The Book - ตอนที่ 14 บทที่ 1 องค์ 7
ทาคุมะสะดุ้งเหมือนกำลังถูกใครบางคนจับจ้องอยู่ แต่เมื่อเหลียวหลังกลับไป ผู้ที่อยู่บริเวณก็มีแค่ฟุตาบะ จิโฮะเท่านั้น
เมื่อสรุปได้ว่าคงคิดไปเอง เขาจึงกลับไปอ่านหนังสือต่อ เก้าอี้ไม้ข้างหน้าต่างส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดในยามที่เขาขยับตัวคล้ายจะพังลงไปได้ทุกเมื่อ ที่มันถูกวางไว้ตรงนี้ ก็คงเพราะไม่อยากให้มีใครมานั่งกระมัง
ฟุตาบะ จิโฮะ เดินเข้าเดินออกที่ชั้นหนังสือมาได้ซักพักแล้ว ที่ชั้นสามของห้องสมุดประจำเมือง หรือในชื่ออาคารหนามแห่งนี้ มีลักษณะคล้ายกับห้องใต้หลังคา ด้วยกำแพงและเพดานที่ลาดเอียงไปในทรงของจั่วหลังคา พวกเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยเข้ามาที่นี่บ่อยนัก ทั้งชั้นจึงมีฝุ่นจับหนาเตอะ อีกทั้งพวกของเก่าต่าง ๆ ก็วางกันระเกะระกะเต็มไปหมด ทั่วทั้งอาคารหนามมีเหล็กดัดกันผู้บุกรุกปิดหน้าต่างอยู่ทุกชั้นตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม แต่ส่วนนี้กลับเหมือนเป็นช่องทางเดียวที่ใช้หลบหนีได้ เนื่องจากเหล็กดัดที่ดูผุกร่อนชำรุดทรุดโทรมจนน่าจะดึงออกมาได้ง่าย ๆ แถมยังไม่เห็นท่าทางว่าจะมีแผนการซ่อมแซมใด ๆ ทั้งสิ้น
วันนี้คือวันที่ 6 มกราคม 2000 วันสุดท้ายของวันหยุดช่วงฤดูหนาว
“…ไม่เห็นเจอเลย สงสัยมีคนยืมไปแล้วล่ะมั้ง?”
จิโฮะเดินเข้ามาหาเขาด้วยอาการหนาวสั่น เนื่องด้วยชั้นนี้ไม่มีเครื่องทำความร้อน อีกทั้งลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาก็ช่างเย็นยะเยือกเหลือใจ
“หรือไม่ก็ไม่มีหนังสือแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็ถ้ามีคงเป็นเนื้อเรื่องที่น่าสนุกสำหรับนิยายเลยนะคะ”
เธอหันไปมองชั้นหนังสืออีกครั้ง
เรื่องราวข่าวลือของหนังสือที่แปลกประหลาดเล่มหนึ่งในห้องสมุดเมืองโมริโอนั้น แพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนปีที่แล้ว มองเผิน ๆ จะเหมือนหนังสือทั่วไป แต่เนื้อความข้างในเรียงรายไปด้วยตัวอักษรที่กระจัดกระจายอย่างไร้ระเบียบ ข้อความข้างในเหมือนออกมาจากเอกสารที่ผ่านเครื่องย่อยกระดาษ นำมาจัดเรียงกันมั่ว ๆ แล้วเรียงพิมพ์ แต่สิ่งที่น่าขนลุกก็คือ ผู้คนมักจะได้ยินเสียงครวญครางลอยออกมาจากหนังสือเล่มนี้ จากปากคำของบรรณารักษ์ที่ทำงาน หรือภารโรงชราที่ทำความสะอาด กล่าวไว้ว่าได้ยินเสียง “ช่วยด้วย” ดังโหยหวนอยู่ในอาคารที่ว่างเปล่าอยู่บ่อยครั้ง ตัวจิโฮะนั้น กำลังอยากที่จะหาไอเดียสำหรับเขียนนิยายของตนเอง ดังนั้นจึงดูจะสนอกสนใจกับข่าวลือ จนอยากค้นหาหนังสือเล่มนั้นอย่างยิ่ง
ชั้นแรกของอาคารหนามนั้นเต็มไปด้วยหนังสือในหมวดวรรณกรรม ในขณะที่ชั้นสองเป็นหนังสือในกลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และปรัชญา จิโฮะคิดว่า ถ้าจะมีหนังสือแบบนั้นอยู่จริง ก็น่าจะอยู่ที่ชั้นสามซึ่งเก็บหนังสือที่มีราคาหรือหายาก และพวกของกำนัลที่ให้แก่ห้องสมุดเอาไว้ แต่เมื่อพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ได้ ที่นั่นกลับดูเหมือนห้องเก็บของซะมากกว่า มีแต่ขยะวางอยู่ระเกะระกะ ทั้งนกอินทรีสตัฟฟ์ที่มีใยแมงมุมเกาะเต็มตัว ลูกโลกที่สีซีดจางจนเหลืองไปทั้งใบ หรือแผนที่ซึ่งโดนแมลงแทะซะจนมองไม่ออกเลยว่าเป็นเมืองอะไร
ที่นั่นมีชั้นวางหนังสือเก่าอยู่กลุ่มหนึ่ง บนชั้นนั้นมีหนังสือภาษาต่างประเทศเต็มไปหมด ถึงกระนั้นหลังจากค้นอยู่นาน ก็ยังไม่เจอหนังสือที่ตามหาอยู่ดี
“ทำอะไรอยู่เหรอคะรุ่นพี่?”
จิโฮะแกะห่อช็อกโกแลตที่ใส่ไว้ในกระเป๋า จากนั้นก็โยนเข้าปากชิ้นนึง
“กำลังอ่านกงเบรย์โลกใบแรกของมาร์แซ็ล (À la recherche du temps perdu) ของพรุสต์อยู่”
“เล่มที่บอกว่าขนมทำให้รู้สึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ใช่ไหมคะ? ว่าแต่ไหนหนังสือล่ะคะ?”
จิโฮะมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น ดูเหมือนเธอจะมองไม่เห็นหนังสือปกหนังในมือของทาคุมะ น่าจะไม่มีมนุษย์คนไหนที่มองหนังสือที่เขาพบตั้งแต่สมัยประถมเล่มนี้เห็นจริง ๆ ปกหนังสือนั้นไม่มีชื่อหนังสือใด ๆ เขียนเอาไว้ เขาเคยนึกอยากตั้งชื่อให้กับมัน แต่ก็ยังหาชื่อที่ถูกใจไม่ได้สักที
ทาคุมะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับหนังสือ แต่กลับใช้นิ้วชี้เคาะที่หัวของตน
“ฉันมีหนังสือทุกเล่ม ครบทุกตัวอักษร อยู่ในนี้”
“อ้าว งั้นคนอื่นก็อ่านไม่ได้สิคะเนี่ย แหม แต่ก็ไม่นึกอิจฉาหรอกนะคะ ไอ้การอ่านหนังสือที่อยู่ในความทรงจำเนี่ย มันค่อนข้างฟังดูแห้งแล้งยังไงก็ไม่รู้”
“นี่เธอเป็นพวกที่ชอบความรู้สึกของการเปิดหน้าหนังสือด้วยนิ้ว หรือสัมผัสถึงน้ำหนักหนังสือบนฝ่ามือสินะ? งั้นเวลาที่สมัยของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มาถึง ก็ระวังตกยุคซะล่ะ”
“ไม่เห็นจะชอบเลย”
“หืม ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“ก็มันเป็นแค่ตัวอักษรข้อความใช่ไหมล่ะคะ? น่าสยองจะตาย หยั่งกับผีแน่ะ”
“ผีเหรอ?”
“ก็เหมือนอยู่ไหมล่ะคะ? ถ้าเปรียบหนังสือเป็นคน หน้าปกและหน้ากระดาษก็เหมือนร่างกาย ข้อความเนื้อหาก็เป็นจิตใจ งั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่มีร่างกาย เหลือแต่วิญญาณ”
“ก็ถ้าวิญญาณยังอยู่ ที่เหลือจะเป็นยังไง ไม่เห็นต้องใส่ใจเลย”
จิโฮะทำหน้ามู่ทู่เล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี เธออยู่ในชั้นปีแรกของมัธยมปลาย เป็นรุ่นน้องเขาอยู่หนึ่งปี ตอนที่เธอบอกว่าอยากเขียนนิยายเป็นงานอดิเรกนั้น โดยส่วนตัวแล้วเขาเห็นว่า ไอ้การเอาช่วงชีวิตวัยรุ่นมานั่งก้มหน้าก้มตาเก็บตัวเขียนนิยาย มันค่อนข้างเสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ เหมือนโยนเพชรเม็ดงามลงท่อระบายน้ำไปซะอย่างงั้น เอาเวลาไปใช้สนุกกับชีวิตข้างนอกยังดีซะกว่า นี่ถ้าเขาเป็นนักเขียนชื่อก้องที่เปิดตัวช่วงวัยรุ่นก็คงจะแนะนำเธอไปแบบนั้นแล้ว แต่เสียดายที่เขาไม่ใช่ ดังนั้นทาคุมะจึงได้แต่สงบปากสงบคำอยู่เฉย ๆ
เขาได้มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของเธอเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นนิยายแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายของวัยรุ่นฟุ้งเต็มไปหมด เมื่อเขาให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับศัพท์แสงที่ใช้ เธอก็หันมาทำหน้าแหยง ๆ เหมือนจะบอกว่า “รุ่นพี่เนี่ย ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยนะคะ” เอาซะอย่างงั้น
“ลงไปข้างล่างกันดีกว่าไหมคะ? บนนี้หนาวจะตาย…”
จิโฮะกล่าวระหว่างที่ถูมือเข้ากับแขน
“ยอมแพ้เรื่องหนังสือประหลาดนั่นแล้วเหรอ?”
“เผอิญว่าได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจกว่ามาน่ะค่ะ”
พวกเขาเดินออกมาจากห้อง แล้วจึงเดินผ่านระเบียงทางเดินตรงสู่บันไดเวียน อาคารหลังนี้ไม่มีลิฟท์ ดังนั้นจึงมีเพียงบันไดเวียนเท่านั้นที่ใช้สำหรับเดินทางระหว่างชั้น ราวจับไม้ถูกขัดจนขึ้นเงาวางอยู่บนแท่นรับน้ำหนักรูปร่างคล้ายพินโบว์ลิ่ง โถงกลางเมื่อมองผ่านราวจับเข้ามาก็จะเห็นห้องรับรองที่มีพื้นสีดำสนิท
“ทำไมเวลาที่เธอหาข้อมูลเพื่อจะเขียนนิยายนี่ ต้องลากฉันมาด้วยทุกที?”
“ก็แหม ถ้ารุ่นพี่อยู่ด้วย เวลาจะหาว่าหนังสือเล่มไหนอยู่ตรงไหนนี่ มันง่ายกว่าจริงไหมล่ะคะ?”
ตอนแรก ๆ ที่เขารู้จักกับเธอ ยังเป็นเด็กเรียบร้อยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เลย ผ่านไปแค่ครึ่งปีเปลี่ยนไปซะขนาดนี้แล้ว
ทาคุมะยังคงใส่เครื่องแบบนักเรียนแม้ในฤดูหนาว แต่มาถึงป่านนี้ จิโฮะดูจะไม่ประหลาดใจอะไรแล้ว
ชั้นแรกของอาคารนั้นถูกออกแบบให้คล้ายกับซากปรักหักพังในยุคโบราณ เจ้าหน้าที่หญิงสองคนประจำอยู่ที่เค้าเตอร์ให้บริการ มีเครื่องทำความร้อนอยู่บริเวณพื้นที่นั่งอ่านหนังสือ จิโฮะจึงนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งพร้อมเหยียดตัวอย่างสบายใจ แขนเสื้อถลกไปด้านหลังเผยให้เห็นผิวแขนที่ขาวนวล เส้นผมที่เงางามสยายไปด้านหลัง จนเห็นใบหูที่เข้ารูป ที่โรงเรียนบุโดงะโอกะนั้น มีนักเรียนที่เจาะหูและห้อยเครื่องประดับที่เครื่องแบบอยู่มากมาย ตัวทาคุมะเองก็ยังมีเครื่องประดับที่หูข้างหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่จิโฮะกลับดูไม่เหมือนเด็กสาวที่สนใจอะไรพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอนำติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ก็มีเพียงที่คั่นหนังสือซึ่งมีใบโคลเวอร์สี่กลีบอัดแห้งอยู่ข้างในเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะอ่านหนังสือเล่มไหน ที่คั่นหนังสือก็ยังคงเป็นอันเดิมตลอด
“เมื่อไม่กี่วันมานี่ หนูคุยโทรศัพท์กับเพื่อที่โรงเรียนหญิงล้วนในเมือง S มาน่ะค่ะ เขาบอกว่าได้ยินเรื่องประหลาดมาจากรุ่นที่ที่ทำงานพิเศษมาอีกทีนึง”
จิโฮะหยิบสมุดบันทึกขนาดพอดีมือขึ้นมาจากกระเป๋า หน้าปกสีเขียวสดใส ไม่มีข้อความใด ๆ บนนั้น สภาพของสมุดดูได้รับการรักษาเป็นอย่างดี
“เรื่องที่บอกว่าน่าสนใจเมื่อกี้นี้งั้นเหรอ?”
เธอผงกศีรษะเล็กน้อยระหว่างที่จ้องมาทางทาคุมะ ใบหน้าเหมือนจะพยายามประเมินว่าเขาจะสนใจเรื่องนี้ขนาดไหน ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูจางกว่าคนทั่วไป ส่งให้ม่านตาดูเด่นชัด ใบหน้าน่ารักน่าชัง จนจินตนาการได้เลยว่าเธอจะเป็นที่นิยมในห้องขนาดไหน
“อยากฟังไหมล่ะคะ?”
เธอพลิกหน้าหนังสือด้วยนิ้วที่แดงจากความหนาวเย็น
“ก็ เรื่องที่เขาลือกันเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตปริศนา เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างไหมคะ? เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองโมริโอเมื่อสองวันก่อน”
ทาคุมะนิ่งเงียบระหว่างที่จิโฮะเอียงคอขึ้นถาม เส้นผมขยับร่วงจากบ่า
แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ เรื่องของศพผู้หญิงที่เสียชีวิตภายในบ้านตนเอง จิโฮะมองไปที่สมุดจดแล้วขมวดคิ้ว เหมือนจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ค่อนข้างลำบาก
“ตามที่ลือกันมา เหมือนร่างของเขาจะ…”
“มีบาดแผลที่เหมือนกับโดนรถชนใช่ไหม?”
เหยื่อของเหตุการณ์นี้ชื่อ โอริคาสะ ฮานาเอะ อายุ 39 ปี ถูกพบนอนจมกองเลือดจนเสียชีวิต บริเวณห้องนั่งเล่นในบ้านของตนเอง หน้าต่างและประตูบ้านถูกล็อกไว้คนหมด ไม่มีร่องรอยของการเข้าหรือออกจากตัวบ้าน ผลจากการชันสูตรถูกสรุปว่า เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน
“ได้ยินมาว่าพวกเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้า ไม่มีร่องรอยอะไรเลย แต่บนร่างกายกลับมีบาดแผลเหมือนโดนรถชน คิดว่าไงคะ? นี่ถ้าเอาไปเขียนนิยาย คงมาในแนวแบบโรมานซ์สยองขวัญอะไรทำนองนี้ได้เลยล่ะมั้งคะ?”
“ฉันว่าพล๊อตแบบนั้น เอาไปเขียนคงดึงคนให้มาอ่านได้ไม่ถึงเล่มซะล่ะมั้ง ว่าแต่นึกอะไรขึ้นมา ถึงสนใจเรื่องแบบนี้ล่ะ?”
เท่าที่เคยอ่านนิยายที่เธอเขียนแทบทุกเรื่อง ยังไม่มีเรื่องไหนที่พูดถึงความตายแบบเฉพาะเจาะจง ส่วนใหญ่พูดถึงแต่เรื่องสวย ๆ งาม ๆ ตามสไตล์เพ้อฝันเท่านั้น การที่อยู่ ๆ บอกว่าจะใช้เรื่องนี้เป็นข้อมูลในนิยาย ค่อนข้างทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
“ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรซับซ้อนนักหรอกค่ะ ก็คงนึกสนุกเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่องที่เล่าลือกันปากต่อปาก ทำให้รู้สึกว่าน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้นละมั้งคะ… ได้ยินว่าคนที่พบศพคนแรกเป็นนักเรียนโรงเรียนเรา รู้สึกจะอยู่ปีหนึ่ง ชื่อคุณฮิโระเสะ โคอิจิ ล่ะมั้งคะ เห็นว่ากันว่าเป็นคนโทรแจ้งความกับตำรวจด้วย”
จิโฮะหยุดเรื่องคดีการตายปริศนาซักพักหนึ่ง แล้วถามทาคุมะว่าเคยมีเรื่องคล้าย ๆ กันแบบนี้ หรือเรื่องแปลกประหลาดในความทรงจำบ้างไหม เธอเคยถามข้อมูลในสมองของเขาเหมือนเป็นสารานุกรมแบบนี้มาบ้าง เนื่องจากในหัวของเขามีสารานุกรมเป็นสิบ ๆ เล่มอยู่ในนั้นจริง ส่วนใหญ่แล้วจึงมักได้คำตอบออกมาเสมอ ๆ แต่สำหรับเรื่องนี้แล้ว เขาก็ได้แต่ส่ายหน้า
จากนั้นไม่นานพอลองมองไปข้างนอกหน้าต่างก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจจะกลับบ้าน ระหว่างที่เดินออกจากอาคารหนามไปยังทางเดินอิฐไปยังประตูหน้านั้น แสงไฟในอาคารก็เริ่มส่องสว่าง พวกเขาผ่านประตูหน้าที่มีเถาวัลย์หนามเกาะเกี่ยวไปทั่ว และหยุดที่ย่านการค้า จิโฮะแวะซื้อโดนัทระหว่างทาง โดนัทเพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ เมื่อได้ลองกัดดูก็มีควันโชยน่าทานออกมาจากชิ้นขนม เมื่อมาถึงจุดที่ต้องแยกกัน เธอก็ดึงผ้าพันคอขึ้นปิดปาก โบกมือไหว ๆ แล้วเดินจากไปสู่ย่านที่อยู่อาศัย
ทาคุมะเดินไปอีกทางหนึ่ง เส้นทางทอดไปยังช่วงตะวันออกเฉียงเหนือของโมริโอ เข้าสู่เขตพื้นที่แสนเงียบสงัดซึ่งเต็มไปด้วยบ้านร้างผู้คน บ้านของเขาเป็นบ้านเดี่ยวทรงโบราณบริเวณหัวมุมของย่านนั้น สาเหตุซึ่งทาคุมะสามารถเช่าบ้านเดี่ยวได้โดยแทบไม่มีรายได้ ก็คือครอบครัวที่เคยอยู่มาก่อนนั้นก่อเหตุฆ่าตัวตายหมู่ขึ้นภายในตัวบ้าน ซึ่งกว่าจะมีผู้มาพบเห็นร่างกายของทุกคนก็เน่าสลายอยู่คาบ้านไปแล้ว แม้ในตอนนี้บนพื้นบ้านก็ยังมีรอยเปื้อนรูปร่างคนอยู่ปรากฏอยู่ในบริเวณที่คนในบ้านเสียชีวิต แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการบ้านแบบนี้ จึงทำให้ทาคุมะเข้ามาอาศัยที่นี่ได้โดยค่าเช่าเกือบเป็นศูนย์
ช่วงที่ทาคุมะจบการศึกษามัธยมต้น เขาได้ปรึกษากับเหล่าพนักงานสถานรับเลี้ยงในการที่จะออกมาอาศัยอยู่เองคนเดียว ความรู้สึกห่างเหินกันระหว่างตัวเขากับคนอื่น ๆ ที่นั่น ก่อตัวขึ้นนานแล้วเนื่องจากพลังความทรงจำของทาคุมะ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนเดียวที่คิดว่า มันจะเป็นการดีกว่า ถ้าเขาจะออกมาใช้ชีวิตตามลำพังแทนที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ซึ่งพวกผู้ใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย และแม้ว่าเขาคงจะไม่กลับมาอ่านความทรงจำถึงเหตุผลของการตัดสินใจครั้งนั้นอีกครั้ง มันก็ถูกบันทึกในหนังสือปกหนังเล่มนั้นอยู่แล้ว
หนังสือปกหนังเล่มนั้นซึ่งเขาได้ครอบครองในช่วงประถม ก่อความเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตเขามากมาย เหตุการณ์ในอดีตต่าง ๆ จะถูกเขียนบรรยายในลักษณะนิยายในหนังสือ โดยตัวหนังสือทั้งหมดจะอยู่ในช่วงครึ่งแรกเท่านั้น ส่วนในครึ่งหลังนั้นเป็นหน้ากระดาษเปล่า ซึ่งนั่นคือจุดแบ่งระหว่างอดีตกับอนาคต ประโยคใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นทุกวินาที เมื่อใดก็ตามที่เขาสังเกตหรือคิดถึงสิ่งต่าง ๆ หน้ากระดาษหนึ่งหน้าก็จะถูกถมจนเต็มในช่วงเวลาไม่นาน ความหนาของมันก็อยู่ที่ราว ๆ หนังสือการ์ตูนรวมเล่มหรือประมาณ 380 หน้า ซึ่งหนาประมาณสามเซนติเมตร แต่ในนั้นไม่ได้มีเลขหน้าที่บ่งบอกชัดเจน แม้กระทั่งตัวทาคุมะเองก็ยังไม่รู้เลยว่า จำนวนหน้าที่แท้จริงของหนังสือเล่มนี้มีเท่าไหร่ แม้จะพยายามพลิกหนังสืออยู่นานเท่าใด ก็ไม่ปรากฏว่าจะถึงหน้าสุดท้ายของเล่ม คล้ายกับมีจำนวนหน้างอกเงยขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
เมื่ออายุได้ 10 ขวบ เขาก็ได้เห็นหน้าของมารดาเป็นครั้งแรก ถึงจะไม่ได้พบเจอโดยตรงก็ตาม ความทรงจำระหว่างที่เขายังอยู่ในอ้อมกอดของแม่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนั้น ผมดำยาวสยายที่เคลียคลอบนใบหน้า ปลายนิ้วที่สัมผัสแก้ม คำพูดที่เอื้อนเอ่ยกับเขา ทั้งหมดนี้ถูกเขียนไว้ในหนังสือ ช่วงที่ทาคุมะยังเป็นทารกอยู่ แม้จะจำความอะไรมากไม่ได้ แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แม่ก้มหน้าเข้ามาใกล้ ทำให้เขามองเห็นหน้าของแม่ได้ชัดเจนจากการเพ่งสมาธิในความทรงจำและการบทบรรยาย
กระทั่งความทรงจำก่อนหน้านั้นที่เขายังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ ก็ยังถูกเขียนไว้ในหนังสือ รอบกายเขาช่างอบอุ่นนุ่มนวล บางครั้งน้ำคร่ำก็จะสั่นไหวไปมาจนเขาตกใจ ราวกับแม่คงจะพยายามตั้งใจพูดกับเขาซึ่งอยู่ในท้อง
แต่ความทรงจำที่ย้อนไปมากกว่านั้น จะไม่มีบทบรยายที่ชัดเจน คล้ายกับช่วงต้นของหนังสือที่เต็มไปด้วยความมืดมนไม่จบไม่สิ้น รู้สึกเหมือนผิวหนังหลอมละลายเป็นของเหลว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยตัวหนังสือในเล่ม
ทาคุมะไม่เคยบอกเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้กับคนอื่น หรือเรื่องที่ตัวเองจดจำใบหน้าของมารดาได้ เขาเก็บสิ่งเหล่านั้นเป็นความลับพร้อมกับดำเนินชีวิตไปตามลำพัง รู้ตัวอีกที เขาก็เริ่มหลีกเลี่ยงผู้คนและใช้เวลากับตัวเองอย่างโดดเดี่ยว
เขาค่อนข้างให้ความสนใจกับช่วงต้นของความทรงจำเป็นอย่างมาก ช่วงบทบรรยายมืดมิดในตอนเริ่มของหนังสือ ในช่วงนั้น ร่างกายของเขาก็คงไม่ต่างจากส่วนหนึ่งของร่างกายแม่ เหมือนปลายเล็บที่งอกอยู่บนนิ้วมือ สำหรับแม่แล้ว คงรู้สึกเหมือนมีปุ่มเนื้อที่งอกอยู่ในท้อง เป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ยื่นพองออกมา และถูกดึงด้วยแรงโน้มถ่วงให้หลุดออกมาจากร่างกายแม่ นึกดูแล้วก็เหมือนลูกแอ๊ปเปิ้ลที่หล่นร่วงจากต้น
เขากลับบ้าน ทานอาหารเย็น อาบน้ำ และเข้านอน ทว่าช่วงดึกสงัดคืนนั้น เขาก็ฝันร้ายจนสะดุ้งตื่น ฝันร้ายที่เห็นเป็นประจำก็คือมีเส้นผมยาวสยายพันรอบนิ้วมือ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็แกะไม่ออก ด้านนอกยังคงมืดสนิท ราวกับโลกนี้ยังคงหลับไหลอยู่
ขณะกำลังล้างหน้าในห้องน้ำ ก็นึกสงสัยว่าตัวเองกรีดร้องออกมาหรือไม่ เมื่อหลายปีก่อน เขาฝันร้ายขนาดถึงขั้นร้องตะโกนกลางดึก ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาอยากจะแยกออกมาอยู่ตามลำพัง
ทาคุมะใช้สบู่ถูมือ แต่ไม่ว่าจะล้างอยู่นานเท่าไหร่ สัมผัสของเส้นผมที่พัวพันรอบมือในฝันก็ไม่จางหายไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองตัวเองในกระจก ก็ให้จดจำได้ถึงคำพูดที่เขาเคยกล่าวไว้
“ผมมีปานที่หัวไหล่ตั้งแต่เกิด ลองเข้ามาดูใกล้ ๆ สิ คุณน่าจะจำเด็กที่มีปานแบบนี้ได้นะ”
วันนั้น เขาเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ระหว่างเขาทั้งสองมีกระจกกั้นกลางไว้ เขาถอดเสื้อเครื่องแบบนักเรียน พร้อมยื่นไหล่ออกมาข้างหน้าให้เธอได้เห็นปานรูปม้าบนนั้น อดีตคนรักของพ่อคนนี้ยังอายุไม่มากนัก ดูเด็กกว่าความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป เขาเห็นเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงวางอยู่เต็มห้อง อีกทั้งยังเห็นแมวสีขาวกำลังหาวนอน เขาแอบสืบจนรู้ว่า โอริคาสะ ฮานาเอะ ไม่ค่อยคบหากับคนแถวบ้านเท่าใดนัก ดังนั้นจึงตัดสินใจทิ้งร่างที่จมกองเลือดนั่นไว้ อีกไม่นานข่าวการตายของเธอน่าจะไปเข้าหูของพ่อ จากนั้นก็รอจังหวะเหมาะ ๆ คงได้เวลาที่เขาจะไปเยี่ยมเยียนผู้เป็นบิดาในอีกไม่นานนี้แล้ว