The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1054 - ความวุ่นวาย
“แม่นางฮั่นยังไม่เห็นความเหมือนกันของสิ่งที่เรียกว่าวิบัติอีกรึ?”
ซือหยูหรี่ตามองฝูงสัตว์อสูร
ฮั่นเฟยนั้นฉลาดมากและต้องการคำใบ้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางเลิกคิ้ว
“เจ้าจะบอกว่าวิบัติพวกนี้จะขังพวกเราให้อยู่ในแดนมณีรึ?”
“ใช่แล้ว!วิบัติบุพผาเปลี่ยนคนเป็นรูปปั้นหิน วิบัติตำราเปลี่ยนคนให้กลายเป็นตำราแห่งชีวิต วิบัติวิชาเปลี่ยนคนให้กลายเป็นร่างเงา ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีความเหมือนกัน วิบัติจะเปลี่ยนคนที่ล้มเหลวให้กลายเป็นบางอย่าง!”
ฮั่นเฟยเริ่มคิดได้
“แต่ฝูงสัตว์อสูรเพียงแค่สังหารพวกเรามันไม่ได้เปลี่ยนเรา”
“ใช่นี่คือธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่าวิบัติ”
ซือหยูพยักหน้ารับ “ดังนั้นวิบัติของจริงจึงไม่ใช่ฝูงสัตว์อสูร!”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังไม่รู้จักวิบัติของจริงสินะ?”
ซือหยูพยักหน้าสีหน้าเขาเคร่งเครียด
“ใช่มันน่ากลัวก็เพราะว่าพวกเราไม่แน่ใจ”
วิบัติอื่นนั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่ายมีเพียงวิบัติสัตว์อสูรที่มิอาจคาดเดา ยากที่จะป้องกัน
“อ๊ะพี่เฟยเอ๋อ ซือหยูเซี่ยน คุยอะไรกันอยู่น่ะ? ข้าฟังด้วยสิ”
จู่ๆ ตงฟางเถียนเฟิงก็ปรากฏตัวออกมา ใบหน้าไร้เดียงสาของนางสามารถสร้างได้ทั้งความโมโหและความยินดี นางเอนกายด้วยความสงสัย
เร็วมาก!ซือหยูจ้องมองนางพลางคิด
“เจ้าออกมาเร็วดีนี่”
ฮั่นเฟยเหลือบมองและกล่าว ตงฟางเถียนเฟิงหัวเราะคิกคัก
“ไม่ว่าข้าจะเร็วยังไงข้าก็ไม่มีทางตามพี่เฟยเอ๋อกับคุณซือทันใช่ไหม? กว่าข้าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างเงาพี่เฟยเอ๋อก็ไม่อยู่ในวิบัติวิชาแล้ว”
“ส่วนคุณซือชิ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้! ถ้าร่างเงาของเจ้าไม่หายไปทันเวลา ข้าก็อาจจะติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล เจ้ายอดเยี่ยมนัก ข้าเชื่อว่าคนดินแดนอื่นก็คงจะได้คำใบ้จากเจ้าเช่นกัน”
นางพูดถ่อมตัวเพราะแท้จริงนางรู้วิธีแก้วิบัติใกล้เคียงกับซือหยู แต่นางนางหมดเรี่ยวหมดแรงในการต่อสู้สุดท้าย นั่นก็เพราะนางมิอาจทำลายร่างเงาของซือหยูได้ นางเป็นอิสระในตอนที่ซือหยูออกมาเท่านั้นเอง
ฟึ่บ!
อีกคนตื่นขึ้นเขาคือปี้หลิงเทียน!
ไม่นานปิงหวูชิงก็ตื่นขึ้นมาด้วยตามมาด้วยยอดฝีมือที่แข็งแกร่งจากหลายดินแดน เมื่อมีคนออกมาจากโลกเสมือนมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เหลือก็คงเข้าใจแล้วว่ามายาเหล่านั้นมิใช่ของจริง ไม่ว่าร่างเงาเหล่านั้นจะเหมือนจริงแค่ไหนก็ตาม
หลายคนมองซือหยูต่างออกไปหลังจากตื่นขึ้นดูจากสิ่งที่พวกเขาต้องเจอในการต่อสู้ ถ้าหากแบ่งเป็นระดับความยาก การต่อสู้กับปิงหวูชิงถือเป็นระดับนักรบ ปี้หลิงเทียนถือเป็นระดับราชาเพราะว่ามันท้าทายมากในการต่อสู้กับเขา
แต่มีเพียงคนที่ได้ต่อสู้กับร่างเงาของซือหยูเท่านั้นที่ได้เข้าใจหนึ่งสิ่งถ้าหากเทียบกับการต่อสู้กับซือหยูแล้ว ทุกคนที่กล่าวมานั้นถือเป็นระดับปอกกล้วย!
แต่การต่อสู้กับซือหยูเซี่ยนคือความยากระดับนรก!!!
ซือหยูจะเริ่มด้วยการใช้ค่ายกลคลื่นดาวตกและโจมตีด้วยวิชาเก้ามังกรอสูรเขาป้องกันตัวเองด้วยพลังกระบี่ที่ทำลายล้างได้ทุกคน เขากลบแสงแห่งความหวังของทุกคนจนมืดมิด!
แม้แต่ปี้หลิงเทียนกับปิงหวูชิงที่คุ้นเคยกับพลังของซือหยูยังพบเจอกับเวลาอันยากลำบาก
โชคดีที่ซือหยูออกจากขอบเขตมายาได้รวดเร็วมากทำให้พวกเขามีโอกาสได้พักหายใจ เมื่อความยากระดับนรกหายไปแล้ว พวกเขาก็ออกจากโลกเสมือนได้ทีละคนราวกับดอกเห็ดหลังพิรุณ
ฮั่นเฟยมองเหล่ายอดฝีมือที่ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเหลือบมองสายตาที่มองซือหยูฮั่นเฟยรู้สึกทึ่งในใจ เจ้าหมอนี่ต่อสู้กับคนไปมากแค่ไหนกันแน่? ถึงอย่างนั้น เมื่อมีหลายคนตื่นขึ้นมาในคราเดียว ฮั่นเฟยก็รู้สึกว่าได้ยกภูเขาที่หนักอกออกไป
“ถ้าหากพวกเราตื่นขึ้นมาก่อนพวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้ไอ้หมาเวรนั้นได้เปรียบ!”
ซือหยูที่อยู่หน้าประตูหันไปหาคนที่ตื่นขึ้นมา ฮั่นเฟยพยักหน้าเบาๆ แสดงการตอบรับ
“ใช่เจ้าหมานั่นเจ้าเล่ห์เกินไป! เราต้องร่วมมือกัน”
เมื่อสตรีนภาจรัสทั้งสองยินยอมสถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้น ซือหยูได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าของพวกเขา หลายคนไม่พอใจในเรื่องนี้!
“เชอะ!เจ้านั่นมาจากดินแดนแร้นแค้น มันคิดจริง ๆ รึว่าจะรับหน้าที่ผู้นำ?”
“ทั้งฮั่นเฟยกกับตงฟางเถียนเฟิงคือคนที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครแต่พวกนางกลับยอมให้เขาเป็นผู้นำ หึหึ เล่ห์กลของเขาช่างน่าประทับใจ ข้ายังต้องนับถือ!”
“ใช่ๆ มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกันแน่? อย่างมากมันก็แค่คนที่ใช้กลยุทธ์ได้ดี มันคิดรึว่าตัวเองเหนือนภาจรัส?”
“ข้าก็คิดว่าเขามีพลังธรรมดาไม่ได้ยิ่งใหญ่หลายคนยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ออกมาเลย ซือหยูเซี่ยนในหอคอยร้อยชั้นกับร่างเงาในโลกเสมือนถึงดูแข็งแกร่ง”
“มันจะเหลืออะไรเล่าถ้าพวกเราใช้พลังเต็มที่ออกไป?”
คนพูดเหล่านี้ล้วนเป็นสุดยอดจากดินแดนต่างๆ ของตัวเอง พวกเขาจะเต็มใจก้มหน้ารับฟังคำสั่งจากคนอื่น โดยเฉพาะคนที่รั้งมือพวกเขาด้วยปฏิญาณสัตย์ดวงใจน่ะหรือ?
พวกเขาไม่ลดเสียงซือหยูได้ยินอย่างชัดเจน
เขาลบเสียงเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างจริงจัง
“วิบัติสัตว์อสูรกำลังจะมาถึงแล้วด้วยพลังของทุกคนรวมกัน มันจะรับมือได้ไม่ยาก เรื่องยากคือการป้องกันทางเข้าก่อนที่คนที่เหลือจะตื่นขึ้นมา”
พวกเขามีกันสองหมื่นคนส่วนใหญ่เป็นจ้าวเทวะที่แข็งแกร่งมาก แม้จำนวนสัตว์อสูรจะมากกว่า พวกเขาก็มีพลังเหนือกว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นอยู่มาก หากทั้งสองหมื่นคนซัดพลังพร้อมกัน ฝูงสัตว์อสูรนี้คงหายไปอย่างไม่ยากเย็น
ปัญหาก็คือมีคนไม่ถึงยี่สิบคนที่ตื่นขึ้นมานั่นทำให้พวกเขายังเอาชนะสัตว์อสูรฝูงใหญ่ไม่ได้ พวกเขาต้องยื้อเวลาจนกว่าคนอื่นจะตื่น
“ถ้าร่วมมือกันฝูงสัตว์อสูรก็รั้งไว้ได้ไม่ยาก”
เมื่อซือหยูพูดจบยอดฝีมือคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือเร่ร่อนได้พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าจำเป็นต้องป้องกันทางเข้าด้วยหรือ?ข้าอยู่ตัวคนเดียว ไร้ซึ่งครอบครัวหรือมิตรสหาย ข้าไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องคนเหล่านั้นด้วยชีวิตของข้า!”
ยอดฝีมือีกหลายคนดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือเร่ร่อนเช่นกันพวกเขาแสดงความเห็นออกมาบ้าง
“ใช่ข้าไม่รู้จักคนพวกนั้นด้วยซ้ำ การสละชีวิตอย่างไร้เหตุผลไม่ใช่หลักการของพวกข้า!”
“แล้วอีกอย่างซือหยูเซี่ยน ทำไมพวกข้าต้องทำตามคำสั่งของเจ้าด้วย? พวกข้าไม่ได้ติดอยู่ในหอคอยอีกแล้ว”
“ด้วยวิชาที่พวกข้ามีการหนีห่างจากสัตว์อสูรเป็นเรื่องง่ายดายนัก ทำไมข้าต้องฟังเจ้า? เจ้ากำลังจะขู่พวกข้าด้วยปฏิญาณสัตย์ดวงใจอีกครั้งหรือ?”
คำถามสุดท้ายแท้จริงแล้วคือความคิดจริงๆ ของพวกเขา
ใยพวกเขาต้องฟังคำสั่งจากซือหยู?ถ้าเป็นฮั่นเฟยหรือตงฟางเถียนเฟิง พวกเขาคงจะรับได้ สองคนนี้มีสถานะและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ แต่ซือหยูเทียบกับนางสองคนไม่ได้เลย และซือหยูก็เอาชนะพวกเขาไม่ได้หากพวกเขาใช้ไม้ตายสุดท้ายของตัวเองออกมา!
ความตั้งใจจริงของพวกเขามิใช่การละทิ้งคนอื่นแต่เป็นการแสดงความไม่ยอมรับต่อซือหยู ความวุ่นวายเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่วิบัติสัตว์อสูรจะเริ่มต้นนี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย!
ซือหยูจ้องมองยอดฝีมือเร่ร่อนหลายคนและเห็นสิ่งที่น่าสนใจหลายคนมีฐานพลังที่โดดเด่น บางคนแข็งแกร่ง บางคนแข็งแกร่งที่สุดเทียบได้กับยอดฝีมือในดินแดนใหญ่ ที่อ่อนแอที่สุดเห็นจะเป็นจ้าวเทวะระดับสาม ส่วนใหญ่จะเป็นจ้าวเทวะระดับห้าและระดับหก พวกเขาสมบูรณ์แบบหากมองครั้งแรก แต่เมื่อมองดี ๆ แล้วจะมีบางคนที่ต่างออกไป
ซือหยูเห็นรายละเอียดเล็กๆ นี้ เขาเริ่มเกิดความคิด แววตาเย็นชาขึ้นมาก
“ฮื่มข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น! เป็นฝีมือเจ้าสินะ! ไอ้หมาบัดซบ เล่นลูกไม้ได้ดีนี่! เจ้าถึงกับลงมือตรงนี้!”