The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1000 - สามอุปสรรคในยี่สิบเจ็ดวัน
ซือหยูดีใจเขามองผู้เฒ่าที่ถูกควบคุมตัวกลับมาและถามด้วยความลังเล
“ท่านอาจารย์จะจัดการเขายังไงรึ?เรื่องพัฒนาการในวิถีเทพขั้นแปลงฟ้าของข้าไม่ควรมีใครได้รับรู้ หากข่าวเล็ดรอดออกไปจะเป็นปัญหาใหญ่”
หยุนย่าสีหัวเราะ
“มันจะยากอะไรกันเล่า?”
หยุนย่าสีหันไปมองผู้เฒ่าผู้เฒ่าลืมตาตื่นขึ้น เมื่อลืมตาเขาก็ตกใจ
“เอ๋เกิดอะไรขึ้นกบัข้ากัน?”
เมื่อเขาเห็นซือหยูยืนอยู่ตรงหน้าก็ตกใจมาก
“อาจารย์ซือท่านออกมาเมื่อไหร่? เห็นว่าข้าสลบไปหรือไม่?”
ซือหยูตกใจเขาเหลือบมองหยุนย่าสีข้าง ๆ ผู้เฒ่าคนนี้ลืมความทรงจำทั้งหมดไปแล้วอีกทั้งยังมองหยุนย่าสีไมเห็นด้วย
“ความทรงจำของเขาถูกลบไปแล้วส่วนเรื่องตัวข้า หากข้าไม่ปล่อยให้เห็นก็จะไม่มีใครได้เห็น”
หยุนย่าสีกล่าว
ในอดีตหยุนย่าสีมักจะปลีกตัวอยู่เสมอเมื่อมีคนเข้ามาใกล้เพื่อไม่ให้ถูกเจอตัว แต่จากที่เขาพูดตอนนี้ แม้แต่ม่อเทียนฉวนก็อาจจะมองเห็นเขาไม่ได้หากนางอยู่ที่นี่ ซือหยูไม่พบหยุนย่าสีมานาน และหยุนย่าสีก็แข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
“ลบความทรงจำรึ?”
ซือหยูตกตะลึงจากความรู้ที่เขามี ความทรงจำคือส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณ การลบความทรงจำไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างการควบคุมคน มันคือกฎของวิญญาณ คงมีเพียงเซียนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้
“วิชาเล็กน้อยแค่นี้มิควรค่าแก่การพูดถึงพอเจ้าบ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาจนสมบูรณ์แบบ เจ้าจะทำได้ง่าย ๆ เหมือนข้า”
หยุนย่าสีดูจะไม่สนใจเลย
ซือหยูพยักหน้าและหันไปหาผู้เฒ่า
“ท่านผู้อาวุโสข้าบ่มเพาะมามากพอแล้ว ข้ากำลังจะกลับไปบ่มเพาะพลังเพื่อทำความเข้าใจมันมากกว่านี้ ขอบคุณท่านที่คอยดูแล”
ผู้เฒ่าส่ายหน้าและยิ้มในทันที
“เจ้าอย่าพูดถึงเลย”
จากนั้นเขาก็ทำหน้าแปลกประหลาดเขามองรอบ ๆ และลดเสียงลง
“อาจารย์ซือท่านช่วยเก็บความลับเรื่องที่ข้าเผลอหลับได้หรือไม่? ข้าย่อมไม่ทิ้งหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไ…”
ซือหยูหัวเราะ
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าคิดว่าท่านใช้พลังมามากพอแล้ว ข้าจะทนเห็นท่านถูกลงโทษได้หรือ?”
ถ้าหากสำนักรู้ว่าเขาเผลอหลับอย่างไม่มีเหตุผลในเวลาสำคัญเขาคงจะต้องถูกสืบสวนและลงโทษอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งเขาและซือหยูไม่อยากเจอ
ผู้เฒ่าซึ้งใจ
“ขอบคุณที่อาจารย์ซือเข้าใจข้าข้าขอบคุณท่านมาก หากมีเรื่องลำบากในอนาคตให้มาถามหาข้าได้เลย”
“เป็นเกียรตินักท่านผู้เฒ่า”
ซือหยูประสานหมัดและหันหลังกลับเขากลับไปยังที่พักของตนในยอดเขาที่สาม ตลอดทาง เขาได้ยินข่าวลือท่ามกลางหมู่คนถึงเรื่องการ ‘กลายเป็นบ้า’ ของม่อเทียนฉวน และเมื่อเขาได้ยินว่านางกำลังรับการ ‘รักษา’ อยู่ที่ยอดเขาที่เก้า ซือหยูก็สบายใจขึ้นมาก
ซือหยูปิดประตูเมื่อเข้าสู่เรือนเขาปฏิเสธแขกทุกคนที่ขอพบ
“เจ้าคิดอ่านวางแผนอย่างไรกับการเป็นจ้าวเทวะ?”
หยุนย่าสีถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซือหยูคิดครู่เดียวก่อนตอบ
“หากให้ข้าพูดตามตรงข้าตั้งใจจะเป็นภูติระดับเก้าอยู่ต่อไป วิญญาณข้าอยู่ในระดับจ้าวเทวะระดับหนึ่งแล้ว ในเรื่องพลัง ข้าได้ใบไม้ที่มีพลังเซียนหนึ่งในสิบมา มันมากพอที่จะทำให้ข้าเป็นจ้าวเทวะ ข้ามั่นใจในสองเรื่องนี้ แต่ยังมีอีกเรื่องที่ข้าไม่แน่ใจนัก”
หยุนย่าสีถาม
“เรื่องอุปสรรคสินะ?”
ซือหยูพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ใช่แล้วท่านอาจารย์!”
อุปสรรคในการทะลวงพลังของเขาแตกต่างจากคนทั่วไปตอนที่เขาผ่านอุปสรรคมาเป็นภูติ เวลานั้นได้เกิดวิบัติอัคคีที่มักจะมาถึงเมื่อเป็นจ้าวเทวะเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเรื่องวิบัติอัคคีจะมีองครักษ์แสงกระจ่างมาเกี่ยวข้องวิบัติอัคคีก็เกิดขึ้นอยู่ดี การเข้ามาแทรกขององครักษ์แสงกระจ่างเพียงทำให้วิบัติอัคคีทรงพลังขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้อุปสรรคที่เขาจะต้องเจอควรจะยิ่งใหญ่กว่าเมื่อจะต้องเป็นจ้าวเทวะ
ถ้าหากเขาเป็นคนทั่วไปก็คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เขาจะเตรียมตัวหาสมบัติที่ใช้งานได้และตามหาความคุ้มครองจากอสูรเนรมิตร แต่ชะตาของซือหยูนั้นยากจะคาดเดา โดยเฉพาะเมื่อเขามีฎีกาสวรรค์ในระดับนี้ เขามีความเข้าใจเรื่องโลกที่มากกว่าคนทั่วไป
สัญชาตญาณบอกเขาว่าเขาจะประมาทอุปสรรคในครั้งนี้ไม่ได้
หยุนย่าสีพยักหน้าช้าๆ
“หากเจ้าระวังตัวอยู่แล้วข้าก็สบายใจได้แต่ก็อย่างเคย ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยหากไม่จำเป็น แต่ข้าจะสอนวิธีการจัดการกับอุปสรรคเหล่านั้น”
ในอดีตหยุนย่าสีคงจะพูดว่าเขาจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยต่อให้ร่างกายและวิญญาณของซือหยูจะสูญสลายไป แต่ครั้งนี้น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาพูดอย่างชัดเจนว่าเขาจะช่วยหากจำเป็น เหตุผลหนึ่งที่เขาเปลี่ยนใจคือสิ่งที่ซือหยูต้องเจอนั้นอาจอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ และจะถึงเวลาที่เขาต้องลงมือ เหตุที่สองก็คือซือหยูที่เดินทางมาไกลจนถึงวันนี้ได้แสดงพรสวรรค์มากมายจนน่าตื่นตา หยุนย่าสีไม่คิดจะเสียเขาไป
“คงดีกว่าหากจะสอนวิธีตกปลาให้แทนที่จะยื่นปลาให้ข้าน้อมรับฟังท่านอาจารย์”
ซือหยูตอบ
หยุนย่าสีกล่าวชม
“ดีมากถึงพรสวรรค์เจ้าจะล้ำค่า สิ่งที่ข้ายอมรับที่สุดก็คือตัวตนของเจ้า อุปสรรคที่เจ้าต้องเจอในการเป็นจ้าวเทวะประกอบด้วยสามประการ”
สามอุปสรรครึ?ซือหยูใจเต้นแรง
ในอดีตอุปสรรคสองอย่างก็แทบจะเอาชีวิตเขาไปแล้ว สามอุปสรรคจะไม่ยิ่งอันตรายหรือ?
“ท่านอาจารย์ข้าต้องเจอกับสิ่งใดบ้างหรือ?” ซือหยูถาม
หยุนย่าสีตอบอย่างรวดเร็ว
“ประการแรกคืออุปสรรคแห่งโชคชะตาประการที่สองคืออุปสรรคของผู้คน และอุปสรรคที่สามคือความสัมพันธ์ หากล้มเหลวมาสักหนึ่งประการจะนำพาเจ้าไปสู่ความตาย”
ซือหยูเข้าใจในเรื่องโชคชะตาแต่อะไรคือเรื่องผู้คนและความสัมพันธ์เล่า?
“ข้าคงไม่ต้องอธิบายเรื่องโชคชะตาการทำลายล้างจะตกลงมาสู่เจ้าในรูปของภัยธรรมชาติ ส่วนเรื่องผู้คนคือวิบัติที่จะเกิดจากความปองร้ายและความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับคนอื่น ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ย่อมคือสิ่งที่เจ้าได้พบเจอในความสัมพันธ์ของเจ้า”
วิบัติที่เกิดจากความมุ่งร้ายและความขัดแย้งระหว่างข้ากับคนอื่นหรือ?เกี่ยวกับกู้ไทซูหรือไม่?
แล้วเรื่องความสัมพันธ์คืออะไรกัน?มันเกี่ยวกับใคร? ปิงหวูชิงหรือกงซุนหวูซื่อรึ? “ท่านอาจารย์อุปสรรคทั้งสามจะมาพร้อมกันไหม?”
ซือหยูถาม
หยุนย่าสีส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่แต่ละอุปสรรคจะกินเวลาเก้าวัน เก้าจะต้องก้าวข้ามผ่านสามอุปสรรคในเวลายี่สิบเจ็ดวัน แล้วเจ้าจะได้ร่างกายสุดยอดมาครอง”
“เจ้าจะได้ประโยชน์มากกว่าคนอื่นที่ได้เป็นจ้าวเทวะและดีกว่านั้น เจ้าอาจจะได้เป็นจ้าวเทวะระดับเก้าในคราเดียว”
ซือหยูสูดหายใจเข้าลึกทันควัน
“จากภูติระดับเก้าเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าเลยหรือ?”
“ถูกแล้วคนธรรมดาย่อมผ่านอุปสรรคเดียวในการเป็นจ้าวเทวะ ส่วนเจ้าที่ฎีกาสวรรค์มีจิตวิญญาณเต็มไปด้วยการต่อต้านมนุษย์ ต่อต้านโชคชะตา และต่อต้านฟ้าดิน เจ้าต้องเจออุปสรรคทั้งสาม! เจ้าจะก้าวกระโดดกว่าใคร เป็นการทะลวงพลังจ้าวเทวะที่เหนือกว่าคนอื่นสามเท่า”
“จากที่ข้ารู้ภาพเขียนเทพด้านหลังเจ้าได้กลายเป็นจ้าวเทวะระดับแปดในคราเดียวตอนที่เป็นจ้าวเทวะ หากเทพนั่นทำได้ เจ้าก็ควรจะทำได้ด้วย”
หยุนย่าสีอธิบายเขาดูเหมือนจะรู้จักเทพในภาพเขียนด้านหลังซือหยู
แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเขาจะกลายเป็นเถ้าถ่านหากล้มเหลว แต่ถ้าเขาทำสำเร็จ เขาจะพุ่งทะยานไปถึงสวรรค์ในคราเดียว! เขากำลังจะพบเจอกับการทะลวงพลังอันโลดโผนเป็นครั้งแรกในชีวิต! novel-lucky
“ท่านอาจารย์โปรดช่วยสอนข้าด้วยเถอะ!”
ซือหยูดีใจมาก
หยุนย่าสีหัวเราะ
“อย่ารีบร้อนไปฟังสิ่งที่ข้าจะบอกช้า ๆ จากที่ข้าคำนวน เจ้าไม่มีปัญหาในการรับมือกับโชคชะตาด้วยตัวคนเดียว แต่เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้คน ข้าคิดอ่านได้ไม่แม่นยำนัก ข้าจะเตือนเจ้าเพียงคำเดียว…นั่นคือเฟิง!”
เฟิงรึ?‘เฟิง’ ที่หมายความว่าวิหคเพลิงหรือ? ซือหยูจดจำมันเอาไว้ เขาจะต้องจับตามองทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘เฟิง’ ในตอนที่ผ่านอุปสรรคแห่งผู้คน
“ส่วนเรื่องความสัมพันธ์…”
แววตาหยุนย่าสีดูเป็นกังวล
“สิ่งนี้คืออุปสรรคที่ข้าเป็นห่วงที่สุดตั้งแต่ครั้งโบราณมาแล้ว อุปสรรคสามอันดักแรกที่ยากที่สุดก็คือเรื่องความสัมพันธ์ หากมันเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสและมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิด ข้าคิดไม่ออกเลย เจ้าต้องคว้าโอกาสเอง ข้าได้แต่บอกว่าเจ้าต้องทำตามหัวใจตัวเอง”
ทำตามหัวใจตัวเองหรือ?หมายความว่ายังไงกัน? ซือหยูสับสน
อุปสรรคในความสัมพันธ์จะทำให้ซือหยูต้องตกอยู่ในอันตรายที่จินตนาการไม่ได้หรือ?ใครกันที่จะปล่อยพลังนั้นมาสู่เขา?
“เมื่ออุปสรรคทั้งสามมาถึงการหนีย่อมไร้ประโยชน์ เจ้าต้องเตรียมใจอย่างอดทน ข้าจะชี้แนะเจ้าในหลายเรื่องก่อนที่เจ้าจะมุ่งหน้าไปที่แดนมณี”
หยุนย่าสีปลอบใจเขา
ซือหยูยิ้ม
“ซือหยูผู้นี้ผ่านพ้นคลื่นมรสุมยิ่งใหญ่มานับไม่ถ้วนข้าถึงกับหยุดยั้งการทำลายโลก อุปสรรคสามในเก้าอย่างจะขวางทางข้าได้หรือ?”
วิชาเทพในโซ่ยังคงอยู่ในความทรงจำของซือหยู
หยุนย่าสีดูจะสัมผัสได้เขาตาเป็นประกายและกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“อุปสรรคคือหนึ่งในสิ่งกีดขวางเช่นกันวิถีเทพของเจ้ากลับกลายเป็นการต่อต้าน จู่ ๆ ข้าก็เริ่มมั่นใจว่าเจ้าจะผ่านมันไปได้” ซือหยูยิ้มในแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ก่อนเจ้าจะได้ไปแดนมณีข้าจะชี้แนะการบ่มเพาะให้เจ้า”
หยุนย่าสีกล่าว
เขายกมือชี้ไปที่กล่องหยกในแขนซือหยูและดึงมันเข้าหาตัว
“ข้าคงไม่ต้องบอกว่ามีอะไรอยู่ในนี้ใช่ไหม?”
ซือหยูใบหน้าเคร่งเครียดสิ่งนี้คือสิ่งที่เขาได้มาจากก้นบึ้งอู๋ตงที่เฉินหลง มันคือสมบัติของจ้าวฝ่ามือกังอูที่เคยเป็นหนึ่งในห้าองครักษ์แสงกระจ่างของเฉินอี้เชิง ราชาเขตกลางคนก่อน
หลังจากเฉินอี้เจิงถึงแก่ความตายหนึ่งในกล่องหยกนั้นได้มาถึงซือหยู
กล่องหยกนี้ถูกเฉินอี้เจิงพบเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่มันคืออุกกาบาตที่ตกมาจากต่างโลก เมื่อเปิดมันจะสามารถอัญเชิญอสูรต่างโลกมาได้
ราชาเขตกลางเคยใช้กล่องหยกนี้กับเฉินอี้เจิงที่ต้องต่อสู้อยู่กับจักรพรรดิภูติผี
หลังจากนั้นกล่องหยกได้ตกมาอยู่ในมือซือหยูโดยบังเอิญ และตอนนี้หยุนย่าสีก็กำลังเตรียมจะเปิดกล่อง
“ท่านอาจารย์จะปล่อยให้ข้าใช้อสูรในกล่องหยกนี้เพื่อบ่มเพาะวิชาอสูรหรือ?”
วิชาเก้ามังกรอสูรของซือหยูนั้นพัฒนามาถึงมังกรตัวที่นี่และมันก็ค้างคาอยู่ที่ระดับนี้เพราะขาดพลังอสูร
หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ
“ข้าไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในกล่องหยกอีกต่อไปแล้วนี่คือสิ่งเหมาะสมที่สุดที่เจ้าจะได้ใช้บ่มเพาะ”
“ท่านอาจารย์หากเปิดกล่องนี้ออก อสูรต่างโลกจะถูกปลดปล่อยออกมาแล้วควบคุมมันไม่ได้ล่ะ?”
ซือหยูถามเพราะเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะมีพลังกำราบอสูรดุร้ายหรือไม่
หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ
“เจ้าไม่ต้องกลัวข้าอยู่ในกล่องนั้นมาหลายปี ข้าผนึกอสูรนั่นไปแล้ว ที่เหลือก็มีแค่พลังอสูรบริสุทธิ์เท่านั้น”
ผนึกไปแล้วรึ?ซือหยูคิดถึงตอนที่เทพปีศาจได้ฟื้นตัวจากการดูดกลืนวิญญาณจ้าวเทวะ หรือว่าหยุนย่าสีจะใช้พลังอสูรด้านในกล่องเพื่อฟื้นฟูพลังของตัวเอง? นี่คือคำอธิบายเดียว
“ขอบคุณท่านอาจารย์!”
ซือหยูดีใจมากเมื่อกไ่อน แค่เส้นขนอสูรเส้นเดียวก็ทำให้ซือหยูสร้างมังกรได้สามตัวแล้ว
และตอนนี้เขามีพลังอสูรทั้งตัวอยู่ในมือเขาจะสร้างมังกรได้อีกกี่ตัวกัน?
พลังของมังกรอสูรจะแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนมังกรอสูรที่เพิ่มขึ้นและพลังของมันจะยิ่งไร้ขอบเขตหากพัฒนาจนถึงจุดสูงสุด ถ้าเรียกมังกรทั้งเก้าตัวออกมาได้ซือหยูก็มั่นใจว่าเขาจะต่อสู้เผชิญหน้ากับอสูรเนรมิตรได้
“เจ้าเก็บพลังอสูรเอาไว้ไม่สายเกินไปถ้าจนบ่มเพาะ”
หยุนย่าสีพูดจากนั้นเขาจึงมองไปที่หน้าผากของซือหยูและปล่อยลำแสงเข้าไป
“นี่คือโอรสสวรรค์จ้องนภาระดับสามขอบเขตวิญญาณมายา!”