The Book - ตอนที่ 13 บทที่ 1 องค์ 6
คิชิเบะ โรฮัง ปาดไม้ขีดไฟกับพื้นผิวของกล่อง แสงไฟสว่างวาบวับขับเน้นสีแดงไปทั่วใบหน้า จากนั้นจึงจุดเตาไฟสไตล์โบราณ หมุนลูกบิดปรับปริมาณอากาศ แล้วจึงกลับมานั่งที่ เก้าอี้ตัวนั้นดูสบายไม่น้อย ผมแน่ใจว่าพวกนักเขียนการ์ตูนที่ใช้เวลาทั้งวันนั่งรากงอกทำงาน คงต้องทุ่มไม่อั้นกับการซื้อเก้าอี้ที่นั่งได้อย่างเป็นสุขซักตัวในสตูดิโอแน่นอน
วันนี้เป็นวันที่ 6 มกราคม ปี 2000 ซึ่งวันสุดท้ายของการหยุดช่วงฤดูหนาว ผมเดินทางมาพบกับคิชิเบะ โรฮัง ที่บ้านของเขา เหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้นมาได้สองวัน สติผมเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวจนสามารถกินแฮมเบิร์กสเต๊กได้อีกครั้งแล้ว
รูปถ่ายหลายใบถูกติดไว้ข้างผนังเพื่อใช้อ้างอิงในการวาด คิชิเบะ โรฮัง ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ หน้ากระดาษต้นฉบับเบื้องหน้าว่างเปล่า ผมรู้สึกกังวลใจจนต้องเอ่ยปากถาม
“เอ่อ ถ้าเป็นการรบกวน ไว้ผมกลับมาใหม่ก็ได้นะครับ”
“อีกสามหน้าก็เสร็จแล้ว น่าจะซักห้านาที รออยู่ตรงนั้นแหละ”
เขาจุ่มปากกาลงขวดหมึกแล้วเริ่มขยับมือในความเร็วที่มองตามแทบไม่ทัน แถมวาดโดยไม่ต้องลงภาพร่างก่อนด้วยซ้ำ ราวกับมีเครื่องถ่ายเอกสารที่ส่งภาพจากหัวออกมาได้ในทันที หน้ากระดาษที่ว่างเปล่าเมื่อครู่ก็กลายเป็นโลกอีกใบหนึ่งในชั่วพริบตา ระหว่างที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากด้วยเวลาเพียงครู่เดียว ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ก็วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อผมลองยกนาฬิกาขึ้นดู ก็พบว่าใช้เวลาในการเขียนต้นฉบับสามหน้าในเวลาสามนาทีเท่านั้น ความเร็วเหลือเชื่อเอามาก ๆ
คิชิเบะ โรฮัง หมุนเก้าอี้มามองหน้าผม
“วันนั้นนี่ ได้นายช่วยเอาไว้จริง ๆ ที่บอกว่าเป็นคนเจอศพคนเดียวน่ะ ฉันเลยไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากที่ตามมา”
หลังจากแจ้งตำรวจเรื่องศพของ โอริคาสะ ฮานาเอะ ผมก็ต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ แน่นอนว่าตำรวจแจ้งเรื่องนี้กับทางบ้านของผมด้วย เล่นเอาโกลาหลกันยกใหญ่
“ครอบครัวนายคงตกใจน่าดู”
“ก็คงกลัวว่าผมจะเป็นแผลใจอะไรแบบนั้นล่ะมั้งครับ แต่เอาเป็นว่าที่ผมมาหาวันนี้ เพราะผมมีเรื่องอยากปรึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นน่ะครับ”
ทันทีที่จะเอ่ยปาก โรฮังก็พยักหน้าพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังจะถามอะไร
“นายอยากรู้เรื่องข่าวลือใช่ไหมล่ะ? เรื่องสาเหตุการตายของโอริคาสะ ฮานาเอะ”
เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อโอริคาสะ ฮานาเอะ เสียชีวิตอย่างปริศนาในบ้านตัวเองนั้น เป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ กระนั้นก็ยังไม่มีนักข่าวคนไหนให้รายละเอียดของเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นข่าวลือมากมายเกี่ยวกับการตายของเธอจึงกระจายไปทั่ว
“ว่ากันว่าโอริคาสะ ฮานาเอะอยู่ตัวคนเดียว ใช่ไหมนะ? ไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ไม่มีกระทั่งเพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวกับแมวหนึ่งตัว ลือกันอีกว่ามีเฟอร์นิเจอร์หรู ๆ มากมาย และดูท่าทางไม่เคยต้องกังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มีงานอดิเรกคือการอ่านหนังสือ ดูเหมือนว่าจะชอบพวกนวนิยายสืบสวนสอบสวนมากกว่าแนวอื่น ๆ และพอมาพูดถึงสาเหตุการตาย ที่นายยังติดใจก็…”
“นี่ได้ยินมาขนาดนี้ตั้งแต่วันนั้นเลยเหรอครับ? ไม่สิ ที่สำคัญคือว่ามันเรื่องจริงงั้นเหรอครับ?”
“คงเริ่มจากพวกเจ้าหน้าที่สอบสวนคงเผลอไปบอกเพื่อนหรือครอบครัวเข้าล่ะมั้ง คงไม่ต้องบอกนะว่าเรื่องราวมันไม่น่าเชื่อแค่ไหน แปลกประหลาดเอามาก ๆ บางสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นในบ้านที่ปิดตาย หรือกระทั่งเกิดขึ้นนอกบ้านก็ยังไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำ สภาพศพของเธออยู่บนพื้นห้องนั่งเล่น จำได้ใช่ไหม? ต้นขาขวาของโอริคาสะ ฮานาเอะมีรอยช้ำอยู่ กระโปรงเลิกขึ้นฉันเลยเห็นเข้า นายเคยเห็นเครื่องมือที่ไว้ใช้ตีเส้นขาวในสนามเด็กเล่นไหม? มันมีรอยเหมือนกับไอ้เครื่องนั่นลากผ่านแล้วทิ้งรอยอยู่บนตัวของเธอ ฉันละนึกสงสัยเรื่องนี้เอามาก ๆ ดังนั้นเลยแอบไปอ่านรายงานการชันสูตรศพดู จึงพบว่า รอยแบบนี้มีอยู่ที่ต้นขวาขวาเท่านั้น ไม่มีที่ข้างซ้าย”
เปลวเพลิงในเตายังคงส่งแสงสีแดงฉาน คิชิเบะ โรฮังยังคงพูดต่อไปโดยน้ำเสียงไม่เปลี่ยน ส่วนผมนั้นกำลังอังนิ้วมือที่เย็นยะเยียบและขาวซีดกับเตาไฟ
“พอเห็นรอยนั่นเข้า ก็เลยจินตนาการว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอครับ?”
“ก็เพราะฉันเคยเห็นในรูปถ่ายที่เอามาอ้างอิงเวลาเขียนการ์ตูนน่ะสิ รอยแบบนั้น มันเกิดจากการถูกกระแทกโดยกันชนรถ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนในบ้านของตัวเอง เหตุผลที่เธอมีรอยที่ต้นขวาก็คือ เธอถูกรถชนเข้าที่ด้านขวา และอธิบายได้ว่าทำไมไม่มีรอยแบบเดียวกันที่ต้นขาซ้าย”
นี่ถ้าไม่ได้ยินข่าวลือมาก่อน ผมคงทำใจเชื่อเรื่องที่เล่ามาไม่ลง มันทำให้ไม่ว่าจะเด็ก ๆ ที่เดินผ่านร้านหนังสือ หรือนักเรียน ม.ต้น ที่อยู่ในร้านวิดิโอ ก็เข้ามาถามผมถึงเรื่องนี้กันไม่ได้หยุดหย่อน ผู้หญิงคนหนึ่งถูกรถชนตายในบ้านตัวเองเนี่ยนะ? มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?
“หรืออาจเป็นว่าถูกรถชนนอกบ้าน จากนั้นกลับเข้ามาเสียในบ้านรึเปล่าครับ?”
“ลงถ้าบาดเจ็บซะขนาดนั้น จะคลานยังไม่น่าจะไหวเลย ไม่มีร่องรอยของการที่โดนคนอื่นพาเข้าบ้านด้วย หรือถ้าหากโดนคนอื่นย้ายจริง ๆ รอบ ๆ ตัวบ้าน ก็น่าจะต้องมีรอยเลือดอยู่บ้าง”
“อาจโดนล้าง หรือกำจัดไป…”
“ต่อให้เป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่น่าจะล็อกบ้านได้ จะบอกว่าเป็นคนที่มีกุญแจสำรองล็อกบ้านได้ หลังจากที่ออกไปแล้วเหรอ? หรือว่ายังแอบซุ่มอยู่ในบ้านในวันนั้น? จะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ? มันมีคำถามอีกมากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เธอถูกรถชนแน่นอน ไม่ใช่แค่รอยกันชนรถนะ แต่รอยแผลบนร่างของเธอก็ดูเหมือนว่าจะเป็นรอยที่เกิดจากโดนเศษกระจกหน้ารถที่แตกบาดเอา”
“ถ้าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์จริง ก็หมายความว่ามีรถพุ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เฟอร์นิเจอร์มีหวังพังยับแน่นอน แต่ทั้งโซฟา ทีวี และของอื่น ๆ ก็ยังอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยดีอยู่เลย รอยเศษแก้วเศษกระจกก็ไม่มีนี่นา? ถ้าอยู่ในบ้านแล้วยังโดนรถชนได้นี่ จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีปลอดภัยแล้วล่ะ…”
การที่มีความตายอันแปลกประหลาดอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ทำเอาครอบครัวผมขวัญผวากันไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่สาวของผมที่ออกจะเชื่อเรื่องตำนานเมือง ภูติผี หรือเรื่องลึกลับอะไรทำนองนี้ หลัง ๆ มานี่ ขนาดอยู่ในบ้าน เจ๊แกยังสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถยนต์ด้านนอกเลย
“ยังมีเรื่องอีกมากที่เราไม่รู้”
คิชิเบะ โรฮัง นั่งไขว่ห้างพร้อมเปิดสมุดโน๊ต ภายในบันทึกเรื่องราวที่เขาได้ตรวจสอบเอาไว้
“ฉันได้เจอหมอที่ชันสูตรโอริคาสะ ฮานาเอะ พออ่านความทรงจำดู ก็ถึงได้รู้เรื่องรอยแผลบนร่าง เขาวินิจฉัยว่า หลังจากที่โดนชน ร่างก็ปลิวขึ้นไปบนฝากระโปรงรถ จากนั้นก็กระแทกเข้ากับกระจกหน้า แล้วก็อีกอย่างคือ รถที่ชนไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ารถบรรทุก เป็นรถโดยสารขนาดธรรมดา แต่จุดนึงที่ฉันยังติดใจก็คือตำแหน่งของรอยกันชน ถ้าโดนชนโดยรถโดยสารธรรมดา รอยมันก็น่าจะอยู่ต่ำลงมาที่ท่อนขามากกว่าสิ”
“ต่ำกว่านั้นเหรอครับ?”
“ตามประวัติแล้ว ผู้หญิงที่ชื่อโอริคาสะ ฮานาเอะน่ะนะ สูง 169 ซม. ถือว่าสูงกว่าผู้หญิงญี่ปุ่นทั่วไปพอสมควร น้ำหนักก็ดูจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้นรูปร่างจึงน่าจะสูงเพรียว ถ้าโดนรถชนโดยยังยืนอยู่ ตามปกติแล้วน่าจะโดนบริเวณหัวเข่าและทิ้งรอยไว้แถวนั้น ยิ่งถ้าคนขับเหยียบเบรค หน้ารถก็จะยิ่งกดลง รอยน่าจะต่ำกว่านั้นเข้าไปอีก แต่รอยมันกลับไปอยู่ที่ต้นขา ซึ่งดูยังไงก็สูงกว่าพื้นถนนค่อนข้างมากโข รถโดยสารธรรมดาไม่มีทางที่จะทิ้งรอยกันชนแบบนั้นไว้ได้แน่ ตามข้อมูลที่ได้มา เมื่อมองจากรูปแบบของบาดแผลแล้ว ก็เป็นไปแทบไม่ได้เลยที่จะเป็นรถแต่งซึ่งยกสูงกว่าปกติ ทางเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือ รถที่ชนจะต้องลอยอยู่เหนือพื้นราว 12 ซม. ได้”
ฟังดูแล้ว ความสมเหตุสมผลยิ่งห่างไกลออกไปทุกที ๆ นี่จะบอกว่าโดนรถลอยได้ชนเอางั้นเหรอ?
คิชิเบะ โรฮังทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดเสริม
“ยังไงก็ตามนะ สาเหตุเหตุของการเสียชีวิตก็คือการเสียเลือด โอริคาสะ ฮานาเอะได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนอุบัติเหตุบนท้องถนน ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยที่หมดสติ ซึ่งถ้ามีคนที่อยู่ในเหตุการณ์เรียกรถพยาบาลให้ ก็อาจไม่ถึงตาย น่าจะช่วยชีวิตเอาไว้ได้”
“ถูกปล่อยไว้แบบนั้นนานขนาดไหนกันน่ะครับ?”
“จากผลการชันสูตร ก็ราวหนึ่งวันได้ เรื่องราวในช่วง 24 ชม. ก่อนที่เราจะไปเจอศพน่ะ คงไม่มีใครรู้ แต่ ณ เวลา 24 ชม. นั้น เกิดอะไรบางอย่างขึ้นที่ทำให้เธอล้มลงหมดสติและเสียเลือด จากนั้นเจ้าแมวตัวนี้ก็เข้ามาคลอเคลียกับศพในกองเลือด มันเลยมีเลือดแห้งกรังติดขนแบบนั้น”
คิชิเบะ โรฮังชี้ไปที่พื้นห้อง ที่ซึ่งมีแมวตัวเมียกำลังหาวนอนอยู่ข้างเตาผิง เจ้าแมวที่โอริคาสะ ฮานาเอะเลี้ยงไว้ยังคงอยู่ดีมีสุข ผมเอามันติดมือมาด้วยตอนที่เข้ามาในบ้าน ที่คอของมันมีป้ายชื่อแขวนอยู่ บนนั้นเขียนชื่อแมวไว้ว่า “ทรินิต้า”
สองวันก่อน เจ้าแมวนี่นอนหลับอยู่ที่หน้าร้านซันมาร์ท จึงโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไปด้วย ตามที่ได้รับแจ้งจากพนักงานร้าน ได้ยินว่าหลังจากกำจัดรอยเลือดและล้างเนื้อล้างตัวเรียบร้อย ก็ถูกกักตัวไว้ที่สถานีตำรวจ พอผมไปที่นั่นเพื่อให้ปากคำก็เห็นเจ้าทรินิต้านี่นอนอยู่ในกล่องมุมห้องสอบสวนนั่นเอง
“ผมเลยแอบยืมตัวมันมาจากตำรวจซักแป๊บล่ะนะ”
“นี่แอบตำรวจเอาออกมาเลยเรอะ? ดีนะที่ไม่โดนจับได้ แต่ก็คงใช้สแตนด์สินะ”
ทรินิต้าเลียที่มือแล้วจัดขนตัวเอง พอไม่มีรอยเลือดแล้ว ก็เห็นเลยว่าเจ้าแมวตัวนี้ มีใบหน้าและขนที่สวยขนาดไหน
การแอบพาเจ้านี่ออกมาโดยไม่ให้ใครรู้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเท่าไหร่ ผมทำได้สบาย ๆ แม้ตอนที่กดน้ำกระป๋องอยู่ที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติที่อยู่ห่างออกไปราว 50 เมตร เหมือนที่ผมสามารถเปลี่ยนช่องทีวีได้แม้ไม่มีรีโมท หรือไปเอาขนมในครัวได้โดยยังนอนอืดอยู่บนโซฟา ถึงนั่นจะไม่ใช่ความสามารถหลักของสแตนด์ผมก็เถอะ
อ้อ ขอโทษที ที่อยู่ ๆ ก็พูดอะไรแปลก ๆ ออกมา แต่พวกเรามีความสามารถที่คล้ายกับวิญญาณผู้พิทักษ์อยู่กับตัว ปกติแล้วก็จะซ่อนตัวอย่างสงบเสงี่ยมจนไม่มีใครมองไม่เห็น พวกเราเรียกมันว่า “สแตนด์” ดูเหมือนจะมาจากคำว่า “สแตนด์บายมี” (Stand by me) ล่ะมั้ง
สแตนด์จะสามารถถูกมองเห็นได้จากคนที่มีสแตนด์เท่านั้น ส่วนคนปกติจะมองไม่เห็นตัว โดยที่พวกมันจะมีรูปร่างที่ต่างกันออกไปตามแต่เจ้าของ ยกตัวอย่างเช่น สแตนด์บางตัวอาจจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์หรือสัตว์ ในขณะที่บางตัวก็จะเป็นเหมือนสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ที่ไม่มีชีวิต
ส่วนสแตนด์ของผมนั้นมีรูปร่างคล้ายกิ้งก่า ปรากฏร่างขึ้นมาได้ตลอดเวลาที่เรียก และสามารถลอยบนฟ้าในระยะใกล้ ๆ ได้ ตัวอย่างการใช้งานก็เช่น แอบเข้าไปในสถานีตำรวจที่ห่างออกไปสิบยี่สิบเมตร แล้วแอบเอาแมวออกมา พูดง่าย ๆ ก็เหมือนควบคุมได้ด้วยรีโมทน่ะแหละ
“อ.โรฮัง รู้ใช่ไหมครับว่าผมเอาแมวมาด้วยทำไม?”
“ก็แปลกใจหรอกนะ ที่นายใจกล้าหน้าด้านกว่าปกติ แต่ทำได้ไม่เลวนี่หว่า”
“ผมอยากให้ครอบครัวโล่งใจซักที ถ้าเราสามารถระบุสาเหตุการตายได้อย่างชัดเจน ผมว่า ไอ้อาการวิตกจริตนี่ก็คงดีขึ้นบ้างล่ะน่า ว่างั้นไหมครับ?”
“เยี่ยมเลย ก็ว่าจะแอบไปตรวจสอบอยู่เหมือนกันล่ะนะ ความทรงจำของเจ้าแมวนี่น่ะ”
เจ้าแมวนี่น่าจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้าเราตรวจสอบความทรงจำของมัน เราก็อาจจะระบุสาเหตุการตายของโอริคาสะ ฮานาเอะได้
ดูเหมือนว่าเจ้าทรินิต้าจะรู้ว่าพวกเรากำลังจะทำอะไรบางอย่างกับมัน ตาของมันเบิกกว้าง ในขณะที่ม่านตาซึ่งหดเล็กลงสะท้อนภาพของคิชิเบะ โรฮังที่กำลังเข้ามาใกล้ ใบหน้าแสดงความหวาดระแวง จากนั้นจึงหันหลังเพื่อจะวิ่งหนี แต่ทันใดนั้นมันก็ร่วงลงไปกองกับพื้น เมื่อมองดูดี ๆ ผมก็เห็นผิวที่ขาหน้าของมันเปิดขึ้นมาเป็นแผ่น ๆ เหมือนกระดาษบาง ๆ นอกจากนี้ ผิวช่วงกลางใบหน้าก็มีแผ่นกระดาษเปิดออกมาด้วย ดูราวกับถูกกรีดด้วยคัตเตอร์ที่ลากไปบนไม้บรรทัด มีรอยกรีดเปิดขึ้นมาจากด้านข้างใบหน้าด้วยเช่นกัน แต่เจ้าแมวก็หมดสติและหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว
นี่แหละ คือพลังมหัศจรรย์ที่สแตนด์ของคิชิเบะ โรฮังครอบครองไว้
“ใช้กับสัตว์ก็ได้เหรอครับเนี่ย?”
“ก็กับที่สัตว์ที่มีสติปัญญาระดับหนึ่งล่ะนะ แต่ก็จะกลายเป็น ‘หนังสือ’ ที่เรียบง่ายกว่าของมนุษย์ไปหน่อย เพราะจิตวิญญาณของพวกมันไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไหร่”
ร่างกายของทรินิต้าถูกเปิดออก คล้ายเป็นหน้าหนังสือนิตยสาร คิชิเบะ โรฮัง ก้มร่างที่ผอมเพรียวลง ใช้มือแตะที่ส่วนร่างกายที่ถูกแผ่ออก พร้อมพลิกหน้าหนังสืออ่านไปมา ส่วนแผ่นหน้าหนังสือที่ถูกเปิดมีข้อความอยู่ในนั้น มันคือความทรงจำของเจ้าแมวตัวนั้นตั้งแต่เกิดจากท้องแม่ ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดจนถึงขณะนี้ จะถูกเขียนไว้ทั้งหมด ถ้าลองค้นดูดี ๆ ก็น่าจะหาความทรงจำของวันที่เกิดเหตุในรูปแบบของข้อความได้
“ชื่อของเจ้านี่คือ ทรินิต้า ก็งั้นแหละนะ เจ้าของคือโอริคาสะ ฮานาเอะ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของแม่ของมันด้วย”
คิชิเบะ โรฮังกล่าว ระหว่างที่พลิกหน้าหนังสือบนร่างกายแมวไปมา
ตัวผมเองก็ลองยื่นหน้าไปแอบอ่านดูมั่งเหมือนกัน เห็นคำว่า “การละเล่นโปรดของเราคือ กลิ้งลูกบอลไหมพรม” เขียนอยู่ตรงนั้น ถึงจะเป็นความทรงจำของสัตว์ แต่ตัวหนังสือก็ยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ดีแฮะ
สิ่งที่บันทึกในร่างของเจ้าแมวก็คือ วันคืนที่ได้อยู่ร่วมกับโอริคาสะ ฮานาเอะ มีข้อความที่แสดงถึงความเสน่หาที่มีต่อเจ้าของเขียนไว้เต็มไปหมด แต่ต่อมาไม่นานคิชิเบะ โรฮัง ก็พบความทรงจำในวันที่โอริคาสะ ฮานาเอะเสียชีวิตจนได้ โดยข้อความถูกเขียนเป็นหัวข้อที่ไม่ค่อยเด่นชัดมากนัก บริเวณหน้าอกของทรินิต้า
– มีคนยืนอยู่ด้านนอกของหน้าต่าง
– มนุษย์ เด็กผู้ชาย เครื่องแบบนักเรียน
– เจ้านายยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เริ่มพูด
– เด็กผู้ชายถอดเสื้อนอก เสื้อแขนสั้นอยู่ข้างใต้ มีรอยข่วนแดง ๆ เต็มสองแขน
– “ตึง โครม” เสียงกระแทกพื้น
– เจ้านายไม่เคลื่อนไหวแล้ว
ไม่มีข้อความไหนที่บ่งบอกว่าโอริคาสะ ฮานาเอะถูกชน หรือมีรถบินได้ ดูเหมือนว่าตัวแมวนี่ก็ไม่เห็นรถ ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ และไม่ได้กลิ่นควันท่อไอเสียด้วย
เปลวไฟในเตาพริ้วไหวไปมา ส่งให้เงาของพวกเรานั้นสั่นสะท้านตาม คิชิเบะ โรฮังปิดหน้ากระดาษบนร่างกายของเจ้าแมวลง พอร่างกายเปลี่ยนแปลงกลับสู่สภาพเดิม ทรินิต้าก็เริ่มลืมตาและยืนขึ้น ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง จากนั้นจึงร้องเหมียวแล้วเดินถอยห่างจากคิชิเบะ โรฮัง ผมจึงเรียกมันให้เข้ามาหา
“ไว้เดี๋ยวฉันจะซื้อไส้กรอกปลาให้กิน แล้วพากลับก็แล้วกันนะ”
“เครื่องแบบนักเรียน ก็หมายความว่าเป็นนักเรียน ถ้าไม่ ม.ต้น ก็ ม.ปลายสินะ ฉันว่าไอ้เด็กนั่นแหละที่ฆ่าโอริคาสะ ฮานาเอะ ไม่รู้ทำยังไงเหมือนกัน แต่ต้องมีส่วนกับการตายแน่นอน หรือบางทีก็อาจมีพลังพิเศษแบบพวกเรา”
เด็กคนนั้นอาจเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับผมก็เป็นได้ ใกล้ตัวของเรามีคนที่สามารถทำร้ายคนอื่นได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาโดยยังคงมีสีหน้าปกติ และใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติ โอริคาสะ ฮานาเอะถูกฆาตกรรม แน่นอนว่าผมคงเอาเรื่องเหล่านี้ไปบอกแม่กับพี่สาวไม่ได้แน่ ๆ ถ้าได้รู้ว่ามีฆาตกรเดินไปเดินมาอยู่ในเมืองแล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะขวัญกระเจิงกันไปขนาดไหน
“คิดว่าเด็กคนนี้จะไปทำร้ายคนอื่นด้วยไหมครับ?”
ผมเอ่ยปากถามคิชิเบะ โรฮัง
ข้อความนั่นกล่าวถึงรอยข่วนแดง ๆ ที่แขน เจ้าแมวขาวซึ่งเจ้านายถูกฆาตกรรมตัวนี้มีเบาะแสถึงตัวตนที่เจาะจง นี่อาจใช้ชี้ตัวคนร้ายได้
ด้านคิชิเบะ โรฮังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมรอบคอบ
“แค่มองตาก็พอจะเข้าใจนะว่านายคิดอะไรอยู่ แต่ฉันว่าพวกเราแค่คอยระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่านะ ถ้ามันเป็นผู้ใช้สแตนด์จริง เราก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า มันมีความสามารถอะไรซ่อนไว้บ้าง”
ผมเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ด้านนอกนั้นใบไม้ร่วงหล่นเรียงรายกันอยู่ในระแวกพื้นที่หมู่บ้านของโมริโอ ลมหนาวพัดเย็นยะเยือกผ่านหน้าต่างเข้ามา
ณ เวลานี้ เด็กชายผู้ซึ่งฆาตกรรมโอริคาสะ ฮานาเอะ ยังคงลอยนวลอยู่ในเมืองโมริโอ