The Devil's Cage - ตอนที่ 202
คุก
เมื่อแสงสว่างแสบตาจางหายไป กลิ่นเหม็นเน่าก็ตีใส่จมูกจีหรานอย่างโหดร้าย
ความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาจากหน้าอกของเขาในทันที เขาขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
จีหรานเอียงคอมองลงไปและเห็นหน้าอกของตัวเองเต็มไปด้วยรอยแผลพาดพันไปมา เลือดไหลซึมไม่หยุด เขาไม่ต้องมองแผ่นหลังตัวเองก็รู้ว่ามันคงจะอยู่ในสภาพเดียวกัน
เลือดเปรอะไปทั่วทั้งตัว และมันก็เจ็บแสบขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวินาที
[คุณถูกเฆี่ยนและทรมาน HP ของคุณลดลงเหลือ 220 แต้ม]
[สถานะบาดเจ็บปานกลาง…]
“งั้นนี่ก็คือการลงโทษที่ระบบพูดถึง?” จีหรานพึมพำรอดไรฟัน
ตอนที่เขาอ่านคำอธิบายพื้นฐานของดันเจี้ยน เขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่แล้วเชียว แต่ว่า สถานการณ์ตรงหน้าเขานั้นเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
ถ้าเขา ผู้สมรู้ร่วมคิด ยังถูกทรมานและถูกเฆี่ยน อย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับอู๋ฝ่าอู๋เทียนและฮานส์?
ในฐานะผู้เล่นที่มีประสบการณ์ที่สุด อู๋ฝ่าอู๋เทียนย่อมย่ำแย่ที่สุด ตามกฎของดันเจี้ยนพิเศษ ความยากของดันเจี้ยนนั้นเป็นตัวกำหนดภารกิจหลักด้วย
ฮานส์นั้นเป็นคนวางแผนเบื้องหลังการลักขโมยครั้งนี้ ดังนั้น เขาน่าจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงทีเดียว
จีหรานนึกถึงกล่องสนทนาแบบกลุ่มขึ้นมาตามสัญชาตญาณและพยายามส่งข้อความออกไป
[สภาพแวดล้อมแบบพิเศษ การสื่อสารถูกจำกัด!]
“บ้าชะมัด! จีหรานถอนหายใจอย่างจนปัญญา
พวกเขาสามคนนั้นคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าการสนทนาของพวกเขาน่าจะถูกตัด
โชคดี พวกเขาเตรียมตัวเรื่องนี้ไว้แล้ว
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าพวกเขาจะไม่ใช่อย่างที่คิด มันก็ยังอยู่ในการคาดคะเน
จีหรานเริ่มตรวจสอบรอบ ๆ ตัว
ห้องขังของเขานั้นไม่ใหญ่ไปกว่าสามตารางเมตร และก็มีกล่องดำ ๆ เปียก ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า
ที่นี่สร้างขึ้นจากหินแข็ง และทุกมุมล้วนมีตะไคร่ขึ้นหนา
ประตูห้องขังนั้นเป็นประตูไม้บานใหญ่ และประกบด้วยแท่งเหล็กเรียงเป็นแถวและยังลวดนำไฟฟ้า ถึงแม้ว่าส่วนที่เป็นโลหะจะมีสนิมกรัง แต่โครงสร้างโดยรวมก็ยังแข็งแรงทนทานอยู่มาก
ที่ขอบด้านล่างของประตูมีหน้าต่างเล็ก ๆ ที่ถูกปิดแน่น มันทำให้จีหรานนึกถึงคุกที่อัลคาทราซ
ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ที่ไหน หรือว่าจักรวาลไหน ๆ ก็ยังมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน จีหรานคิดอยู่เงียบ ๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะไปที่ประตูคุก
เสียงหนัก ๆ ยืนยันว่ามันแข็งแรงกว่าที่เห็น เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น
ความกังวลหลักของเขาคือกุญแจมือบนข้อมือและข้อเท้าของเขาที่มีลูกเหล็กลูกใหญ่ห้อยติดปลายโซ่อยู่
เหล็กนั้นทึบ จีหรานพยายามยกลูกเหล็ก แต่ว่ามันหนักอย่างน้อยก็ห้าสิบกิโลกรัม
“คนทั่วไปคงไม่สามารถโยกลูกเหล็กนี่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะแหกคุกนี่ออกไปเลย” จีหรานคิด
ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแรงกว่าคนทั่วไป ลูกเหล็กนี่ก็ยังเป็นภาระสำหรับเขาและทำให้เขาต้องเจอกับปัญหาที่ไม่อยากเจอตอนที่แหกคุกออกไปแน่ ๆ
ลูกเหล็กนี่เป็นอุปสรรคแรกที่เขาต้องผ่านไปให้ได้
เขามองกุญแจมือบนแขนขาอย่างละเอียด
จากนั้นก็เขาก็อ้าปากแล้วล้วงนิ้วลงไป เอื้อมไปหาเส้นผมเส้นหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ที่ด้านหลังฟัน มันคือ [กุญแจกล]
ถึงคำอธิบายดันเจี้ยนบอกว่าอุปกรณ์ของเขามีความเสี่ยงที่จะถูกยึดและเขาต้องเลือกอุปกรณ์ที่จะเอาเข้ามาอย่างระมัดระวัง แต่นั่นก็คือคำเตือน
ความจริงก็คือไม่มีอะไรจะถูกยึดไปได้หากซ่อนจากสายตาศัตรูให้ดี
[กุญแจกล] ที่แอบซ่อนเอาไว้ได้ง่ายที่สุดนั้นเป็นตัวอย่าง มันเป็นเหมือนลวดที่เหมือนเส้นผมบนตัวเขา
เพื่อให้แผนการของเขาลวงผ่านมาได้ จีหรานพยายามซ่อนมันเอาไว้เป็นอย่างดีที่สุด เขาผูกมันไว้กับฟันซี่หนึ่งแล้วกลืนส่วนที่เหลือลงไป
เมื่อมีลิ้นบังอยู่ ก็ไม่มีใครมองเห็นเส้นบาง ๆ นั่นได้ นอกเสียจากว่าจีหรานจะถูกเปิดปากออกแล้วมีคนส่องไฟเข้าไป
ถ้าจีหรานยังมีกุญแจนี้อยู่ การค้นตัวของเรือนจำในอาณาเขตของมอร์โกก็คงไม่ได้ทำอย่างละเอียด
จีหรานดึงปลายด้านหนึ่งและดึงส่วนที่เหลือออกจากกระเพาะอาหารเขาช้า ๆ
มันแย่มาก ตอนที่เส้นลวดของกุญแจกลโดนลิ้นไก่ของเขา อาการขย้อนที่ควบคุมไม่ได้ก็ทำให้กระเพาะอาหารของเขาหดเกร็งอย่างรุนแรง
ตอนที่จีหรานดึง [กุญแจกล] ออกมาได้จนหมด น้ำลายของเขาก็หยดนองทั่วพื้นและเขาก็อาเจียนออกมาอย่างทนไม่ไหว
เขางอตัวลงไปโดยไม่รู้ตัวตอนที่กระเพาะอาหารบิดมวน การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลกระทบต่อบาดแผลที่หน้าอกและแผ่นหลังของเขา
ความรู้สึกร้อนลวกทำให้จีหรานต้องกัดฟันอย่างแรงขณะที่ยังโก่งคออาเจียนอยู่
เขารีบบังคับให้ตัวเองสงบลงโดยเร็วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาทางห้องขังของเขา
“ผู้คุมเรือนจำ!” จีหรานเดาว่าเสียงฝีเท้าน่าจะเป็นของใคร
เขาให้ความสนใจกับเสียงฝีเท้าที่เดินจากซ้ายมาขวาด้วยความเร็วปานกลาง
หลังจากประมาณสองนาที ในที่สุดเสียงพวกนั้นก็เบาลงและในที่สุดก็เงียบหายไป
ห้านาทีผ่านไป เสียงฝีเท้าก็กลับมาจากทางด้านซ้าย ตอนที่เสียงมาถึงห้องขังของจีหราน เสียงก็หยุดลง
หน้าต่างเล็ก ๆ ที่บนประตูถูกเปิดออกครึ่ง ๆ และใบหน้าครึ่งหนึ่งของผุ้คุมก็มองเห็นได้ผ่านช่องเล็ก ๆ นั่น
ต้องขอบคุณคบไฟในมือของผู้คุม จีหรานมองเห็นใบหน้าน่าอันหยาบช้าและเหี้ยมโหด และยังแววดูถูกในดวงตาของเขา
“พวกแกกล้าขโมยของในห้องสมบัติของแกรนด์ดยุกมอร์โก้? พวกแกอยากตายหรือไง? สบายใจได้ ฉันจะดูแลพวกแกเป็นอย่างดีระหว่างอยู่ที่นี่ อ้อ ใช่ และเพื่อนทั้งสองคนของแกก็ด้วย! นี่เป็นคำสั่งของพัศดี!” ผู้คุมลากนิ้วผ่านลำคอของตัวเองขณะพูด
ก่อนที่จีหรานจะทันได้พูดอะไรสักคำ หน้าต่างเล็ก ๆ นั่นก็ปิดลงอีกครั้ง
เขาไม่สนใจคำขู่ของผู้คุมด้วยซ้ำ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับฝีเท้าของผู้คุมและความหมายของพวกมัน
“จากความสูงของหน้าต่าง ผู้คุมน่าจะสูงอย่างน้อยหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร และทุกก้าวของเขาก็จะได้ระยะราว ๆ เจ็ดสิบเซนติเมตร เขาใช้เวลาสองนาทีในการเดินจากซ้ายไปขวา และหลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งร้อยก้าว เขาก็เดินลงไป มันใช้เวลาประมาณห้านาทีก่อนที่เขาจะกลับมา ถ้าฉันบวกเวลาที่เขาใช้ในการปีนบันไดไปด้วย… อย่างนั้นคุกนี่ก็เป็นอาคารสองชั้น และทุกชั้นก็สูงราว ๆ เจ็ดเมตร จากความกว้างของห้องขังและการรักษาความปลอดภัย รวมกับความหนาของกำแพง ถ้านี่เป็นพื้นที่ห้องขังเดี่ยว ด้านนี้มันก็จะมีห้องขังราว ๆ สิบห้าหรือสิบแปดห้อง!”
“ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงรัฐในปกครองของดยุก ก็น่าจะมีพลเมืองราว ๆ หนึ่งแสน ดังนั้นคุกย่อมไม่เล็กเพียงนี้ ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่คุมขังส่วนตัวของแกรนด์ดยุก มันคงไม่ได้อยู่นอกปราสาท ดังนั้นมันต้องอยู่ใต้ดิน! นั่นอธิบายถึงความหนาวเย็นและความชื้นนี่ด้วย!”
การคำนวณรวดเร็วดั่งสายฟ้าของจีหรานนั้นต้องขอบคุณข้อมูลที่เขาได้รับจาก [ตามรอย] ของเขา
ขณะที่ฟันเฟืองในใจของเขาหมุนไปเรื่อย ๆ มือของเขาก็ไม่ได้ละจาก [กุญแจกล]
ปลายด้านหนึ่งนั้นอยู่ในล็อกแล้วและจีหรานก็กำลังสะเดาะกุญแจมือของตัวเองอยู่
กุญแจมือโลหะบนแขนขาของเขานั้นไขออกได้ง่ายมาก แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ด้านนอกอีกครั้ง
เสียงดูวุ่นวายและยังมีมากกว่าแค่หนึ่งคน มันย่อมไม่ใช่ผู้คุมคนก่อนหน้านี้