The Conquerors Path | เส้นทางผู้พิชิต - ตอนที่ 339 A Deadly Night
“อันนี้เผ็ดมากเลยค่ะ!”
เอ็มม่าร้องออกมาขณะโบกมือพัดลิ้นพร้อมกับดวงตาที่น้ำตาไหล เธอจิบน้ำผลไม้ที่อยู่ข้างๆ เอ็มม่าไม่ใช่คนเดียว ผมเห็นซานะทำแบบเดียวกันอยู่ข้างๆ เธอ
เพื่อนๆ ของผมรวมตัวกันขณะที่พวกเขากินอาหารอยู่ด้วยกัน ผมได้เห็นพวกเขาแต่ละคนมีปฏิกิริยาที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่คนที่ผมต้องจัดการตอนนี้คือมาร์ค
“นั่งลงซะ! อย่าไปฆ่าเชฟนะ! อาหารก็อย่างนี้แหละ!”
ผมตะโกนออกมาเพื่อหยุดพี่ชายที่โกรธเกรี้ยวคนนี้จากการฆ่าเชฟที่ทำให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเอ็มม่าน้องสาวของเขาเนื่องจากเครื่องเทศ
‘นั่งลงนะโว้ยไอ้พี่ชายผู้ปกป้อง!’
ผมนึกในใจเมื่อต้องใช้คำพูดดีๆ เนื่องจากเอ็มม่าก่อนที่มาร์คจะนั่งลง แม้ว่าผมจะแน่ใจว่าเชฟต้องถูกตีแบบลับๆ ที่ไหนสักแห่งในแถวนี้แน่ๆ ก็ตาม
จริงๆ แล้วผมเองก็ไม่สามารถบ่นได้หรอก เพราะถ้าเอลด้าทำสีหน้าแบบเดียวกัน ผมอาจจะทำลายสถานที่ทั้งหมดเสียเองก็ได้
ทันใดนั้นเองผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้นที่จะปล่อยให้มาร์คแก้แค้น
“ดูเหมือนอาหารจะไม่เป็นปัญหาสำหรับนายเลยนะ”
ผมพูดออกมาเมื่อเห็นว่าอาม่อนที่กำลังกินอาหารเผ็ดๆ ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
สีหน้าของเขายังคงเย็นชาอยู่เช่นเดิม แต่ผมสามารถสังเกตุเห็นใบหน้าของเขาที่เริ่มแดงขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป
รินะมีสีหน้ามึนเมาเมื่อเธอดื่มแอลกอฮอล์ชนิดพิเศษที่เรียกว่าซาเคีย ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของเธอมีสีแดงเล็กน้อย
คลาร่า มิกะ และริกะเป็นเหมือนเด็กขี้สงสัยขณะมองดูอาหารอันเยอะแยะตรงหน้า พวกเธอต่างชิมอาหารแต่ละอย่างตามเวลา พวกเธอเป็นเหมือนนักวิจารณ์ที่พยายามทานอาหารแต่ละอย่างพร้อมกับบรรยายรสชาติของพวกมันออกมา แต่ผมที่รู้เหตุผลที่แท้จริงคงทำได้แต่หัวเราะและรู้สึกอบอุ่นในใจ
เหตุผลของการกระทำของทั้ง 3 คนคืออย่างน้อยก็จำลองอาหารเพื่อที่พวกเธอจะได้ทำอาหารให้ผมกินในภายหลัง คลาร่าก่อนหน้านี้ผมมอบทุกอย่างให้เธอดูแลในฐานะเมดส่วนตัวของผม เธอมักจะพยายามทำอาหารหลายอย่างเพื่อให้ผมพอใจ
สิ่งต่างๆ จะแตกต่างออกไปเล็กน้อยสำหรับมิกะและริกะ เพราะหลังจากที่เรายืนยันความสัมพันธ์ของพวกเราแล้ว ทั้งคู่ก็มักจะนำอาหารที่ทำมาให้ผมกินในบางครั้ง
ดูเหมือนว่าพวกเธอจะรู้มาจากที่ไหนสักแห่งว่าการพิชิตท้องของผมได้จะทำให้ผมมีความรู้สึกต่อพวกเธอมากขึ้น ดังนั้นตั้งแต่นั้นมาพวกเราจึงมีความลับร่วมกันคือการกินอาหารทุกสัปดาห์ในขณะที่ผมลองอาหารของทั้งคู่
“ให้ตายเถอะ…โซร่าน็อกไปแล้ว”
ผมร้องอุทานขณะมองโซร่าที่นอนทรุดอยู่บนโต๊ะ เธอจิบไปครั้งหนึ่งจากรินะก่อนที่จะฟุบลง คนที่รบกวนจิตใจผมมากที่สุดคืออเล็กซ์และเจค็อบที่กำลังเอาอาหารยัดใส่ปากอยู่ น่าประหลาดใจที่อเล็กซ์ก็เป็นคนตะกละเช่นกัน จึงทำให้ทั้ง 2 มีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างกัน
“อย่ากินเยอะไปหล่ะ”
ผมพูดพลางมองดูพวกเขาอย่างสนุกสนาน
“ดูเหมือนท่านจะมีแต่เพื่อนที่มีนิสัยเฉพาะตัวกันนะคะ”
นาเรพูดขณะที่เธอนั่งใกล้ผมโดยที่สายตาของเธอมองไปยังเพื่อนๆ ของผม
“ฉันรู้ พวกเขาอาจมีข้อบกพร่องกันบ้าง แต่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ฉันต้องการ เพราะฉันเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น”
ผมพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อยก่อนจะยกแอลกอฮอล์ในมือ พวกเรากินอาหารกันแบบนี้อยู่สักพัก
ตอนนี้มันมืดไปแล้ว หลังจากการเที่ยวด้วยเมฆของเรา เราก็ได้ทำกิจกรรมที่สนุกสนานและบันเทิงใจอีกหลายอย่าง หลายอย่างทำให้เราหัวเราะ
ผมได้เห็นเพื่อนทุกคนสนุกสนานกันเช่น มาร์คที่จู้จี้จุกจิกของเอ็มม่าถูกบังคับให้แต่งกายด้วยชุดมนุษย์สัตว์กระต่าย ความแตกต่างระหว่างความรู้สึกเซ็กซี่กับใบหน้าไร้อารมณ์ของมาร์คได้สร้างเสียงหัวเราะที่สามารถฆ่าคนได้เลย, เจค็อบที่มีร่างกายที่ใหญ่โตได้เข้าแข่งขันมวยปล้ำกับชายหนุ่มมนุษย์แรด เป็นการต่อสู้ที่เขาได้รับชัยชนะและกลับมาพร้อมกับของรางวัล
เราเดินไปรอบๆ ป่า เพราะผมเห็นสัตว์หลายชนิดที่พบได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น หน้าตาน่ารักไม่คุกคามของพวกมันทำให้สาวๆ ที่อยู่เคียงข้างผมร้องเสียงแหลมออกมาก่อนจะวิ่งไปลูบไล้และนอนเล่นกับพวกมัน
หลังจากนั้นเราก็ขี่สัตว์พิเศษที่มีลักษณะคล้ายนกกระจอกเทศ เนื่องจากเราสนุกกับการมีปฏิสัมพันธ์และการเดินทางเล็กๆ น้อยๆ โดยรวมแล้วมันทั้งรู้สึกสนุกและผ่อนคลาย
“ต่อไปจะเป็นการเต้นรำค่ะ”
นาเรพูดด้วยรอยยิ้มขณะที่เธอปรบมือ ขณะที่เธอโชว์กลุ่มมนุษย์สัตว์ทั้งชายและหญิงที่สวยงามเรียงแถวมาปรากฏตัวก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเต้นรำพร้อมกัน เพลงที่เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นเต็มเต็นท์ในขณะที่การเต้นรำดำเนินต่อไป ผมเองก็นั่งผ่อนคลายในขณะที่ดูการเต้นรำดำเนินต่อไป
การเต้นรำดำเนินไปประมาณ 5 นาทีก่อนจะหยุด ผมและเพื่อนปรบมือเพื่อแสดงความขอบคุณก่อนที่จะดำดิ่งลงไปในอาหารซึ่งใช้เวลาไปประมาณ 5 นาทีก่อนที่จะมีร่างหนึ่งกอดหลังของผมและจูบเบาๆ บนคอของผม
“ฉะ-ฉันทนไม่ไหวแล้วค่ะ”
นาเรกระซิบขณะที่ปากของเธอจูบลงบนคอพร้อมกับเต้านมที่ลูบไล้ไปทั่วหลังของผม ขณะเดียวกันมือของเธอก็เริ่มลูบหน้าอกของผมจากด้านหลัง
“รับฉันไปด้วยค่ะ.…”
เธอพูดขึ้นมาขณะหันหัวผมไปหาตัวเอง ดวงตาของผมสบตากับความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอพร้อมกับปากของเธอที่เริ่มเคลื่อนเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งของเธอขยับลงต่ำขณะที่มืออีกข้างของเธอโบกมีดมาที่คอของผม!
เคร๊งงง!
แต่ก็ไม่เข้าเป้าเลยเพราะโดนระเบิด หันตาไปด้านข้าง เห็นเพื่อนๆ หลับสนิท กลุ่มนักเต้นที่เข้ามาโจมตีแต่ก็ไม่สามารถทำร้ายเพื่อนๆ ได้ เพราะมีเครื่องกั้นล้อมรอบพวกเขาไว้ ร่างกาย หนึ่งแม้แต่นักรบต้นกำเนิดที่ 9 อาจพบว่ายากที่จะทำลาย
“ท่านรู้เหรอคะ?”
เสียงอันเย้ายวนใจของนาเรดังขึ้นมา ขณะที่เธอมองมาที่ผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ร่างกายของเธอสั่นไหวขณะที่เธอยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับมีมนุษย์สัตว์ที่แข็งแกร่งอีกหลายคนอยู่ข้างหลังเธอโดยที่ทุกคนเปล่งออร่าอันทรงพลังออกมา
ผมพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้นมา
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นหนิ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตของฉันซักหน่อย”
ผมยิ้มขณะพูด ตอนนี้เราอยู่กันในเต็นท์ขนาดใหญ่ แต่ถูกแยกออกจากกันเนื่องจากมีศัตรูที่ล้อมรอบผมจากทุกด้าน
ผมยักไหล่แล้วโน้มตัวลงบนเก้าอี้
“มันยากที่จะไม่เอะใจเมื่อไกด์ของฉันมีพลังอยู่ในระดับต้นกำเนิดขั้น 8”
“ท่านยอดเยี่ยมกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก”
นาเรพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“กลุ่มของพวกเธอต้องกล้ามากแน่ๆ ที่กล้ามาหาเรื่องศิษย์ของจักรพรรดินีแห่งธนู”
ผมพูดขณะนั่งอย่างผ่อนคลายมากขึ้น ดวงตาของผมเพ่งไปที่ศัตรูที่ล้อมรอบตัวเองทุกที่ในขณะที่ความคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม
“ให้ฉันเดานะ พวกเธอมีเหยื่อพร้อมที่จะโยนความผิดแล้ว?”
คำถามของผมทำให้รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของนาเรอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าความมั่นใจของท่านมาจากไหน แต่ชีวิตของท่านจะจบลงในคืนนี้ มันจะไม่มีความรู้สึกเจ็บหรอกค่ะ โอเคไหมคะ?~”
นาเรพูดจายั่วยวนพร้อมเลียมือจนผมสั่นหัว
“ช่าย มันจะไม่รู้สึกเจ็บหรอก”
ผมพูดขึ้นมาแล้วจากนั้นก็
‘เอาเลย’
[ สร้างการเชื่อมต่อกับเอเลนอร์ ]
[ เพิ่มระดับพลังโฮสให้เป็นระดับจักรพรรดิชั่วคราว ]
เวลาเดียวกับที่มีข้อความสุดท้ายปรากฏขึ้นมาก็มีการฟันเข้ามาตรงหน้าผม
ออร่าอันทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวผมจนปกคลุมศัตรูทั้งหมดจนทำให้นาเรตัวแข็งทื่ออยู่กับที่เหมือนคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดถูกตรึงไม่ให้ขยับไปไหนได้และสีหน้าอันมั่นใจของเธอก็ลดลงในขณะที่ความกลัวปรากฏขึ้นมาเต็มใบหน้าของเธอ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร
ผมลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นพร้อมกับใช้สายตาจ้องมองคนรอบๆ
“ฉันคิดว่าน่าจะชะลอสงครามลงสักหน่อย”
และเมื่อผมพูดจบ ทุกคนรอบตัวผมก็ระเบิดออกกลายเป็นเพียงหมอกเลือดจนก่อให้เกิดกลิ่นเลือดอันเข้มข้นที่อบอวลไปทั่วบรรยากาศ
‘นี่เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มากแม้แต่กับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ก็ตาม คงทำได้แค่หวังว่าพวกเขาจะไม่แหย่หัวเข้ามาอีก’
สลัดความคิดของตัวเองออกไป ผมก็มองดูเพื่อนๆ ที่กำลังหลับอยู่
‘อย่างน้อยเราก็ได้มอบช่วงเวลาดีๆ ให้กับพวกเขา ต้องทะนุถนอมพวกเขาไว้เพราะสงครามอยู่ไม่ไกลแล้ว’
สายตาของผมจ้องมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าขณะเพลิดเพลินกับค่ำคืนอันเงียบสงบ
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต