The Book - ตอนที่ 9 บทที่ 1 องค์ 4 (3)
ชื่อของเด็กหนุ่มคือ ฮาสุมิ ทาคุมะ อายุ 17 ปี เป็นรุ่นพี่ของเธอหนึ่งปี ดังนั้นเธอจึงเรียกเขาว่ารุ่นพี่ฮาสุมิ แรก ๆ นั้น พวกเขาทักทายกันแต่ในห้องสมุด จนต่อมาก็เริ่มทักทายกันที่โรงเรียนด้วย บางครั้งเธอก็นึกกังวลว่าเขาจะรู้สึกรำคาญ แต่พอมาเรื่อย ๆ ระยะห่างของทั้งสองก็สั้นลง ๆ จนการไปไหนมาไหนด้วยกันกลายเป็นเรื่องปกติไป
ทว่าสายตาที่แหลมคมแสนเยือกเย็นของเขายังคงนิ่งเฉย แม้ว่าเธอจะเลี้ยงโดนัทแสนอร่อย หรือเล่าเรื่องราวขำขันซักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนอารมณ์เย็นชาของเขาไปได้ หรือบางครั้งเขาก็แค่มีปัญหาในการแสดงอารมณ์กันนะ? ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือเย็นเพียงใด ก็ดูจะไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ในฤดูร้อนก็ไม่เคยจะเห็นเขาใส่เสื้อผ้าบาง ๆ สักครั้ง สิ่งที่เขาใส่ก็มีเพียงเสื้อนักเรียนแขนยาวติดกระดุมสูงถึงคอเป็นประจำ แม้ในช่วงร้อนจัดที่จักจั่นร้องระงม พวกเขาไปที่ร้านอาหารกัน ด้านจิโฮะนั้นแทบหมดแรงจากความร้อน ส่วนเขานั่งนิ่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่เหงื่อไม่หยดสักเม็ด
“มองอะไรอยู่เหรอคะ?”
“นั่งมองป้ายทะเบียนรถที่ผ่านไปผ่านมาอยู่นะ”
เขาตอบโดยไม่หันหน้ามามอง
“เพื่อ…?”
“ก็มองเพื่อจดจำน่ะ บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันอาจมีประโยชน์ก็ได้ อย่างเวลานี้นาทีนี้ มีรถคันไหนอยู่บนถน หรือมีใครบ้างที่เดินอยู่”
ในยามที่รุ่นพี่ฮาสุมิพูดหรือทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้ จิโฮะไม่อาจรู้ได้เลยว่า ตกลงแล้วเขากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่หรือเปล่า
“ยังไงก็เหอะ ไม่ร้อนมั่งเหรอคะ? ถอดเสื้อนอกออกก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่ได้หรอก เครื่องแบบมันผสานกับตัวฉันไปแล้ว”
รุ่นพี่ฮาสุมิใส่เครื่องแบบตลอดเวลา ราวกับว่านั่นคือสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนของเขา เส้นผมของเขาแม้จะสีจาง แต่ดวงตาและรองเท้านั้นดำสนิทเหมือนกับห้วงอวกาศ ทำให้เครื่องประดับที่หูและกระดุมสีทองบนเสื้อนอก ดูเหมือนกับดาวที่ส่องประกายในความมืดมิด กระเป๋าเสื้อมีปากกาด้ามหนึ่งเสียบไว้อยู่เสมอ เขาบอกว่าเป็นของขวัญที่ได้มาจากเพื่อนเก่า แต่แน่นอนว่าไม่มีทางที่เครื่องแบบมันจะรวมตัวกับเนื้อหนังของเขาได้จริง ๆ มันก็แค่สิ่งที่ห่อหุ้มเขาไว้เท่านั้น
ฤดูร้อนปีนั้น แม้ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันกันเป็นประจำ แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องอีกมากมายเป็นภูเขาที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับเขา โดยเฉพาะเรื่องที่เขาคือเด็กชายที่ช่วยเธอไว้จริงหรือไม่นั้น ก็ยังคงเป็นปริศนาเสมอมา
จิโฮะลองปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนสาวผมเปียทางโทรศัพท์ ในช่วงที่เธอย้ายไปเรียนที่เมือง S แล้ว
“เขาบอกว่าไม่ใช่ แต่ฉันว่าเขาอาจจะโกหกอะไรแบบนี้อยู่ก็ได้นะ”
เพื่อนสาวผมเปีย ผู้ซึ่งไม่ได้ไว้ผมเปียอีกต่อไปแล้วเมื่อมาเรียนโรงเรียนใหม่ ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตักเตือนในที
“ไม่คิดมั่งเหรอว่า จิโฮะก็แค่อยากเชื่อให้มันเป็นอย่างนั้นไปเองน่ะ?”
ก็อาจจะจริง ด้วยความจำที่ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว เวลาก็ผ่านไปตั้งนานขนาดนั้น เธอจะจำหน้าของเด็กที่ช่วยเธอไว้ได้แม่นยำได้ซักเท่าไหร่กันเชียว? พอมาลองคิดดูดี ๆ แล้ว ก็แทบหาความเชื่อมต่อระหว่างเด็กที่แกว่งมีดไปมากับรุ่นพี่ที่เอาอ่านหนังสือไม่เจอเอาซะเลย ทว่าลึก ๆ แล้ว เธอก็ยังแอบหวังให้ทั้งสองคนนั้นเป็นคน ๆ เดียวกันอยู่ดีนั่นเอง
อาจเป็นเพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวแปลกประหลาด หรือแค่ต้องการรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอมีบางสิ่งที่พิเศษเชื่อมกันไว้ เหมือนกับถ้ามีเรื่องเหล่านี้เป็นฉากหลัง จะยิ่งทำให้เธอมั่นใจกับความรู้สึกตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น
เสียงอันแสนอบอุ่นจากปลายสายกล่าวต่อ
“แต่ก็ดีแล้ว ไว้ฉันจะรักษาการก๊วนดริงก์บาร์คนเดียวไปก่อนเหอะ โดนเขาทิ้งเมื่อไหร่ ก็กลับมาละกันนะ”
จิโฮะค่อนข้างกังวลใจเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับรุ่นพี่ฮาสุมิอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทด้วยมากพอจะปรึกษาได้มากนัก
รุ่นพี่เองก็ดูเหมือนจะไม่เข้าเรียนวิชาพละศึกษา เขาบอกว่าเป็นเพราะอาการป่วย แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะแค่ไม่ต้องการถอดเสื้อนอกกันแน่นะ? ภายนอกโรงเรียนก็มีหลายที่ซึ่งรุ่นพี่จะแวะไปเสมอ ๆ อย่างเช่นร้านหนังสือ ร้านหนังสือมือสอง ร้านเครื่องเขียน ห้องสมุด หรือบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ค่อนไปทางตะวันออกของโมริโอ
บ้านหลังนั้นเป็นซากบ้านที่ผุพังไปหมดแล้วซึ่งหลงเหลือจากโปรเจคพัฒนาเมือง พื้นที่ในระแวกนั้นก็เป็นเหมือนชนชททั่วไป ซึ่งเต็มไปด้วยบ้านและทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา ดูเหมือนรุ่นพี่จะไม่ได้ไปบ้านหลังนั้นเพราะมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน เมื่อเข้าใกล้ตัวบ้าน เขาจะยืนออกนอกเส้นทางเล็กน้อยพร้อมทั้งสูดอากาศเข้าปอด หลังคาที่ผุพังมีหญ้าขึ้นอยู่เต็มไปหมด ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่น ดูสภาพเหมือนจะรกร้างมานานแล้ว กระนั้นก็ยังมีร่องรอยของการทำสวนหัวหอมและผักกาดขาวอยู่บ้าง หน้าบ้านยังคงมีคราดและเสียมซึ่งด้ามจับขาวซีดและเต็มไปด้วยดินโคลนวางพาดอยู่ กลิ่นของนาข้าวฟุ้งกระจายไปทั่ว แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด
ตอนที่เขาพาเธอมาที่นี่ครั้งแรก จิโฮะนึกว่าเป็นบ้านเก่าที่เขาเคยอยู่ แต่สอบถามดูก็พบว่าไม่ใช่
“ฉันไม่เคยอาศัยอยู่ที่นี่”
“แล้วนี่บ้านใครล่ะคะ?”
“ราว ๆ 5 ปีก่อน มีตายายคู่นึงอาศัยอยู่ด้วยกัน”
“แล้วไปไหนซะละคะ?”
“เสียไปแล้วทั้งคู่น่ะ ภรรยาเสียด้วยโรคภัย ต่อมาอีกครึ่งปี ตัวสามีก็เส้นเลือดในสมองแตกไปอีกคน เหมือนจะตามกันไป”
“แล้วไม่มีลูกหลานบ้างเหรอคะ?”
“มีลูกสาวอยู่คนนึง แต่ก็หายตัวไปตั้งแต่ 12 ปีก่อน ไม่เคยกลับมาที่นี่ เหมือนอยู่ ๆ วันนึงก็หายไปโดยไร้ร่องรอย เหมือนเป็นเรื่องปกติของโมริโอ รู้ไหมว่าเมืองนี้คดีคนหายมีเยอะเท่าไหร่? เคยมีคนเก็บสถิติไว้ว่า ตั้งแต่เข้าปี 1999 มีคนหายตัวไปถึง 81 คดี ซึ่งกว่า 45 คนในนั้นเป็นเด็กทั้งหญิงและชาย อดคิดไม่ได้เลยว่าเมืองโมริโออาจจะเป็นที่เมืองกินคนซึ่งผ่านไปในร่มเงาของตึกรามบ้านช่องก็เป็นได้”
รุ่นพี่เหม่อมองเข้าไปยังตัวบ้าน ผ่านหน้าต่างซึ่งพังยับเยินจนมองเข้าไปเห็นได้จากนอกบ้าน ภายในนั้นมืดสนิทราวกับถ้ำลึกลับ
“แล้วรุ่นพี่ไปรู้จักคนบ้านนี้ได้ยังไงล่ะ เป็นญาติกันเหรอคะ?”
“เป็นคนที่เคยเห็นหน้าค่าตากันน่ะ เรารอรถเมล์ที่ป้ายเดียวกันอยู่บ่อย ๆ เลยพอได้เจอหน้ากันบ้าง ว่าแต่จิโฮะหิวรึยังน่ะ? ไปหาไอ้นั่นกินกันไหม ไอ้ขนมที่มีรูตรงกลางโรยน้ำตาลที่เธอชอบน่ะ”
แน่นอนว่าเขากำลังพูดถึงโดนัทที่จิโฮะชอบซื้อทาน
“แล้วอีกอย่างนะ ตัวฉันไม่มีญาติที่ไหนหรอก ไม่มีแม้แต่ครอบครัวด้วยซ้ำ”
รุ่นพี่กล่าวขึ้นมา ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปที่ป้ายรถเมล์
หลังจากนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จิโฮะจึงแอบตรวจสอบเกี่ยวกับคู่ตายายที่บ้านหลังนี้โดยไม่บอกรุ่นพี่ เธอตรวจสอบแผนที่ในห้องสมุด สอบถามคนที่อยู่ในระแวกนั้น และยังค้นหาบทความเกี่ยวกับคดีคนสูญหายในเมืองโมริโอ ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่รุ่นพี่บอกไว้ คู่ตายายเจ้าของบ้านเสียไปแล้ว ตัวลูกสาวเองก็สูญหาย ทั้งสองตายายเป็นชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ที่โมริโอมาตั้งแต่โบราณ นามสกุลของพวกเขาคือ “ฮิราอิ” ส่วนลูกสาวนั้นชื่อ “อาคาริ” โดยปลายเดือนกรกฎาคม ปี 1981 ในช่วงอายุ 21 ปี เธอหายสาบสูญไปจากโมริโออย่างไร้ร่องรอย