The Conquerors Path | เส้นทางผู้พิชิต - ตอนที่ 378 City Of Souls
มุมมองบุคคลที่สาม :
นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติที่เมืองครูร์ศิเบลได้พบกับความสงบและความเงียบ เมืองที่นองเลือดเหือดแห้งไปพร้อมกับดอกไม้สวยงามที่บานสะพรั่ง เปลี่ยนเมืองนี้ให้กลายเป็นดินแดนแห่งความงามอันเงียบสงบ จุดสนใจหลักของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่พระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีสีแดงและเขียวปกคลุมไปทั่วพระราชวัง
ต้นไม้ก่อให้เกิดละอองเกสรเล็กๆ ถูกปล่อยออกมาในเมืองอย่างชัดเจนเพื่อขจัดกลิ่นอันน่าสะพรึงกลัวของเลือดและความตาย ขณะเดียวกันมันก็ช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากเมืองทั้งหมดทำให้บริสุทธิ์และสะอาด ภายในไม่กี่วินาทีเมืองก็เกิดใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่ดีที่สุดของเหตุการณ์นี้คือเสียงเพลงที่ดังไปทั่วทั้งเมือง พร้อมด้วยเสียงร้องเพลงที่กระทบจิตใจในอดีต มันตื้นตันไปด้วยความบริสุทธิ์จากอดีต แต่เนื่องจากการเชื่อมต่อกับเทพีแห่งชีวิตทำให้พลังงานชีวิตที่ทรงพลังเต็มอยู่ในดนตรีและชั่วขณะหนึ่งการรวมกันของสองสิ่งทำให้เกิดปาฏิหาริย์
หมอกรูปร่างคล้ายผีเริ่มปรากฏขึ้นทั่วเมือง เอลฟ์ทุกคนที่ถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณีเนื่องจากความผิดพลาดในอดีตลุกขึ้นจากการหลับใหล ร่างกายของพวกเขาพร่าเลือน ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดถึงอดีต ผู้คนนับล้านได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลปกคลุมทั่วทั้งเมืองไปด้วยหมอกที่รูปร่างคล้ายผี
พวกเขาทั้งหมดเอนเอียงไปกับเสียงเพลง และดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจทุกอย่างในขณะที่โยกไปมา บทเพลงได้ดังเข้ามาในจิตวิญญาณของพวกเขาและมอบความสงบสุขที่พวกเขาต้องการอย่างที่สุด
ดนตรีและทำนองที่เหมาะสมมีพลังในการขับเคลื่อนหัวใจ และด้วยสัมผัสแห่งเวทมนตร์ ก็เลยทำให้มันสามารถขับเคลื่อนวิญญาณได้
ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดทั้งหมดก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน บรรยากาศแห่งความตายจางหายไป สถานที่ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ที่ถูกปิดกั้น แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแห่งความสงบสุขกลับถูกสร้างขึ้นอยู่ด้านบนและก่อให้เกิดแสงระยิบระยับตกลงมาบนพื้น ในขณะที่แม้แต่ดินแดนนอกเมืองก็ให้กำเนิดบรรยากาศของพืชพรรณและชีวิต
ฉากอันน่าทึ่งปกคลุมทั่วทั้งเมือง ภายในชั่วครู่มันก็เปลี่ยนจากเมืองที่เคยนองเลือดที่ล่มสลายให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายอันสงบสุข ฉากที่เปล่งประกายของมันนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก และคนเดียวที่สามารถมองเห็นทุกอย่างก็คือ AI ลูกตา
มันลอยอยู่ข้างบนและจัดการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรมา และนี่ถือเป็นอีกครั้งที่มันได้เห็นปาฏิหาริย์ที่สิ่งมีชีวิตสามารถสร้างได้ บางสิ่งบางอย่างที่มันไม่คิดว่าจะได้เห็นมาตลอดชีวิต
ผู้ที่ยังไม่ถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอย่างออสตินยังคงบรรเลงเพลงต่อไปด้วยความรู้สึกของเขาเพียงอย่างเดียว เสียงสะท้อนระหว่างการกระทำของเขาและพลังแห่งชีวิตทำให้เกิดระลอกคลื่นอันทรงพลังที่ช่วยยืดเวลาที่เขาสามารถใช้การเชื่อมต่อได้
ดังนั้นบทเพลงแห่งความงาม, ความกรุณาและการเกิดใหม่จึงดำเนินต่อไปเป็นเวลาหนึ่งนาทีครึ่งก่อนที่จะหยุดลงเนื่องจากสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก็ทำไปแล้ว
……
มุมมองของออสติน :
มือของผมหยุดเล่นพิณพร้อมกับเสียงดนตรีที่หยุดลง เมื่อผมเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการเล่นมัน ผมมักจะลืมทุกอย่างแล้วขณะที่เล่นมันต่อไปเรื่อยๆ จิตใจของผมนั้นพร่ามัวและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองได้ทำลายบาเรียบางอย่างไปแล้ว และการเชื่อมต่อที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณทำให้ผมเข้าใจว่ามีข้อความหลายข้อความจากระบบที่ได้ยิน
แต่เพื่อไม่ให้รบกวนการบรรเลงของผม เสียงนั้นจึงถูกตัดออกไป
ผมหายใจออกก่อนจะรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองรู้สึกเบาและหนัก มันเป็นการความรู้สึกที่ผิดปกติอย่างมากสำหรับผม
ผมผ่อนคลายกล้ามเนื้อลงพร้อมกับเก็บอาวุธกลับไปก่อนจะลืมตาขึ้นมาเห็นเอลฟ์ผมสีแดงสวยงามหลายคนที่อยู่รายล้อมตัวเอง แต่ต่างจากก่อนหน้านี้ที่พวกเขานั้นไม่มีความบ้าคลั่งอยู่ในแววตา พวกเขานั้นมีสติขณะยืนล้อมรอบผมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อหันกลับไปมองที่บัลลังก์ อัลเบลาร์โดก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างสูงส่งและทรงพลัง แต่เมื่อผมมองไปทางเขา เขากลับลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินลงมาหาผม
ไม่นานอัลเบลาร์โดก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ร่างของเขานั้นมีความสูงมากกว่าผมอย่างน้อยก็ 1 เมตร ผมมองเห็นความภูมิใจที่ฝังลึกอยู่ในดวงตาของเขาได้ แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็โค้งคำนับให้ผมโดยไม่เอ่ยคำใดๆ
เอลฟ์ที่เหลือเองก็ทำตามเขาเช่นกัน ทุกคนที่อยู่รอบๆ ผมต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าและโค้งคำนับให้ผม
“ขอบคุณ…”
การออกเสียงที่สับสนของภาษาในยุคปัจจุบันทำให้สำเนียงของอัลเบลาร์โดแปลกเล็กน้อยและเอลฟ์คนอื่นๆ ก็พูดคำเดียวกันแม้ว่าจะแย่กว่าเขามากตาม แต่ในท้ายที่สุด สิ่งที่พวกเขาพยายามจะสื่อก็คือการขอบคุณผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจคือวิญญาณอื่นๆ ที่ผมรู้สึกได้ว่าอยู่ทั่วทั้งเมือง
เนื่องจากต้นไม้และพืชทั้งหมดทำให้ผมมีประสาทสัมผัสที่สมบูรณ์แผ่กระจายไปทั่วและทำให้ผมรับรู้ถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมสัมผัสได้ถึงวิญญาณทั้งหมดในเมือง ทุกคนต่างก้มศีรษะไปทางพระราชวังตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ พวกเขาทั้งหมดต่างก้มหน้าลงเพื่อขอบคุณผม
“Ghree Figree”
ผมตอบกลับเป็นภาษาของพวกเขาโดยบอกพวกเขาว่าด้วยความยินดี
ถ้อยคำของผมดังก้องไปทั่วเมือง ทุกซอกทุกมุมต่างได้ยินคำพูดของผมและนี่ก็เกินพอแล้วเมื่อท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มเปล่งประกายราวกับดวงดาว
ร่างวิญญาณของเอลฟ์ต่างกะพริบก่อนที่พวกเขาจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ในที่สุดคนที่เหลือก็หายไป
ร่างกายของอัลเบลาร์โดที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมเองก็เริ่มแตกร้าวและกลายเป็นทรายตามไปด้วยเช่นกัน และเมื่อมันถูกชะล้างออกไปก็เหลือเพียงวิญญาณของพวกเขาที่เปล่งประกายมีชีวิตชีวา
“ผมคิดว่าพวกคุณเป็นอมตะซะอีก?”
ผมถามเป็นภาษาของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบมอบให้ผมมา
“เราเป็นเช่นนั้น ตราบใดที่เรายังทุกข์อยู่ แต่ทันทีที่หลุดพ้นจากคำสาป เราก็จะตาย”
อัลเบลาร์โดพูด เขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ด้วยร่างมนุษย์โดยมีรอยแตกร้าวเต็มอยู่ทั่วตัวเขา แม้กำลังจะตาย แต่ผมก็เห็นความเย่อหยิ่งอันไม่อาจจางหายไปที่ส่องประกายอยู่ภายในของเขาได้
ศีรษะของเขาก้มลงมองผมขณะที่เขาพูดภาษาพื้นเมืองของเขา
“ข้าไม่มีอะไรจะให้มากนัก ทุกสิ่งที่เหลืออยู่ที่นี่เป็นของเจ้าแล้ว แม้แต่เมืองของข้าก็ตาม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หัวใจของผมก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น
อัลเบลาร์โดอาจจะไม่คิดอะไรมาก แต่การที่สามารถควบคุมเมืองทั้งเมืองได้นั้นมีความหมายแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงสำหรับผม
“ข้าใช้ชีวิตเหนือทุกสิ่ง ดังนั้นความเย่อหยิ่งของข้าจึงทำให้ประชาชนของข้าพินาศ แต่เจ้ากลับได้มอบความตายที่ข้าปรารถนาให้ ดังนั้นข้าจึงจะมอบทุกสิ่งที่ข้าเหลืออยู่ให้กับเจ้า”
อัลเบลาร์โดพูดด้วยเสียงทุ้มในขณะที่ร่างกายของเขาส่องแสงสีแดงที่เป็นอันตรายทำให้เกิดลวดลายบางอย่างขึ้นมาบนร่างกายของเขา ในไม่ช้าลวดลายทั้งหมดก็หลุดออกมาจากร่างกายของเขาก่อนที่พวกมันจะรวมเข้าด้วยกันเป็นก้อนลูกบอลลอยอยู่เหนือมือของเขา
อัลเบลาร์โดโบกมือเพื่อส่งลูกบอลนั้นให้เข้ามาลึกเข้าไปในตัวผม
ลูกบอลแยกออกเป็นลวดลวยเดิมกับก่อนหน้านี้และไหลไปปลุกคลุมทั่วร่างกายของผม
หลังจากนั้นมันก็ส่องแสงเป็นสีแดงเข้มปรากฏบนตัวผมและจางหายไปในไม่ช้า
อัลเบลาร์โดพยักหน้าเมื่อเห็นว่าร่างกายของผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
“ข้าได้ให้ทุกอย่างกับเจ้าไปแล้ว ข้ารู้ว่ามันมากไปสำหรับข้าที่จะขอ แต่โปรดดูแลนางด้วย นางจะเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าในอนาคต เพราะนางคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของอัลเบลาร์โดก่อนที่ร่างกายของเขาจะกลายเป็นทรายเช่นกัน
บัดนี้วิญญาณที่เหลือก็จากไปแล้ว ทำให้ผมจ้องมองวิญญาณของอัลเบลาร์โดเป็นครั้งสุดท้ายที่ขณะที่เขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
เนื่องจากต้นไม้ที่อยู่รอบตัวผมนั้นทำให้ผมมีพรสวรรค์ในการมองเห็นอันลึกลับ
วิญญาณจากทุกที่ในเมืองต่างลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกคนต่างลอยเข้าสู่พายุทอร์นาโดแห่งชีวิตหลังความตายทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนไปราวกับกาแล็กซี่ โดยมีรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของดวงวิญญาณและเมืองแห่งชีวิตที่ลึกลับ
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีขณะที่ผมยืนอยู่ตรงนั้นและรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต