ตั้งแต่ต้นจนจบได้ในหัว จำได้ว่าเป็นเพลงของโมซาร์ท รู้สึกเหมือนเคยได้ยินเพลงนี้ที่ไหนมาก่อนแต่ก็จำไม่ได้ว่าได้ยินที่ไหน ทาคุมะนั้นไม่เคยรู้สึกถึงการจำบางสิ่งไม่ได้มาก่อน ในระหว่างที่เขาใส่รองเท้า เดินมาถึงมุมตึก และก้าวข้ามถนน ในหัวของเขาก็ยังคงย้อนถึงช่วงที่คุณครูยังเล่นดนตรีอยู่นั่นเอง
กว่าจะกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง รถยนต์ทางด้านขวาก็มาถึงตัวแล้ว
แม้จะโชคดีที่ไม่ถึงกับชีวิต แต่ก็นอนหมดสติไปหลายวัน และอาจเป็นเพราะเหตุการณ์นี้ ทาคุมะจึงตัวผอมกว่าเด็กในวัยเดียวกัน โดยกันชนของรถก็ยังทิ้งรอยไว้บนต้นขาของเขาอีกด้วย
ทาคุมะยังต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกหลายวัน ระหว่างที่บนเตียง เขาย้อนภาพการ์ตูนที่เคยดูในความทรงจำ เขาจดจำได้ถึงบทสนทนาและรูปภาพบนจอทีวีได้ทุกตอน และในช่วงที่ต้องกินอาหารเหลว เขาก็เรียกความทรงจำรสชาติของแกงกะหรี่ที่เคยได้กินที่สถานรับเลี้ยงออกมาในหัว ทำให้อาหารเหลวแสนจืดชืดมีรสมีชาติขึ้นมาบ้าง
แต่ข้อเสียของการเก็บสะสมข้อมูลที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในสมองก็เริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตของทาคุมะ กล่าวคือ การหลงลืมซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์นั้น ทาคุมะกลับไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเพียงใด เมื่อเขาเติบโตขึ้น ปริมาณข้อมูลมหาศาลที่สะสมอยู่ในสมองก็เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาไม่สามารถรับมือกับมันได้
คืนหนึ่งที่โรงพยาบาล เขาข่มตานอนไม่หลับ จึงเรียกความทรงจำที่เคยได้เล่นกับเพื่อน ๆ ที่สถานรับเลี้ยงขึ้นมา จำลองช่วงเวลาที่เล่นเกมต่อคำและเกมทอยลูกเต๋า ณ ช่วงเวลานั้นก็เสมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล หากแต่กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่จริง ๆ ทันใดนั้นก็มีแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านไปเกาะที่กำแพง ทาคุมะจึงม้วนนิตยสารที่วางอยู่ข้างเตียงฟาดเข้าไปอย่างจัง แมลงวันแหลกเหลวคาที่ แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองที่ความทรงจำในช่วงฤดูร้อนอีกส่วนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
วันนั้นเขากำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะกับเพื่อน ทันใดนั้นก็เผลอไปเหยียบด้วงกว่างโดยไม่ได้เจตนา มันเป็นด้วงที่เขาเองนั้นแหละ จับมาอวดเพื่อน ๆ ความร้อนผ่าวของแสงอาทิตย์ แผดเผาไปทั่วทั้งผิวหนัง ศีรษะ และเส้นผม รู้สึกถึงร่างที่แตกสลายของแมลงใต้เท้า สัมผัสเหนียวหนืดของเครื่องในนิ่ม ๆ เมื่อยกเท้าขึ้นมาดู ร่างที่แหลกเละแต่ยังมีชีวิตเหลืออยู่น้อยนิดของด้วงกว่าง ก็ยังคงดิ้นติดแน่นอยู่กับพื้นรองเท้า
ทันใดที่จดจำเรื่องนี้ได้ เขาก็รู้สึกแย่เอามาก ๆ ความทรงจำช่างแสนแจ่มชัด ทั้งความร้อนของเปลวแดด กลิ่นของดิน เหงื่อที่ไหลพราก
แต่ความทรงจำนี้ เขาไม่ได้เป็นคนเรียกมันขึ้นมา เขาไม่ได้อยากที่จะจำเรื่องนั้น แต่อยู่ดี ๆ ความทรงจำก็โผล่ขึ้นมาเองในหัว ร่างของแมลงวันที่แหลกเหลวยังคงอยู่บนผนังก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้น แน่นอนว่าเป็นสิ่งนี้ที่กระตุ้นความทรงจำที่คล้ายกันในอดีตเรื่องนั้นขึ้นมา
เหตุการณ์ทำนองเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ แม้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แถมยังดูจะบ่อยขึ้นเสียด้วย จิตใจที่ไม่สามารถจะลืมอะไรได้ เสมือนภูเขาน้ำแข็งที่น้ำแข็งไม่มีวันละลาย ยิ่งนานวันเข้ามันก็จะทับถมกันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนรอวันที่มีแรงกระตุ้นถึงจุดที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ หากแค่สามารถลืมได้ เขาก็จะไม่จำเป็นต้องพบเจอประสบการณ์ที่ไม่น่าอภิรมณ์เหล่านี้อีกครั้ง หากแต่สิ่งเหล่านี้กลับปรากฎขึ้นมาหลอกหลอนเขาด้วยภาพที่แสนชัดเจนอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน
ภาพของซากศพหมาและแมวที่ตับไตไส้พุงกระจายเต็มพื้นข้างถนน กลิ่นที่ชวนคลื่นเหียนในอากาศ กลับมาในระหว่างที่เขากำลังทานอาหาร ความหวาดกลัวขณะติดอยู่ในห้องมืด ๆ ที่ทับถมขึ้นในอกจนอยากกรีดร้องตะโกน หรือความรู้สึกของกระดูกที่หักตอนโดนรถชน ที่อยู่ ๆ ตรงเข้าจู่โจมเขาโดยไม่ทันรู้ตัว
วันหนึ่งเจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยงที่เขาเคยไว้ใจ เกิดอารมณ์เสียจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเด็ก เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบนั้นครั้งหนึ่งแล้ว ทาคุมะก็ไม่สามารถพูดกับผู้ใหญ่ได้อีกเลย ความทรงจำตอนโดนเพื่อนหักหลังหรือตอนที่หักหลังเพื่อน หรือความรู้สึกอิจฉาริษยาถึงขั้นแช่งชักให้คนอื่นล้มเหลว ตลอดจนสีหน้าของคนอื่นที่มองมา หรือคำพูดทุกคำที่เคยโดนพูดใส่นั้น ไม่มีวันจางหายและวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในกะโหลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดไหน มันก็ไม่จางหายไปกับอดีต จิตใจของเขาสงบได้อยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่ความทรงจำจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ชักพาสติให้หลุดไปในวันเวลาต่าง ๆ จนแทบจำไม่ได้แล้วว่า ตอนนี้ยังคงอยู่กับปัจจุบันหรือไม่
ทาคุมะไม่สามารถสบตาและสนทนากับคนอื่นได้ นานวันเข้าเด็กที่โรงเรียนก็เริ่มเข้ามาหาเรื่องเขา เสียงหัวเราะเยาะดังไปทั่วห้องเรียน ในขณะที่ผู้ใหญ่ก็เห็นว่าความทรงจำของเขาเป็นสิ่งน่ารังเกียจจนปิดความหวาดหวั่นบนใบหน้าไว้ไม่มิด ในช่วงที่เขากำลังจะอายุครบ 10 ขวบนั้นเอง ทาคุมะก็ทนที่จะเห็นหรือได้ยินสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขาขังตัวเองที่สถานรับเลี้ยง และปิดกั้นปฏิสัมพันธ์ทุกอย่างกับเพื่อน ๆ อยู่ในห้องนอนซึ่งมองไปข้างนอกเห็นแต่เพียงกระดานลื่น ชิงช้า และนาฬิกาเก่าเท่านั้น
เขาไม่ก้าวขาออกไปข้างนอกห้อง ถึงขนาดปิดหูปิดตาตัวเองอยู่ใต้ผ้านวม ความคิดใด ๆ ที่ทับถมกันในหัวก็จะเกิดเป็นความทรงจำ และด้วยความคิดนั้นเองที่ปลุกความทรงจำที่ในอดีตกลับคืนมา สิ่งที่ทรมานทาคุมะก็คือความทรงจำที่แสนเจ็บปวดที่เขาไม่เคยอยากจะจดจำได้ เสมือนฝันร้ายที่ปรากฏตัวแม้ในยามตื่น เมื่อใดที่จิตใจขุ่นมัวหรือไม่สบายใจ ความทรงจำที่ทำให้แทบจะขาดสติก็จะผุดขึ้นมา ส่งเขาไปยังโลกที่ไร้ซึ่งเหตุและผล เศษเสี้ยวของความทรงจำจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ ภาพเครื่องในของด้วงกว่าง ความตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้ใหญ่ที่ทุบตีเด็ก อาการเหนื่อยหอบจนใจแทบขาด หรือเสียงกระดูกที่หักเป็นเสี่ยง ๆ ความทรงจำหลายต่อหลายปีที่ทับถมปะปนอยู่ในหัวของเขาทะลักทะลายออกมาอย่างไร้ทางปิดกั้น
ในขณะที่พวกผู้ใหญ่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรกับทาคุมะดี พวกเขาทำได้แค่นำอาหารมาให้และเข้ามาทำความสะอาดให้เป็นครั้งคราว วันหนึ่งพวกผู้ใหญ่ก็สังเกตเห็นรอยแดงหลายรอยปรากฏขึ้นบนผิวหนังยาวจากศอกไปจนถึงข้อมือ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้นิ้วเกาอย่างแรงจนเป็นแผลในยามที่ต้องทนทุกข์จากภาพความทรงจำ
กระทั่งบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง ทาคุมะพยายามที่จะฆ่าตัวตาย โดยการใช้กรรไกรกรีดเส้นเลือดที่แขน เลือดสด ๆ ไหลทะลักท่วมไปทั่ว แต่เขากลับรู้สึกสงบนิ่ง ราวกับความเจ็บปวดทั้งหลายกำลังค่อย ๆ จางหายไป เขารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาลหลังจากนอนโคม่าอยู่หลายวัน
แม้ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทาคุมะก็พยายามจะฆ่าตัวตายอีกครั้ง เขาโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสาม แต่ก็ไม่ทันได้หมดสติ เขาตกลงบนพุ่มไม้ บาดเจ็บที่ใบหน้าและลำคอ อีกทั้งยังโดนกิ่งไม้แทงเข้าไปที่เส้นเลือดที่คอจนเลือดสาดกระจายราวกับน้ำพุ ซี่โครงหักจนกระดูกผิดรูป ภายหลังเมื่อมาย้อนคิดดูแล้ว ตัวเขาเองก็ยอมรับว่าการพยายามฆ่าตัวตายที่โรงพยาบาลดูจะเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เนื่องจากมีหมอและพยาบาลที่พร้อมจะยื้อชีวิตเขาอยู่อย่างพร้อมสรรพ แต่ก็นั่นแหละ ที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้
หลังจากนั้น ทาคุมะก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกจากห้อง เจ้าหน้าที่ถูกกำชับให้ตรวจตราให้เขาอยู่ห่างจากของมีคมที่ชนิด เขาเดือดดาลอาละวาดจนหมอและพยาบาลเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน แต่ยิ่งเขามีชีวิตอยู่นานเท่าไหร่ ความทรงจำก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่ามันจะระเบิดออกมาในซักวันหนึ่ง เขาทั้งทึ้งดึงเส้นผมและกัดริมฝีปากยามที่ความอดทนมาถึงที่สุด รู้สึกราวกับได้ยินเสียงกะโหลกศีรษะกำลังปริแตกออกมาจากข้างใน รู้สึกโดนกระหน่ำจากความทรงจำที่พัวพันกันอย่างยุ่งเหยิงทั้งกลางวันและกลางคืน จนในที่สุด สีหน้าของทั้งหมอและพยาบาลก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่ากำลังจะทอดทิ้งเขาไป