The Book - ตอนที่ 8 บทที่ 1 องค์ 4 (2)
ในที่สุดช่วงการจบการศึกษามัธยมต้นก็มาถึง ตามมาด้วยการสอบเข้ามัธยมปลายซึ่งก็ผ่านไปอย่างไม่มีอะไรผิดจากที่คาด เพื่อนสาวผมเปียสอบติดและย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมือง S แม้จะเหงาอยู่บ้างที่เพื่อนซี้ไม่ได้อยู่ด้วย แต่ที่โรงเรียนบุโดงะโอกะก็มีคนที่เป็นมิตรอยู่มาก จนเธอเองก็ปรับตัวเข้ากับที่นั่นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ ณ ที่ห้องสมุดกลางของเทศบาลโมริโอนั่นเอง ที่เธอได้พบกับเด็กหนุ่มคนนั้น
ตัวห้องสมุดสร้างอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่ถัดไปจากย่านการค้า ถนนจากประตูหน้าไปยังตัวอาคารปูอิฐอย่างเรียบร้อย ในสวนมีทั้งบ่อน้ำและน้ำพุ ปนประดับด้วยรูปปั้นหน้าตาพิกล ตัวอาคาร 3 ชั้นทรงตะวันตกนี้ ถูกปรับปรุงขึ้นมาจากของเดิมในช่วงเมย์จิ มองดูคล้ายกับอาคารว่าราชการอิฐแดงของซัปโปโร หากแต่อาคารหลังนี้ถูกปกคลุมด้วยกิ่งไม้หนามไปทั่ว จนชาวบ้านแถวนั้นเรียกขานกันติดปากว่า “อาคารหนาม”
วันนั้นในพื้นที่อ่านหนังสือของมุมวรรณกรรมซึ่งผู้คนค่อนข้างบางตา ระหว่างที่จิโฮะกำลังเพลิดเพลินกับเนื้อเรื่องที่ราวกับไม่มีวันจบสิ้นของ “จินตนาการไม่รู้จบ” (The Neverending Story) มาได้ระยะหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจหยุดพักแล้วเงยหน้าขึ้นมายืดเส้นยืดสาย จึงพบว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ในบริเวณนั้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว ไม่ได้แม้แต่ยินเสียงก้าวเดิน เสียงลากเก้าอี้ หรือกระทั่งเสียงย่อตัวลงนั่ง แม้อาจจะเป็นเพราะเธอกำลังจดจ่อกับการอ่านอยู่ จิโฮะกลับรู้สึกราวกับว่าคน ๆ นี้อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศธาตุก็ไม่ปาน เขาสวมเครื่องแบบของโรงเรียนบุโดงะโอกะ เมื่อได้พิจารณาใบหน้าซึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือนั่นอย่างละเอียดแล้ว เธอถึงกับใจหาย เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าละม้ายกับเด็กชายซึ่งเคยช่วยเธอไว้ที่ท่ารถเมื่อสี่ปีที่แล้วมากทีเดียว
สายลมโชยเอื่อยพัดผ่านหน้าต่าง พลิกหน้าหนังสือจินตนาการไม่รู้จบไปมา
เมื่อใดก็ตามที่จิโฮะไปที่อาคารหนาม ก็จะพบเจอเขาอยู่ที่นั่นแทบทุกครั้ง กระนั้นก็ยังไม่สามารถรวบรวมความกล้าได้มากพอจะเข้าไปทักทายได้เสียที สุดท้ายแล้วเธอก็ใช้เวลาเกือบทั้งช่วงวันหยุดหลังจบการศึกษามัธยมต้นในการแอบเผ้ามองดูชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบขนาดพอดีตัวสีดำสนิทหัวจรดเท้าในมุมอ่านหนังสือไปจนหมด
ครั้งแรกที่จิโฮะได้คุยกับเขานั้น ก็ล่วงเขามาในปีแรกของมัธยมปลาย หลังจากจบพิธีปฐมนิเทศน์ เธอแวะเข้ามาที่อาคารหนามและพบว่าเขานั่งมือท้าวคางอ่านหนังสืออยู่ที่นั่นเช่นเคย เธอหาที่นั่งบริเวณนั้นเพื่อแอบสังเกตการณ์ ใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ เขาพลิกหน้าหนังสือด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอราวกับเครื่องจักร เมื่อตรวจสอบกับนาฬิกาบนกำแพงแล้ว ก็พบว่าเขาใช้เวลาหนึ่งวินาทีในการพลิกหน้าหนังสือหนึ่งครั้งไม่มีคลาดเคลื่อน ราวกับกำลังบันทึกหน้าหนังสือเข้าสู่สมองมากกว่าที่จะเป็นการหนังสือ
เมื่อเลิกแอบมองแล้วตัดสินใจกลับมาอ่านหนังสือที่หยิบมา จิโฮะก็พบว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ที่เท้า พอหยิบขึ้นมาจึงเห็นว่ามีตัวอักษรพิมพ์อยู่ทั้งสองด้านของกระดาษที่เหลืองเก่า ดูเหมือนว่าจะเป็นหน้าหนึ่งของหนังสือ
“เอ่อ หนูว่าน่าจะหลุดออกมาจากหนังสือนะคะ”
เธอนำหน้าหนังสือไปส่งที่จุดบริการซึ่งมีบรรณารักษ์หญิงสองคนทำงานอยู่
“แล้วหลุดมาจากหนังสือเล่มไหนล่ะจ๊ะ?”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ…”
ข้อมูลที่มีอยู่บนกระดาษก็มีเพียงตัวหนังสือและเลขหน้า ไม่มีชื่อเรื่องบอกไว้ จิโฮะพยายามอ่านเนื้อหา แต่ก็ไม่คล้ายกับหนังสือที่เธอเคยอ่านเลยแม้แต่น้อย ลงแบบนี้การจะหาหนังสือที่เป็นเล่มต้นฉบับนั้นดูท่าจะยากเย็นเอาการ อาจต้องถึงขั้นไล่รื้อหนังสือจนหมดชั้นแล้วตรวจสอบทีละเล่มเลยทีเดียว ระหว่างที่เธอและบรรณารักษ์กำลังยืนคิดกันอยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลัง
“ขอผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”
เขายืนอยู่ด้านหลังโดยเธอไม่ทันรู้ตัว ระหว่างที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มในชุดดำก็ยื่นแขนซึ่งทั้งผอมและยาวออกมา มือที่เคลื่อนผ่านแก้มของเธอนั้นมีกลิ่นของหนังสือเก่า เขาหยิบหน้าหนังสือจากมือของบรรณารักษ์ แล้วก้มลงมองด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง สายตานั้นคมกล้าและเยือกเย็น ราวกับไร้ซึ่งความอบอุ่นใด ๆ ในดวงตาคู่นั้น หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวออกมา
“รอซักครู่นะครับ”
จากนั้นจึงเดินออกไปพร้อมหน้าหนังสือในมือ ในขณะที่จิโฮะและบรรณารักษ์ได้แต่ยืนมอง เด็กชายเดินไปที่ชั้นหนังสือชั้นหนึ่งอย่างไม่มีความลังเล หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้น แล้วกลับมาที่เค้าเตอร์บริการ
“ผมคิดว่าน่าจะหลุดมาจากเล่มนี้ครับ”
เขาวางหนังสือบนโต๊ะโดยที่ไม่เปิดหนังสือออกเลยด้วยซ้ำ มันเป็นหนังสือของอุนโนะ จูสะ บรรณารักษ์ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วจึงลองเปิดหนังสือเพื่อตรวจสอบด้านใน และก็จริงดังคาด หน้าหนังสือหลุดมาจากหนังสือเล่มนี้จริง ๆ เพราะเมื่อนำหน้ากระดาษมาเทียบ ทั้งสีของกระดาษและเนื้อหาส่วนต้นและส่วนท้ายก็ตรงตามหน้าที่หายไปอย่างพอดิบพอดี ตรงตามที่เด็กหนุ่มบอกไว้ทุกประการ ระหว่างที่ทั้งจิโฮะและเหล่าบรรณารักษ์กำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง เด็กชายก็ไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว เขาเดินออกมานอกห้องไปที่โถงทางเดิน
หากพลาดโอกาสนี้ก็อาจไม่มีคราวหน้าอีกแล้ว รู้สึกตัวอีกทีขาของจิโฮะก็เริ่มก้าว แล้วออกวิ่งตามไปในทันที
พื้นไม้กระดานแผ่นยาวเรียวแสดงออกถึงความเก่าแก่ของอาคารหนามได้อย่างเด่นชัด ไม้สีดำคล้ำซึ่งถูกขัดและลงเคลือบไว้เป็นอย่างดี เมื่อแสงแดดจาง ๆ สาดส่องลงมากระทบก็เปล่งประกายราวกับพื้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
“ช่วยรอเดี๋ยวก่อนค่ะ!”
ด้วยความโค้งมนของเพดานซึ่งสูงขึ้นไปกว่าสามชั้น เสียงของจิโฮะดังสะท้อนก้องกังวาน เด็กชายหยุดยืนนิ่งอยู่ ณ บันได้โค้ง
“นี่คุณรู้ได้ยังไงคะ ว่าเป็นหนังสือเล่มนั้น?”
ชายหนุ่มนั้นตัวสูงกว่าจิโยะมาก ท่าทางลังเลเล็กน้อยว่าจะตอบคำถามนั้นดีหรือไม่ เมื่อได้เห็นหน้าของเขาใกล้ ๆ แล้ว ก็ให้มั่นใจขึ้นไปอีกว่า เขาต้องเป็นเด็กชายในวันนั้นแน่ ๆ
“ก็เพราะฉันจำวิธีการจัดเรียงตัวอักษรได้น่ะ”
เสียงของเด็กชายปราศจากอารมณ์ใด ๆ ราวกับเป็นสิ่งไร้ชีวิตก็มิปาน
“หมายความว่าเคยอ่านแล้วเหรอคะ?”
“ฉันไม่รู้เนื้อหาของนิยายหรอกนะ ฉันจดจำวิธีการเรียงพิมพ์ของหน้าได้ จำถ้อยคำที่ปรากฏได้ มันไม่ใช่การอ่านหรือทำความเข้าใจในหนังสือ”
“จำหน้าหนังสือได้เนี่ยนะคะ?”
“ฉันจำหนังสือได้จนหมดห้องสมุดแล้วล่ะ”
ดูท่าทางไม่เหมือนล้อเล่นหรือต้องการหยอกล้อ ไม่แม้แต่มีรอยยิ้ม
“ความจำดีจังนะคะ…”
“ไม่ดีเท่าเดิมแล้วล่ะ หลัง ๆ มานี่ จำหนังสือได้แค่วันละเล่ม”
“สำหรับฉันแล้ว บางครั้งยังจำไม่ได้เลยว่าเคยอ่านหนังสือบางเล่มไปแล้ว เลยกลายเป็นว่า อ่านสองรอบเป็นประจำเลยค่ะ”
เด็กหนุ่มมีท่าทีไม่สนใจและนิ่งเงียบไป จนจิโฮะเลิกล้มความพยายามที่จะคุยเล่น
“…เอ่อ ฉันมีคำถามค่ะ เราเคยพบกันมาก่อนรึเปล่าคะ? แบบว่าราว ๆ สี่ปีก่อน ช่วง 21 ตุลานะค่ะ?”
นั่นคือวันที่เธอหนีออกจากบ้าน โดนนักเลงรังแก และถูกช่วยไว้โดยเด็กชาย
เขามองหน้าจิโฮะอยู่พักหนึ่ง
“ฉันจำไม่ได้นะ”
เขาพูดพร้อมส่ายหน้า
“คุณบอกว่าตัวเองความจำดี แต่จำไม่ได้เหรอคะ?”
“ก็นะ ฉันพูดไปว่าจำไม่ได้ ก็เพราะไม่อยากจะต้องมานั่งอธิบายรายละเอียด เอาเป็นว่าแบบนี้แล้วกัน วันนั้น ฉันรู้ตัวดีว่า ไม่เคยเจอกับเธอมาก่อนแน่นอน สี่ปีก่อน ก็คือปี 1995 ปีนั้นวันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันเสาร์ ช่วงเช้าฉันไปโรงเรียนตามปกติ จนตกบ่ายฉันก็กลับไปที่สถานเลี้ยง…”
“สถานอะไรนะคะ?”
“…กลับไปบ้านฉัน ช่วงบ่ายฉันหลับไปนาน เพราะตั้งใจว่าช่วงดึกจะตื่นมาดูดาว เธอน่าจะจำไม่ได้หรอกนะ ว่าวันนั้นในปี 1995 มีฝนดาวตกโอริออนิดสว่างจนเห็นได้ชัดเจนบนท้องฟ้า”
“คุณพกมีดออกมาช่วยฉันเอาไว้ ใช่ไหมคะ?”
“มีดเหรอ? ฉันว่าเธอคงจำคนผิดแล้วล่ะ ในหัวฉันในวันนั้น ไม่อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องฝนดาวตก สายแสงที่ทอดยาวผ่านท้องฟ้า เร็วยิ่งกว่านก เร็วยิ่งกว่าม้า ทิวทรรศน์ที่ดูราวกับโลกนี้กำลังจะจบสิ้นลง ค่ำคืนที่มีอะไร ๆ น่าสนใจให้มองขนาดนั้น ฉันจะเสียเวลาไปช่วยเธอทำไมกัน?”