The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1030 - หอคอยร้อยชั้น
ไม่มีเหตุผลที่ทุกคนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแต่ทิ้งธงเอาไว้
ในตอนนั้นเองเสียงผู้หญิงร้องดังมาจากด้านหลัง
“เป็นเจ้าจริงด้วย!ซือหยูเซี่ยน!”
ซือหยูหันไปมองสตรีวัยกลางคนที่สภาพยังดียืนอยู่ด้านหลังซือหยู นางเหมือนกับรูปปั้นน้ำแข็ง นางจ้องมองเขาด้วยความรำคาญใจและโมโห
“เซียนหลิง?”
ซือหยูแปลกใจนางคือเจ้าของโรงประมูลเทียนหยาและเป็นป้าของกงซุนหวูซื่อ
ใบหน้างดงามของเซียนหลิงเยือกเย็น
“ไม่เจอกันนานนะเจ้าเป็นอย่างไรนบ้าง? พลังเจ้าเพิ่มขึ้นมามากเลยนี่!”
เป็นเวลานานแล้วแต่เซียนหลิงก็มิอาจลืมเรื่องน่าอับอายใจอดีตที่หยินมู่ปลูกต้นรักในร่างกายนาง และนางได้กลายเป็นสิ่งที่ซือหยูควบคุมได้
ซือหยูยิ้มกระอักกระอ่วนและตอบกลับ
“เซียนหลิงมาที่นี่เพื่อเยี่ยมกงซุนหวูซื่อรึ?หลายวันมานี้นางเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วคนในตำหนักโลหิตของข้าไปไหนกันหมด?”
เซียนหลิงตอบอย่างไม่สนใจ
“นางไม่เป็นไรไม่ต้องไปหานาง แต่คนจากตำหนักโลหิตเจ้าน่ะไม่สู้ดีนัก”
อะไรกัน?ซือหยูคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับตำหนักโลหิต และถ้าเขาเดาไม่ผิด บางอย่างนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว
“พวกเขาอยู่ไหน?แล้วพวกนั้นเป็นอย่างไร?”
ซือหยูถาม
เซียนหลิงเลิกคิ้วนางไม่คิดจะตอบ แต่ต่อมานางก็พูด
“ต่อให้เจ้ารู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้พวกเขากำลังต่อสู้กับดินแดนมีดสวรรค์และกำลังต่อสู้อยู่ในเวลานี้ มีคนบอกว่าเจ้าเป็นคนขโมยของจากดินแดนมีดสวรรค์ไป และพวกมันก็มาล้างแค้น”
ดินแดนมีดสวรรค์รึ?พวกมันตามมาหรือ? ซือหยูถาม
“พวกมันมากี่คน?”
เขาคิดว่าคนส่วนใหญ่คงถูกจ้าวสวนตำราฆ่าไปแล้ว
“สามคนอีกคนกำลังจะมา รวมกันก็เป็นสี่”
เซียนหลิงกล่าว
สามคนจะต้องเป็นเฉียนเฟิงเฉาลี่ กับคนของเขา แล้วอีกคนคือใครกัน?
“พวกเขาต่อสู้กันอยู่ที่ไหน?”
ซือหยูรีบถามเซียนหลิงแปลกใจ
“โอ้?เจ้าดูไม่สนใจเลยนะ? พวกนั้นเป็นสหายร่วมสำนักไม่ใช่หรือ”
คนเหล่านั้นเป็นสหายร่วมสำนักจริงแต่ก็มีเพียงหยิบมือเดียวที่ปฏิบัติต่อซือหยูเช่นนั้น ซือหยูไม่ลืมเรื่องการคัดเลือกในงานเฟิงหยุน ตอนที่คนตำหนักในปรารถนาให้เขาไม่ผ่านคุณสมบัติ เขาไม่มีวันลืมว่าม่อเทียนฉวนส่งเขามาที่สวนบุพผาเพียงลำพัง และเมื่อคนตำหนักโลหิตกำลังลำบาก เขาจะรีบร้อนไปทำไม?
“ข้าเพียงอยากรู้ว่าปิงหวูชิงกงซุนหวูซื่อ และไป่ชานเหลียงอยู่กับพวกนั้นด้วยหรือไม่”
ซือหยูถามชี้เฉพาะ
เซียนหลิงฉีกยิ้ม novel-lucky
“อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เจ้าเป็นห่วงอยู่สินะ!กงซุนหวูซื่อน่ะไม่ต้องห่วง นางอยู่ที่อีกสวน ไป่ชานเหลียงออกไปก่อนและหาตัวไม่พบ ปิงหวูชิงเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นั่น”
ซือหยูถาม
“แล้วพวกนั้นสู้กันอยู่ที่ไหน?”
เซียนหลิงชี้ไปยังพื้นที่ตรงกลางที่รายล้อมไปด้วยภูเขานับไม่ถ้วนมีหอคอยร้อยชั้นสีดำประกายตั้งอยู่ ทั้งหอคอยสร้างด้วยโลหะประหลาดที่มีสีดำสนิทเป็นเงา
อาวุธมากมายนับไม่ถ้วนกองสุมหอคอยทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติกึ่งภูติ!
“ที่นั่นคือหอวิชาพื้นที่สำคัญที่สุดของสวนวิชา มันคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในแดนมณี”
เซียนหลิงอธิบาย
“นอกจากผู้เข้าร่วมจะไม่มีใครอื่นเข้ามาได้ตัวหอคอยที่ทะลวงผ่านไม่ได้นั้นจะไม่สั่นไหวแม้เจอพลังของเซียน”
ซือหยูถาม
“จะบอกว่าพวกนั้นอยู่ข้างในหอคอยสินะ?”
เซียนหลิงส่ายหน้าเบาๆ
“หอวิชายังไม่เปิดให้เข้ายังเหลือเวลาอีกครึ่งวัน มันจะเปิดในคืนจันทร์เต็มดวง!”
“คนตำหนักโลหิตไม่ได้อยู่ข้างในหอวิชาพวกนั้นกำลังตั้งกลุ่มเพื่อแข่งกันแย่งเข้าหอวิชา พวกเขาต่อสู้กันอยู่ที่อีกด้านของหอคอย”
ซือหยูถาม
“แล้วการต่อสู้เป็นยังไงบ้าง?มีคนมีดสวรรค์แค่สามสี่คน คนตำหนักโลหิตได้เปรียบด้านจำนวน คงไม่เกิดความสูญเสียเลยสินะ?”
“เจ้าคิดว่าตำหนักโลหิตจะเทียบพลังกับดินแดนอื่นได้รึ?ผู้นำอย่างปิงหวูชิงอีกคนก็ยังไม่ได้มารวมตัวกัน ต่อให้อีกฝั่งมีแค่สี่ ตำหนักโลหิตก็สูญเสียไปมาก คู่หมั้นที่รักของเจ้าก็บาดเจ็บด้วยนะ”
ซือหยูกังวลเล็กน้อย
“หวูชิงบาดเจ็บรึ?”
ดูจากครั้งที่เขาเคยประมือกับพวกมีดสวรรค์คนเดียวที่มีภัยก็คือเฉียนเฟิง พลังของเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจินมู่ เลี่ยงไม่ได้ที่ปิงหวูชิงจะบาดเจ็บ
“ขอบคุณที่บอกข้า”
ซือหยูประสานหมัดขอบคุณและบินไปที่อีกฝั่งของหอคอยทันที
เซียนหลิงเดาะลิ้นนางจะบอกว่าต่อให้ซือหยูไปก็ไร้ผล นั่นคือสนามรบของจ้าวเทวะ…ภูติระดับเก้าไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นมา? การไปที่นั่นไม่ใช่การก้าวไปเหยียบกับดักหรอกหรือ?
หลังจากครุ่นคิดเซียนหลิงกระทืบเท้าถอนหายใจอย่างหมดหวัง
“ก็ได้ข้าจะลองตามไป ข้าจะทำตามสถานการณ์แล้วช่วยเขา คุณหนูกำลังจะติดหนี้บุญคุณข้า และมันจะง่ายกว่าในการพาเขากลับผาบั่นภูติในอนาคต”
นางออกบินไปอย่างสง่างาม
ซือหยูบินผ่านหอคอยกว้างใหญ่และเห็นภูเขาสมบัติลูกยักษ์อยู่ที่อีกฟากมีคนอยู่ที่นี่มากมาย พื้นที่ราบมีคนสวมสุดสีน้ำเงินอยู่ พวกเขาน่าจะเป็นคนตำหนักโลหิต
มีอีกหลายฝ่ายที่สวมเสื้อผ้าสีแตกต่างกันซือหยูจำเฉียนเฟิง เฉาลี่ และจ้าวเทวะระดับแปดที่เป็นผู้หญิงได้
มีอีกคนสวมชุดขาวยืนอยู่นอกวงอย่างสบายใจเขาถือตำราทมิฬในมือและอ่านมันเงียบ ๆ ราวกับไม่มีใครอยู่รอบกาย เขาดูไม่สนใจอะไรเลย น่าเสียดายที่ใบหน้าเขาปกปิดด้วยหน้ากากทองคำ จึงมิได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
ซือหยูเบิกตากว้างเล็กน้อย
“ปี้หลิงเทียน!!”
ก่อนหน้านี้จินมู่ได้ใช้ร่างปลอมของปี้หลิงเทียนที่มีพลังเจ็ดในสิบส่วนของร่างจริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็น่าสะพรึงกลัวมาก แม้แต่ปิงหวูชิงที่ใช้พลังสูงสุดยังเทียบไม่ติด
ซือหยูจำได้ในทันทีเพราะหน้ากากทองคำเขาคือปี้หลิงเทียน คนรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนมีดสวรรค์ ถ้าซือหยูคิดถูก ตำราทมิฬในมือของเขาก็คือตำราหยินของม่อจือเต๋า!
ในตอนนั้นเองปี้หลิงเทียนปิดตำราและเงยหน้ามองซือหยูราวกับสัมผัสได้ ดวงตาราวอัญมณีของเขาไม่ต่างกับบุพผา มันดูราวกับเนตรในฝัน อีกทั้งยัง…อันตรายมาก!
ซือหยูละสายตาจากเขาและเหลือบมองสนามรบ
เฉียนเฟิงต่อสู้ได้ดีเขากำลังต่อสู้กับสิบคนด้วยตัวคนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย เขากลับทำให้จ้าวเทวะชั้นสูงของตำหนักโลหิตบาดเจ็บไปทีละคน
เฉาลี่นั้นเป็นที่รู้จักว่าเป็นนักรบแนวหน้าของตำหนักเมฆาม่วงแม้จะทรยศ พลังของเขาก็น่าตื่นตา เขากำลังต่อสู้กับเทียนหยูและจ้าวเทวะระดับแปดอีกหกคนในทีเดียว เขารับมือกับพวกนางอย่างง่ายดาย เทียนหยูเองก็ดูเหนื่อยล้า
ส่วนจ้าวเทวะระดับแปดอีกคนของมีดสวรรค์ก็น่าตกตะลึงไม่ต่างกันนางกำลังบดขยี้ถังหลิงและจ้าวเทวะระดับเจ็ดอีกหลายสิบคนด้วยตัวคนเดียว พลังของนางนั้นยอดเยี่ยมมาก และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยามที่ปี้หลิงเทียนไม่ได้ยื่นมือเข้ามาเลย!ถ้าหากเขาลงมือ ตำหนักโลหิตคงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ซือหยูเหลือบมองคนตำหนักโลหิตที่กำลังพักอยู่ด้านข้างเขาพบกับหญิงสาวผู้เย็นชาและสง่างามที่หางตา