The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1003 - ผจญภัยในแดนมหัศจรรย
ณดินแดนพรสวรรค์ บุรุษเมฆาม่วงและผู้นำสำนักทั้งสิบเจ็ดยืนอยู่ที่กลางยอดเขาที่เก้า
“เจ้าตำหนักม่อท่านรู้สึกเช่นใดบ้าง?”
บุรุษเมฆาม่วงถาม
สตรีงดงามผู้เย็นชาสวมชุดดำนั่งสมาธิอยู่ที่กลางเสาหยินหยางนางถูกล้อมรอบด้วยพลังวิญญาณอันเยือกเย็นและโดดเดี่ยว นางลืมตาสดใสช้า ๆ
“ข้า!ไม่! เป็น! ไร!”
มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่านางกัดฟันพูด!
ใครก็ตามที่ถูกจู่โจมเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้าและถูกบังคับให้มาพักฟื้นสามวันย่อมไม่ใจเย็นอยู่ได้
บุรุษเมฆาม่วงแอบถอนหายใจดูเหมือนว่าม่อเทียนฉวนจะยังไม่คืนสติกลับมาแม้กระทั่งตอนนี้ เขากังวลว่าม่อเทียนฉวนจะเสียสติอีกครั้งและจู่โจมเหล่าศิษย์ แต่แดนมณีก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขากักตัวม่อเทียนฉวนไม่ได้อีกต่อไป
“ในอดีตสะพานฟ้าไปแดนมณีจะยื่นมาถึงกลางทวีปเรา เจ้าตำหนักม่อโปรดรีบเรียกรวมตัวศิษย์ให้พวกเราได้รอการเรียกไปแดนมณีด้วย”
ม่อเทียนฉวนพยักหน้าเบาๆ
เสียงระฆังดังสะท้อนทั่วยอดเขาทั้งสิบเหล่ายอดฝีมือที่พักอยู่ในยอดเขาที่สามก้าวออกมาจากเรือนและมองไปที่ยอดเขาแรก
ด้านในห้องลับซือหยูหลับตาสนิท มังกรอสูรหกตัวบินวนรอบกายเต็มทั้งห้องลับ พลังอสูรแพร่กระจายอยู่เต็มไปหมด พลังนี้บริสุทธิ์อย่างมากและต่างจากพลังอสูรทั่วไปอย่างสิ้นเชิง พลังของมังกรอสูรนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
หยุนย่าสีนั่งข้างซือหยูเงียบๆ และพยักหน้า “วิชาบ่มเพาะของเจ้านับว่าดีพลังบนโลกถูกกักเก็บเอาไว้ ความสูญเสียย่อมตามมาด้วยสิ่งที่เจ้าจะได้รับ วิชานี้ใช้ร่างกายเป็นคุกขังพลังอสูรไว้ภายใน คุกนี้ให้พลังอสูรเข้ามาและไม่ให้ออกไปไหนได้”
“ด้วยการเพิ่มจำนวนของมังกรอสูรทุกตัวพลังของเจ้าจะเพิ่มขึ้นไปอีก ยิ่งก้าวหน้าเท่าใดก็ยิ่งแข็งแกร่ง”
หยุนย่าสีกล่าว
การสร้างมังกรตัวที่สี่นั้นใช้เวลาครึ่งเดือนเพราะยิ่งก้าวหน้าเท่าใดก็ยิ่งยากที่จะสร้างมังกรอสูรขึ้นมาคงจะใช้เวลาเกินเดือนกว่าที่เขาจะสร้างมังกรตัวที่ห้าขึ้นมาได้ แต่ด้วยการชี้แนะของหยุนย่าสี ซือหยูนั้นลัดขั้นตอนปลดขีดจำกัดและใช้เวลาอันสั้นสร้างมันได้ในวันเดียว
มังกรตัวที่หกที่ควรจะใช้เวลามากกว่าสองเดือนในการก่อตัวนั้นก่อตัวสำเร็จในเวลาแค่สองวันความเร็วสูงเช่นนี้ทำให้ซือหยูรู้สึกทึ่ง คำชี้แนะธรรมดาๆ ของหยุนย่าสีนั้นคือการแนะให้เลี่ยงความมักง่ายของผู้เขียนวิชานั่นเอง ทำให้การบ่มเพาะเป็นไปอย่างง่ายดาย
ในสายตาของคนอย่างหยุนย่าสีสิ่งที่เรียกว่าวิชาระดับตำนานชั้นสูงนั้นอาจเป็นเพียงแค่ของเล่นที่จะพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนเมื่อใดก็ได้
ถ้าหากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาซือหยูจำบ่มเพาะวิชาทั้งหมดจนสมบูรณ์แบบภายใต้การชี้แนะจากหยุนย่าสี
และเมื่อเวลานี้เขามีมังกรอสูรถึงหกตัวพลังของมันย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่มีสี่ตัวหลายเท่า แม้แต่จ้าวเทวะระดับแปดยังแทบจะรับมือมังกรห้าตัวไม่ไหว การต่อสู้กับมังกรหกตัวย่อมไม่ต่างจากการหาที่ตาย
ด้วยวิชาอสูรนี้ซือหยูย่อมถือว่าพ้นภัยในแดนมณีหากไม่เจอกับคนที่ไร้เทียมทานจริง ๆ แน่นอนว่านี่นับเพียงอันตรายจากมนุษย์ แต่อันตรายในตัวแดนมณีเองจะประมาทไม่ได้
“วิชานี้ไม่เลวนักพลังอสูรในกล่องหยกคงจะมากพอให้เจ้าสร้างมังกรได้ถึงแปดตัว ถ้าเจ้ามีโอกาส จงหาพลังอสูรที่มากกว่าและสร้างมังกรตัวที่เก้าเสีย”
หยุนย่าสีนับว่าวิชานี้มีความสำคัญกับซือหยูกว่าวิชาอื่น
“ได้เลยท่านอาจารย์”
“น่าเสียดายนักที่เวลาสั้นเกินไปข้ามิาอจบ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาขั้นสามได้ทันเวลา ข้าทำท่านอาจารย์ผิดหวัง”
หยุนย่าสีคาดหวังสองสิ่งกับซือหยูหนึ่งคือการบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอยู่ และสองก็คือวิชาโอรสสวรรค์จ้องนภา
หยุนย่าสีส่ายหน้าเบาๆ
“โอรสสวรรค์จ้องนภาเป็นแค่วิชาปลีกย่อยแดนมณีมีโอกาสอันยิ่งใหญ่และอุปสรรครอเจ้าอยู่ เจ้าจำเป็นต้องมีวิชาที่แข็งแกร่ง”
“บ่มเพาะเก้ามังกรอสูรก่อนเป็นอย่างแรกพอเจ้าไปถึงแดนมณีก็ไม่สายที่จะเริ่มบ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาเมื่อเจ้ามีเวลา” ซือหยูยิ้ม
“ข้าจะพยายามท่านอาจารย์”
หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ
โหม่ง! novel-lucky
เสียงระฆังดังก้องมาจากระยะไกลซือหยูสัมผัสได้
“เสียงระฆังรวมตัวคงจะถึงเวลาแล้ว”
ซือหยูสตัวสั่นเบาๆ ในใจกำลังคาดหวังในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เขาได้ยินเรื่องแดนมณีตั้งแต่ที่มาถึงทวีปจิวโจวและตอนนี้มันก็มาถึงแล้ว
หยุนย่าสีกล่าว
“ไปซะข้าจะปรากฏตัวอีกครั้งที่แดนมณีและช่วยเจ้าหาสิ่งนั้น”
หยุนย่าสีกลายเป็นลำแสงหยุนย่าสีสลายไปพร้อมกับลำแสงนั่นเอง เหลือเพียงเส้นผมสีขาวำไว้หนึ่งเส้น มันล่องลอยไปบนฟ้า ไม่นานเส้นผมนั้นก็ร่อนตกที่ศีรษะซือหยูและกลายเป็นเส้นผมของซือหยูเอง ซือหยูชอบวิธีการนี้มาก แสดงว่าวิญญาณก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้น่ะสิ?
“มันคือวิชาวิญญาณมายาใช้หลอกการรับรู้ ตัวตนของข้ามิได้เปลี่ยน ถ้าเจ้าบ่มเพาะจนถึงขอบเขตวิญญาณมายาเมื่อใด เจ้าจะหลอกคนอื่นได้ตามใจคิดเหมือนกัน”
หยุนย่าสีอธิบาย
ขอบเขตวิญญาณมายารึ?ซือหยูเลียริมฝีปาก ถ้าเช่นนั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาจะใช้มันหลอกล่อศัตรูได้ และด้วยพลังระดับสอง มันจะทำให้เขาสำเร็จในทุกสิ่งที่ต้องการ!
หลังจากจัดการกับพลังอสูรที่ปะปนอยู่รอบๆ เรียบร้อย ซือหยูก็เกิดความคิดขึ้นมา เขาก้าวออกจากเรือนมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่เก้าพร้อมกับศิษย์คนอื่น เมื่อไปถึง ศิษย์ตำหนักโลหิตทุกคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว
ซือหยูบินไปที่ข้างไป่ชานเหลียงและได้พบว่าเขาดูแปลกไปกงซุนหวูซื่อกับปิงหวูชิงเองก็ไม่ต่างกัน ราวกับว่ามีเรื่องเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซือหยูถาม
ทั้งสามเงียบไปครู่หนึ่งบรรยากาศเศร้าหมองอย่างผิดปกติ
“พี่หยูเซี่ยน…”
กงซุนหวูซื่อขยับปากเล็กๆ นางดูเศร้าหมอง
“พี่เหรินเหยาตายแล้ว”
ซือหยูตกใจเมื่อได้ฟังเทียนเหรินเหยาตายแล้วหรือ?
แม้ว่าจะพยายามเตรียมใจเท่าใดก็ยากมากที่เขาจะยอมรับข่าวนี้ได้
“พวกเจ้ารู้ได้ยังไง?”
ซือหยูถาม
หมอกวารีเคลือบดวงตาสดใสของกงซุนหวูซื่อ
“ตราชีวิตที่พี่เหรินเหยาทิ้งไว้ในสำนัก…มันแตกแล้ว”
ตราชีวิตคือสิ่งที่จะกักเก็บแก่นโลหิตเอาไว้เมื่อเจ้าของโลหิตเสียชีวิต โลหิตจะสัมผัสได้และเริ่มปล่อยพลังออกมาทำลายตรา มันคือวิธีทั่วไป ข้อผิดพลาดแทบจะไม่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นเทียนเหรินเหยากับไป่ชานเหลียงยังแยกจากกันเพราะถูกกระดูกโลหิตไล่ล่า แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ตราชีวิตจะทำงานผิดพลาด ความหวังเดียวก็คือปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น
ซือหยูโศกเศร้าในใจ
เสวี่ยเหลียนพูดถูกชีวิตของยอดฝีมือเป็นดั่งหิ่งห้อยตัวน้อยที่เปล่งแสงส่องโลกเพียงไม่นานและแตกดับไปในพริบตา
ไม่มีใครรู้ว่ามิตรสหายตนจะจางหายไปจากโลกเมื่อใดหากวันพรุ่งนี้มาถึง
“ไอ้กระดูกโลหิต!”
ซือหยูแววตาเยือกเย็น
เขาโศกเศร้าที่ตัวเองในอดีตไร้พลังและความล้มเหลวของเขาทำให้กระดูกโลหิตที่อยู่ในช่วงเวลาอ่อนแอที่สุดรอดไปได้ จนมาส่งผลกับชะตาของคนที่เขารู้จัก
หนึ่งในห้าอสูรผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาอสูรได้หายไปแล้วเหลือพวกเขาเพียงสี่คน
ก่อนที่ซือหยูจะคร่ำครวญเสียงของหยุนย่าดังขึ้นมาในหัว
“ไม่ต้องห่วงสหายเจ้าอาจยังไม่ตาย อาจจะเป็นอีกคนที่ถูกสังหาร เพราะเจ้าคนนั้นก็เป็นคนแปลกเช่นกัน”
หยุนย่าสีรู้ตัวตนของเทียนเหรินเหยาเขาอาจจะรู้ได้ในตอนนี้ซือหยูออกจากการปิดประตูฝึกตน
ซือหยูเลิกคิ้วเทียนเหรินเหยายังมีชีวิตอยู่รึ? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับตราชีวิตกัน?
แต่ก่อนที่ซือหยูจะได้ถามสิ่งที่สงสัยหยุนย่าสีก็หายไปทันที
ปั้ง…ปั้ง…ปั้ง…
เสียงบางเบาดังขึ้นในหัวของซือหยูเสียงนี้ดูห่างไกลราวกับมาจากระยะแสนลี้