The Book - ตอนที่ 2 บทนำ
เด็กสาวสองคนเล่นอยู่บนหาดทราย ชาวเมืองต่างสนุกกับเบสบอล ในขณะที่อีกกลุ่มก็กำลังล้อมวงเตะฟุตบอลกันอยู่ เส้นทางจักรยานทอดยาวไปยังซุ้มประตูโทริอิอันลึกลับ ขนาดที่ใหญ่โตของมันนั้นเพียงพอให้รถยนต์สามารถแล่นผ่านไปได้ทีเดียว บ้านเดี่ยวที่วางตัวอิสระในพื้นที่ทอดยาวมองดูแล้วราวกับเมืองตุ๊กตา ยามเมื่อมองขึ้นไปข้างบนหัวจะเห็นเพียงฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา แทบจะมองไม่เห็นสายไฟเลย ได้ยินมาว่าพวกมันถูกฝังไว้ใต้ดินไว้ทั้งหมดในช่วงการพัฒนาเมืองรอบล่าสุด
กระนั้นก็ยังคงมีหอกระจายไฟฟ้าอยู่อีกมากในด้านตะวันตกเฉียงหนือของเมือง ในช่วงที่เรียนอยู่ ม. ปลายนั้น ฉันเคยได้ยินคนพูดกันว่ามีคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในหอต้นหนึ่งอยู่ด้วย ตอนแรกนั้นฉันคิดแค่ว่ามันก็แค่เรื่องเล่าลือกันไปเอง แต่มันกลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ ครั้งนั้นฉันพยายามมองหาหอไฟฟ้าที่เป็นต้นเรื่องด้วยกล้องส่องทางไกล จนแน่ใจว่ามีคน ๆ หนึ่งอยู่อาศัยในหอต้นหนึ่งอยู่จริง บนคานเหล็กที่สูงจากพื้นหลายสิบเมตรนั้น มีครบทั้งเตาไฟเล็ก ๆ กระทะทอด หรือกระทั่งที่นอนพับ ราวตากผ้าถูกขึงพาดไว้ระหว่างปีกเสาทั้งสองฝั่ง บนนั้นมีเสื้อผ้าที่ยังคงเปียกตากเอาไว้ มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินไต่อยู่บนคานเหล็กอย่างคล่องแคล่วแม่นยำ จับนกนางนวลด้วยกับดัก จากนั้นจึงถอนขนแล้วนำมาปรุงอาหาร เขาใช้ชีวิตอยู่ในนั้นหลายเดือนโดยไม่ออกมาข้างนอกหอเหล็กเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงขนาดนั้น ผู้คนมักจะนำสิ่งของจำพวกขนมหรือเครื่องเทศไปให้เขา ตลอดจนโอภาปราศรัยกันเป็นอย่างดีเสมอ ๆ ซึ่งต่อมาชายผู้อยู่อาศัยในหอไฟฟ้าผู้นี้ ก็กลายมาเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวเมืองในชื่อ มนุษย์หอเหล็ก
“คิดว่ามันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอคะ ที่จะอยู่ในนั้นโดยไม่ออกมาข้างนอกเลย?”
ฟุตาบะ จิโฮะ เอ่ยถามรุ่นพี่ของเธอในระหว่างที่พวกเขาเดินอยู่ด้วยกัน ซึ่งรุ่นพี่ก็ตอบเพียงว่า
“เมื่อก่อนเคยมีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในช่องว่างระหว่างอาคารสองหลังมาได้ตั้งหนึ่งปี ดังนั้นกะอีแค่คนที่อยู่ในหอเหล็ก ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหนเลย”
แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือแค่ตำนานเมืองที่เล่าขานกันไปเองนั้น จิโฮะไม่อาจรู้ได้เลย
ค่ำคืนของพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนนั้นเอง ที่ฟุตาบะ จิโฮะ ฆ่าคน
ภายในครัว เธอแทงหน้าอกคนที่เธอรักยิ่งด้วยมีดทำครัว
ก่อนที่คน ๆ นั้นจะสิ้นลมไม่นาน เขากล่าวเพียงแค่ว่า
“นี่คือความสามารถของฉัน ฉันเรียกมันว่า ‘เมมโมรี่ ออฟ เจ็ท’….”