The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1051 - ความจริงเรื่องวิบัติวิชา
ปิงหวูชิงมองซือหยูด้วยความงุนงง
“เจ้ารู้อะไร?ทำไมหน้าเครียดนัก?”
ซือหยูพยักหน้าเบาๆ พลางลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าวิบัติวิชาคืออะไร”
เมื่อเขาพูดเหล่ายอดฝีมือต่างเข้ามามุงฟัง ทุกคนอยากจะรู้ว่าวิบัติวิชาอันน่าฉงนนี้คืออะไร
“วิบัติคือเคราะห์ร้ายวิบัติบุพผาทำให้คนที่แตะกลีบบุพผากลายเป็นหิน! วิบัติตำราทำให้แต่ละคนต้องเอาชนะเจ้าของตำราแห่งชีวิตที่อ่าน! ส่วนวิบัติวิชา มันมาถึงแล้ว มันอยู่รอบตัวเรา”
ซือหยูพูดด้วยใบหน้าสงบดัชนีทั้งห้าขยับเบา ๆ ในชายเสื้อ
ปิงหวูชิงโน้มตัวใกล้เขา
“ข้ายังไม่เข้าใจ!มันคืออะไรกันแน่?” “มันคือ…”
คำพูดของซือหยูหยุดไปชายเสื้อสั่นสะเทือน น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวขึ้นทันที
“วิบัติวิชาคือยอดฝีมือทุกคน!ยอดฝีมือทุกคนคือตัววิบัติเอง! ทางเดียวที่จะแก้ไขก็คือการกำจัดยอดฝีมือทุกคนที่อยู่รอบ ๆ!”
ลูกแก้วสีเงินหลายลูกพุ่งออกมาจากชายเสื้อของเขาเข้าล้อมปิงหวูชิง
ปิงหวูชิงตกตะลึง
“เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“หนีให้ห่างจากซือหยูเซี่ยน!เขาถึงกับจะฆ่าคู่หมั้นตัวเองเพื่อแก้วิบัติ!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
บางคนหลีกห่างจากซือหยูแต่คนอื่นก็พุ่งเข้ามา
“มันบ้าจนกู่ไม่กลับแล้ว!อย่าไปกลัว! ฆ่ามัน!”
บางคนตะโกน คนรอบตัวเขาลังเลก่อนจะร่วมมือกัน
“เขาบ้าไปแล้วเขาคืออุปสรรคในความเป็นหนึ่งเดียวของเรา! จะมีเขาอยู่อีกไม่ได้!”
“ข้าขอบคุณกับสิ่งที่เจ้าทำให้พวกเรามาก่อนแต่ตอนนี้เขากำลังจะฆ่าทุกคนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง! หึ…”
ซือหยูเหลือบมองรอบๆ ด้วยแววตาเยือกเย็น
“วิบัติวิชาช่างยอดเยี่ยมนักสมจริงจนถ้าหากจิตใจไม่แกร่งพอ คนผู้นั้นจะตกอยู่ในวิบัติ!”
“ตั้งแต่ที่แรงสั่นสะเทือนของวิบัติวิชามาถึงข้าก็มาอยู่ในโลกที่วิบัติสร้างขึ้นในเวลาเดียวกับที่เวลาหยุดนิ่ง มันคือการเดินทางระหว่างสองโลก เหมือนกับก้อนหินที่จมวารีจากกลางอากาศ ก้อนหินแทบจะไม่รู้ตัวว่าตกไปอยู่ในวารีแล้ว”
“แต่โลกที่เหมือนกันจากวิบัตินี้เหมือนจริงเกินไปมันทำให้ข้าคิดว่าข้ายังอยู่ในโลกภายนอกกับคนร่วมสำนัก แต่แท้จริงแล้วมีแค่ข้าคนเดียว และทุกคนคือภาพลวงที่เกิดจากวิบัติวิชา!”
ปิงหวูชิงโกรธแค้นและสั่นไปทั้งตัว
“เหลวไหล!!”
เมื่อฟังเรื่องไร้สาระของเขายอดฝีมือทุกคนโกรธจนหาคำอธิบายไม่ได้
“บัดซบซือหยูเซี่ยนบ้าไปแล้วจริง ๆ! ทุกคนอย่าปรานี ฉีกมันให้เป็นชิ้น ๆ!”
เหลวไหลรึ?ซือหยูยิ้มและไม่พูดอะไร เขากดดัชนีทั้งห้าลง
แม้จะมีสายเลือดชาวกระบี่สวรรค์ไหลเวียนปิงหวูชิงก็แหลกเป็นผุยผงจากค่ายกลคลื่นดาวตกของซือหยูก่อนที่นางจะได้ลงมือ ปิงหวูชิงที่แหลกสลายไร้ซึ่งโลหิตกระจาย นางเป็นเพียงหมอกควันเท่านั้น
“สลายไปซะ!”
ซือหยูโบกมือลูกแก้วทั้งแปดพุ่งออกไปยังทุกทิศทางราวกับกระสุน ยอดฝีมือแปดคนรอบข้างเขาถูกสังหาร เมื่อตายแล้วทุกคนล้วนกลายเป็นควันสีเทา
บางคนที่บาดเจ็บจะมีควันสีเทาออกมาจากบาดแผลแทนที่จะเป็นเลือด
ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นหอคอยที่ส่งเสียงดังเรียกร้องการสังหารเมื่อครู่กลับเงียบกริบ ยอดฝีมือทุกคนหยุดเคลื่อนไหวจ้องมองซือหยู ดวงตาของทุกคนกลายเป็นควันเทาที่น่ากลัว
ซือหยูพูดถูกที่นี่ไม่ใช่หอคอยเลย แต่เป็นโลกที่เกิดจากวิบัติวิชา
“ช่างกล้านัก!”
เสียงดังมาจากเบื้องบน
“ข้าคือจิตวิญญาณของวิบัติวิชาบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองอยู่ในวิบัติ? อะไรทำให้เจ้าฆ่าคู่หมั้นตัวเองได้อย่างเด็ดขาดอย่างไม่ลังเลเช่นนั้น?”
ซือหยูยืนตรงตระหง่าน
“ง่ายดายนักเพราะมีหนึ่งคนที่หายไปยังไงล่ะ! ฮั่นเฟยไม่อยู่ที่นี่!”
ถ้าหากเป็นโลกจริงการหายตัวไปของนางย่อมไร้เหตุผล การหายตัวไปของนางพิสูจน์ว่านี่คือโลกเสมือน
หลังจากเงียบอยู่นานจิตวิญญาณถอนหายใจเบา ๆ
“อย่างนี้นี่เอง”
มันไม่อธิบายว่าเหตุใดฮั่นเฟยจึงไม่อยู่ในโลกใบนี้แต่ซือหยูก็มีทฤษฎีของตัวเอง
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในโลกเสมือนรึ?”
ซือหยูถาม
เสียงนั้นตอบ
“พวกมันจะติดอยู่ในโลกวิบัติวิชาไปตลอดกาลจนกายหยาบที่โลกจริงสลายไป”
เมื่อได้ฟังซือหยูได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวิบัติวิชาจึงคร่าชีวิตคนได้มาก พวกเขาถูกหลอก มิใช่เพราะตัววิบัติที่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะจิตปรุงแต่งที่มีมากเกินไป หลายคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกความจริง ยิ่งอยู่ในโลกเสมือนนานเท่าใดก็ยิ่งยากที่จะคิดได้ สุดท้ายคนเหล่านั้นจะสิ้นหวังและติดอยู่ในโลกเสมือนไปจนวันตาย
“เอาล่ะข้าเข้าใจแล้ว”
ซือหยูพยักหน้าและเหลือบมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา
“เพื่อที่จะเป็นอิสระจากโลกนี้ทางเดียวคือการทำลายทุกคนที่นี่ ยอดฝีมือทุกคนคือวิบัติ!”
จิตวิญญาณวิบัติตอบ
“ใช่แล้วแต่เจ้าทำได้แค่ช่วยตัวเจ้าเองเท่านั้น เจ้ามิอาจเลี่ยงชะตาที่จ้าวสวนวิชาลิขิตเจ้า”
ซือหยูตะคอก
“ไอ้หมาระยำนั่นรึ?เจ้านั่นทำอะไรข้าไม่ได้ แค่ทิ้งวิบัติวิชาให้ข้าเรอะ? ข้าออกจากที่นี่ได้ไม่ยากหรอก!” novel-lucky
เมื่อพูดจบจิตวิญญาณวิบัติเงียบไปนานราวกับเยาะเย้ยซือหยูเงียบ ๆ
“ไม่ต้องเสแสร้งทำเป็นเยือกเย็นจะอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางรอด”
ซือหยูแสยะยิ้ม
“ถ้าข้าเดาไม่ผิดเหตุที่ฮั่นเฟยไม่อยู่ในโลกใบนี้ก็เพราะว่านางหนีไปกับสุริยาทมิฬทันทีที่นางมาถึงที่นี่! นางอยู่ในโลกความจริงแล้ว นางเลยไม่ได้อยู่ในโลกนี้!”
“หากดูนางเป็นตัวอย่างตราบที่ข้าเป็นอิสระจากโลกใบนี้ ตัวตนของข้าจะถูกลบออกจากโลกเสมือนที่ทุกคนอยู่! ถึงตอนนั้น คนที่มีปัญญาอยู่บ้างก็คงสงสัยในโลกที่ติดอยู่”
เมื่อทุกคนสงสัยพวกเขาก็อยู่ห่างไกลจากความจริงไม่มากแล้ว! อย่าลืมว่าทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงแห่งจิวโจว หลายคนมีสติปัญญาสูงส่ง!
จิตวิญญาณวิบัติเงียบไปอีกครั้งผ่านไปนานก่อนที่มันจะถอนหายใจแผ่วเบา
“คนยุคนี้แข็งแกร่งนัก!เพียงยุคเดียวก็เหนือกว่ายุคที่แล้วมา!”
“แต่เจ้ามองข้ามบางอย่างไปการตระหนักรู้ว่าตนเองอยู่ในโลกเสมือนเป็นแค่เงื่อนไขแรก ในการเป็นอิสระ พวกเขาต้องทำลายร่างเงาทั้งหมดที่ได้เห็น! พลังของร่างเงาเทียบได้กับร่างจริง! เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าเอาชนะทุกคนและคนอื่นที่รู้ความจริงจะเอาชนะทุกคนได้?”
ซือหยูตอบโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า!คนอื่นก็เช่นกัน! พอข้าออกไป คนที่รู้ความจริงก็คือคนที่แข็งแกร่งน้อยกว่าข้าอีกหนึ่งขั้น! ส่วนคนต่อไปก็จะเหลือคู่ต่อสู้ที่น้อยลงไปอีก! มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ผู้แข็งแกร่งออกมาได้ พวกที่อ่อนแอจะได้ออกมาเป็นคนสุดท้ายอย่างไม่ยากเย็น!”
จิตวิญญาณเสียงละห้อย
“เจ้าเข้าใจรูปแบบของมันแล้วสินะเจ้าคือปัจจัยที่วิบัติวิชาไม่ต้องการในครั้งนี้ ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเคราะห์ดีหรือร้าย ข้าคิดว่าข้าควรขอบคุณคนที่มาหยุดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก”
เมื่อพูดจบจิตวิญญาณสลายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
หยุดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกรึ?ซือหยูมิอาจเข้าใจคำพูดนี้
“แดนมณีซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดเอาไว้แต่มันก็ยิ่งน่าสนุก”
ซือหยูสนใจมันขึ้นเรื่อยๆ
เซียนมณีทิ้งอะไรเอาไว้หลังจากหมื่นปีกันแน่?ทุกอย่างบนโลกจะไม่ตื่นเต้นยิ่งกว่าหรือหากได้รู้ความลับ?
ซือหยูเหลือบมองยอดฝีมือเงาทั้งสองหมื่นคนเขาตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
แม้ว่าจิตวิญญาณวิบัติจะไม่ได้บอกทุกสิ่งซือหยูก็รู้ความลับบางอย่างขณะที่สังหารร่างเงาของปิงหวูชิง แม้จะแข็งแกร่ง ร่างเงาก็ไม่ได้จู่โจมก่อน มิเช่นนั้นทุกคนคงจะจู่โจมซือหยูตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในโลกใบนี้แล้ว นั่นคงจะได้ผลมากกว่า และก็เป็นอย่างที่คิดร่างเงาทั้งสองหมื่นร่างยืนนิ่ง ซือหยูนั่งลง ทุกคนจ้องมองซือหยูแต่ไม่คิดจะพุ่งเข้าใส่เขา
“ตงฟางเถียนเฟิงปี้หลิงเทียน ปิงหวูชิง…”
ซือหยูมองดูยอดฝีมือแห่งดินแดนแต่ละคน
มีแค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นภัยกับเขาส่วนคนที่เหลือ ไม่มีใครเลยที่จะประลองกับซือหยูได้
ซือหยูมั่นใจว่าเขาจะเอาชนะปิงหวูชิงเขามีวิธีจัดการนางต่อให้นางใช้สายเลือดกระบี่สวรรค์ ส่วนตงฟางเถียนเฟิงกับปี้หลิงเทียน ซือหยูมีข้อมูลเรื่องสองคนนี้น้อยเกินไป เขาประเมินพลังของทั้งคู่ไม่ได้
“มีทางเดียวที่จะออกไปจากที่นี่ได้ข้าต้องเตรียมกุญแจ”
ซือหยูเรียกประตูชีวาล่องและเริ่มบ่มเพาะด้วยพลังอสูรโอกาสชนะของเขามีอยู่ไม่น้อยถ้าจะทำลายร่างเงาของตงฟางเถียนเฟิงและปี้หลิงเทียนด้วยสมบัติที่มี แต่มันสิ้นเปลืองหากต้องใช้ มันคือสิ่งที่เขาจะต้องใช้ยามวิกฤติเท่านั้น
ซือหยูถือประตูชีวาล่องด้วยมือซ้ายเขาเรียกหยดสีอำพันสามหยดมาที่มือขวา พวกมันมีกลิ่นหอมฟุ้ง แค่ดมครั้งเดียวก็รู้สึกสดชื่น ประสาทสัมผัสทั้งหมดเลื่อนระดับขึ้น
น้ำผึ้งร้อยบุพผาสามารถเพิ่มระดับการบรรลุได้สิบเท่าซือหยูย่อมต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว เขากลืนหนึ่งหยดลงไป พลังลึกลับแพร่กระจายสู่ดวงวิญญาณ มันรู้สึกสบายราวกับอยู่ในแดนสวรรค์ เขามีสัมผัสที่ว่องไวกว่าเดิมถึงสิบเท่า!
ด้วยพลังของหม้อเก้ามังกรระดับปัญญาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนเหนือกว่าคนทั่วไป เมื่อระดับปัญญาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกสิบเท่า มันก็พุ่งขึ้นสูงจนเหนือมนุษย์ ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจากระดับของสตรีเทวะอย่างเซี่ยจิงหยู มันคือความรู้สึกที่ทำให้ซือหยูตื่นเต้นมาก เขารู้เหตุผลที่ตงฟางเถียนเฟิงต้องการจ้าวสวนบุพผาแล้ว!สำหรับคนที่มีระดับปัญญาสูงกว่าคนทั่วไป การดื่มน้ำผึ้งแค่หยดเดียวนั้นก็ทำให้เหนือกว่าผู้มีพรสวรรค์ทุกคนไปหลายขั้น มันช่วยให้เขาไปถึงระดับของสตรีเทวะ
สำหรับนภาจรัสเช่นนางมันจะไม่พานางไปยังระดับที่สูงกว่านี้หรือ? จะไม่มีสิ่งกีดขวางใดในโลกที่ขัดขวางความคิดนางได้! ด้วยฤทธิ์ของน้ำผึ้งร้อยบุพผา จิตใจของซือหยูสดใสปลอดโปร่ง เขาสามารถคิดอ่านทุกอย่างได้อย่างถ่องแท้
เขาวิเคราะห์เรื่องราวในแดนมณีด้วยสติปัญญาระดับใหม่ที่ได้มา
นี่คือแดนมณีของจริงหรือ?เบาะแสของเขามีจำกัด แต่สมองของซือหยูเหนือชั้นไปมากแล้ว เขาสามารถวิเคราะห์ได้ไกลขึ้น เขาคิดถึงความเป็นไปได้สองทาง
ยิ่งคิดเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสนใจแดนมณีมากเท่านั้น!เขาสนใจมันมากเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของแดนมณี ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่เขาต้องจัดการในเวลานี้!