The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1038 - แกล้งโง่สำเร็จ
DND.1038 – แกล้งโง่สำเร็จ
“โอ้โอ้ จริงด้วย”
กระทิงทองแดงลดแสงสีเขียวทั้งหมดลงแสงเขียวที่ปกคลุมโลกสลายไป
กระทิงทองแดงหดตัวด้วยความกระอักกระอ่วน
“ข้าไม่มีอะไรต้องทำที่นี่แล้วต้องขอตัวก่อน ข้าจะไม่ขัดขวางการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของพวกเจ้า”
“ช้าก่อน!”
จู่ๆ ฮั่นเฟยก็ตะโกนขึ้นมา ดวงตาหม่นหมองของนางมองตรงมาอย่างเยือกเย็น
กระทิงทองแดงมองฮั่นเฟยที่อยู่ไกลด้วยความนับถือและความกลัว
“มีเรื่องอันใดหรือ?”
ฮั่นเฟยชี้ไปที่ซือหยู
“เจ้าเป็นคนขอซือหยูเซี่ยนที่มาจากสำนักอสูรสวรรค์ใช่หรือไม่?”
กระทิงทองแดงผงะเล็กน้อย
“ใช่แล้ว!เขาบอกพวก…โอ้ะ เขาบอกว่าพวกชั่วช้าใช้ไม่ได้นั่นพยายามจะใส่ร้ายคนอื่น และเขาก็มาจากสำนักอสูรสวรรค์”
ฮั่ยเฟยหรี่ตามองซือหยูและฉีกยิ้ม
“แอบอ้างชื่อเสียงสำนักอสูรสวรรค์ซือหยูเซี่ยน! ข้าต้องการคำอธิบาย!”
ทั้งสองฝ่ายนั้นมีชื่อเสียงต่างเป็นกลุ่มอำนาจหลักในทวีป ศิษย์จากตำหนักโลหิตแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักอสูรสวรรค์เข้าต่อสู้กับศิษย์สำนักอื่นถือเป็นเรื่องร้ายแรง
อย่างน้อยเรื่องนี้จะต้องถูกแก้ไขและไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
หากร้ายแรงสำนักอสูรสวรรค์จะส่งคนมาที่ตำหนักโลหิตและทำการสืบสวน และผู้ร้ายตัวจริงอย่างซือหยูจะมิอาจหลบเลี่ยงการถูกลงโทษสถานหนักไปได้
และม่อเทียนฉวนเองก็อยากจะหาจุดอ่อนของซือหยูดั่งนักล่าผู้หิวโหยอยู่แล้วแค่คิดก็ทำให้เขารู้สึกแย่!
“ช้าก่อน!ข้าบอกเจ้าพวกโง่นั่นตอนไหนว่าข้าเป็นศิษย์สำนักอสูรสวรรค์? พวกมันก็แค่อยากอวดฉลาดนับถือว่าเป็นศิษย์สำนักอสูรสวรรค์หลังจากเห็นข้าใช้วิชาอสูรเท่านั้นเอง”
“ข้าใช้เกียรติของสำนักอสูรสวรรค์ในการปิดบังตัวเองข้าไม่เคยพูดสักครั้งว่าข้าเป็นศิษย์สำนักเจ้า”
ซือหยูปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
แต่ฮั่นเฟยไม่คิดจะปล่อยไปเมื่อเห็นจุดอ่อนของซือหยู
“ต่อให้เจ้าไม่บอกว่าตัวเองเป็นศิษย์สำนักอสูรสวรรค์เจ้าก็หาได้ปฏิเสธ อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า!”
แน่นอนว่าซือหยูจงใจทำให้พวกช่างสวรรค์เข้าใจผิดหากสำนักอสูรสวรรค์เผชิญหน้ากับตำหนักโลหิต พวกเขาก็มีทั้งเหตุผลและหลักฐานในการทำเช่นนั้น
“แล้วเจ้าจะเอายังไงเล่า?บอกข้ามาสิ!”
ซือหยูพูด
“ถ้าเป็นเรื่องความลับของที่มาพลังอสูรก็ลืมไปได้เลยข้าเชื่อว่าสำนักจะต่อว่าแทนที่ให้เจ้าได้พลังอสูรมาง่าย ๆ”
ฮั่นเฟยรู้สึกเสียดาย
‘เจ้านั่นหลอกไม่ง่ายข้าคิดว่าข้าจะได้รู้ความลับแล้วเสียอีก’
ฮั่นเฟยคิดกับตัวเอง
“ข้าไม่สนใจเจ้าพวกช่างสวรรค์นั่นหรอกแต่ถ้าข้าจะได้บางอย่างกับเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน มันก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
ฮั่ยเฟยถาม
ซือหยูเลิกคิ้ว
“เจ้าต้องการอะไรจากข้า?”
ฮั่ยเฟยยิ้มอย่างสง่างาม
“ข้ายังไม่ได้คิดแต่มันคือสิ่งที่เจ้าทำได้แน่นอน”
หลังจากคิดซือหยูถาม
“ข้ายังมีทางเลือกอยู่อีกหรือ?”
“ฮ่าๆๆๆให้มันได้แบบนี้สิ”
ฮั่ยเฟยยิ้มนางร่อนลงหน้าหอวิชาอย่างสง่างามแทนที่จะกลับไปยังภูเขา
“ข้าเองก็จะไปแล้วลาก่อน ทุกท่าน”
กระทิงทองแดงถอยไปอย่างรวดเร็วเส้นทางที่ไปกลายเป็นเส้นแสงสีเขียว
หลังจากมาได้ไกลหลายร้อยลี้กระทิงพูดกับตัวเอง
“นี่มันบ้าอะไรกัน!เด็กยุคนี้จะต่อต้านฟ้าดินหรือยังไง? มีกายาเก้าวิญญาณอยู่คนเดียวไม่พอ ยังมีเนตรบุพผามรกตอีกคน แล้วเด็กสาวคนนั้นมันอะไรกัน?”
“นางมีสมบัติล้ำค่าของอสูรเนรมิตรสองคนจากตระกูลบูรพาได้ยังไง?!บัดซบ พวกมันคือสมบัติภูติชั้นสูง! การโจมตีส่ง ๆ ของมันก็ส่งข้ากลับนรกได้แล้ว!”
“แล้วแม่สาวน้อยชุดดำนั่นมันเกิดอะไรกับสุริยาพลังอสูรในตัวนางกัน? ไอ้แก่จากสำนักอสูรสวรรค์โง่เง่าจนปลูกถ่ายของอันตรายเหมือนระเบิดเวลาในร่างเด็กสาวตัวแค่นี้เรอะ?”
“พวกนั้นก็ส่วนพวกนั้นพระเจ้าเอ้ย ไอ้คนชื่อซือหยูเซี่ยนนั่นมันใคร? เจ้านั่นน่ากลัวที่สุดแล้ว! รังสีพลังเทพรอบตัวนั่น! มันคิดจะฆ่าข้าเรอะ?”
“โชคดีที่ข้าใช้ปัญญาแกล้งโง่หนีออกมาได้บัดซบ ข้าเกือบจะตกบ่อสัตว์ประหลาดเพราะไอ้พวกโง่นั่นแล้ว! ข้าเกือบตกใจจนตายที่ได้เห็นเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น! ข้าต้องตั้งสติ”
กระทิงทองแดงหัวเสีย
…
ที่หอวิชาซือหยูอยู่เพียงลำพัง เขาคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นเป้าหมายของคนที่แข็งแกร่งและกำลังจะต้องต่อสู้ครั้งใหญ่ แต่เรื่องราวกับถูกแก้ไขไปอย่างง่ายดาย มันเกินกว่าที่เขาคาดคิด
หลังจากใช้ความคิดเขาหันกลับไปมองพวกมีดสวรรค์ ซือหยูหรี่ตา
มีเรื่องราวมากมายเกินขึ้นและไม่จำเป็นต้องต่อสู้ต่อไป
ต่อให้ฮั่นเฟยกับตงฟางเถียนเฟิงไม่ยื่นมือช่วยตำหนักโลหิตพวกนางก็จะไม่นั่งรอดูซือหยูบาดเจ็บจนตาย ตำหนักโลหิตอยู่ในสถานะที่นับว่าปลอดภัย
“ฮ่าๆ หอวิชากำลังจะเปิดแล้ว ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ต่อไปอีก พักรอให้หอวิชาเปิดแล้วเข้าไปบ่มเพาะข้างในไม่ดีกว่าหรือ?”
ปี้หลิงเทียนยิ้มแต่เขากำลังพูดกับซือหยูแทนที่จะพูดกับคนที่เป็นผู้นำการต่อสู้อย่างปิงหวูชิง
ปิงหวูชิงกับคนตำหนักโลหิตพยักหน้ายอมรับและโล่งใจเมื่อพ้นภัยพวกเขารอดตายแล้ว
“ใครให้สิทธิ์เจ้าตัดสินใจ?เลือกสู้ยามที่ต้องการ จบสงครามเมื่อไม่ต้องการสู้ต่อ มีแบบนี้ด้วยหรือ?”
แม้กระนั้นก็มีคนไม่คิดจะรามือ
ปี้หลิงเทียนยังคงยิ้ม
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรน้องซือ?”
“ข้าหมายความว่ายังไงน่ะรึ?แน่นอนว่าเราต้องสู้จนทั้งสองฝ่ายไม่คิดจะสู้ต่อ! อะไรทำให้เจ้าคิดว่าโลกนี้มันง่ายดายนัก? สู้ตอนที่มีดสวรรค์ได้ประโยชน์ แต่สงบศึกตอนที่เสียเปรียบ?”
ซือหยูถอนหายใจแรง
ใบหน้าของศิษย์ตำหนักโลหิตเศร้าหมอง
พวกเขายิ้มอย่างขมขื่นเจ้าอยากตายก็ตายไปสิ จะลากพวกข้าไปตายด้วยทำไมกัน?
เฉียนเฟิงไม่พอใจ
“ซือหยูเซี่ยนเจ้าฆ่าคนของข้าไปมากกว่าครึ่ง พวกข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย แล้วเจ้าก็ยังไม่คิดจะปล่อยเรื่องครั้งนี้ไปอีก!”
ซือหยูโต้แย้ง
“ก็เพราะว่าพวกเจ้ามันโง่!เกี่ยวอะไรกับข้ากัน? ตอนนี้ตำหนักโลหิตจะตัดสินว่าจะจบเมื่อใด!”
“อย่าให้มันมากนัก!”
เฉียนเฟิงโกรธแค้น
ซือหยูแสยะยิ้ม
“แล้วยังไง?แค่นี้ข้าก็สงสารพวกเจ้ามากพอแล้ว ไม่พอใจก็ก้าวออกมา มาสู้กับข้าตัวต่อตัว!”
สู้กับเฉียนเฟิงที่เป็นจ้าวเทวะระดับเก้าตัวต่อตัวงั้นรึ?นี่เป็นการท้าประลองที่อุกอาจมาก เฉียนเฟิงไม่ได้มีพลังยิ่งหย่อนไปกว่านภาจรัส นอกจากคนอย่างกู้ไทซูและปี้หลิงเทียนที่ได้นับความนับถือมากที่สุดในดินแดนก็มีไม่กี่คนที่เทียบเขาได้ คนที่เอาชนะเขาได้ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่
ซือหยูเซี่ยนมีพลังขนาดนั้นเลยหรือ?
เฉียนเฟิงอยากสู้
“ย่อมได้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าเดี๋ยวนี้!!”
แต่เมื่อเขาเริ่มขยับตัวไปหาซือหยูพลังหนึ่งก็เข้าขวางไม่ให้เขาก้าวต่อไปได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ใยไมให้ข้าต่อสู้กับเขาเล่า?”
เฉียนเฟิงถาม
ปี้หลิงเทียนจ้องมองซือหยูและกล่าวอย่างสงบ
“นี่ไม่ใช่เวลาต่อสู้อย่าหลงกลมัน”
พลังของซือหยูคือสิ่งที่ปี้หลิงเทียนกังวลที่สุด
เขาคือม้ามืดม้ามืดอย่างแท้จริง ก่อนที่เขาจะกำจัดถังหลิงในลมหายใจเดียวนั้นไม่มีใครสนใจเขา ดังนั้นข้อมูลเรื่องซือหยูจึงว่างเปล่า ไม่มีใครรู้จักเขาเลย สิ่งนี้จะมองข้ามไม่ได้
เฉียนเฟิงอาจจะไม่ชนะหากเขาสู้กับซือหยู
ก่อนที่หอวิชาจะเปิดตำหนักโลหิตไม่คิดมากหากจะเสียซือหยูเซี่ยน เพราะพวกเขายังมีศิษย์อีกสี่สิบคน พวกเขาได้เปรียบในด้านจำนวน
แต่ดินแดนมีดสวรรค์มิอาจสูญเสียเฉียนเฟิงไปได้หากเขาตาย พวกเขาจะเหลือกันเพียงสามคน นั่นจะยิ่งแย่กว่าเดิม
ตำหนักโลหิตสามารถเดิมพันได้แต่ไม่ใช่กับดินแดนมีดสวรรค์
เมื่อเข้าใจเหตุผลเฉียนเฟิงกำหมัดด้วยความแค้น
“พวกเราประมาทจนถูกซือหยูเซี่ยนหลอก!ไม่งั้นเราคงไม่ต้องเป็นแบบนี้!”
ปี้หลิงเทียนปลอบ
“เจ้าไม่ต้องกลัวเรายังมีอีกกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ พวกนั้นแค่ยังมาไม่ถึง”
ดินแดนมีดสวรรค์กว้างใหญ่และอยู่ในเขตกลางพวกเขาจะมียอดฝีมือเพียงไม่กี่คนได้ยังไง?
ตามทฤษฎีพวกเขาย่อมนำยอดฝีมือที่มากกว่าทั้งดินแดนพรสวรรค์รวมกันมาอยู่แล้ว
ปี้หลิงเทียนมองซือหยูและยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้นถ้าอยากถามว่าเจ้าต้องการสิ่งใดเพื่อการสงบศึก?”
ซือหยูยกสองนิ้วขึ้นอย่างไม่ลังเล
“ง่ายดายนักข้าต้องการสองอย่าง อย่างแรกคือเอาแบบคัดลอกตำราหยินของม่อจือเต๋ามา! อย่างที่สอง ข้าต้องการเทียนหยู!”
นี่คือสองเงื่อนไขที่ซือหยูยื่น