The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1080 - ซัดวิหคสามตัวด้วยหินก้อนเดียว
ม่อเทียนฉวนไม่หยุด
เพราะซือหยูพูดถูก
ถ้าหากนางกับบุรุษเมฆาม่วงไล่ตามไปเหล่าสำนักต่าง ๆ ที่ยังอยู่ที่นี่จะไร้ผู้ปกป้อง
ถ้าหากนางเป็นศัตรูนางจะไม่มีวันพลาดโอกาสทองในการบุกครั้งนี้ พวกนางจะต้องรอจนกว่าทุกคนที่นี่จะรักษาตัวจนหายดี
“ข้าขอโทษด้วยข้าปกป้องปิงหวูชิงไม่ได้”
ซือหยูเหยียบวิหคไม้และเปิดรอยแยกมิติ
“บอกเจี๋ยนอู๋เชิงว่าข้าจะเอาลูกสาวนางมาคืนให้ได้”
ม่อเทียนฉวนพยักหน้า
“เจ้าบอกนางเองก็แล้วกัน”
ซือหยูพยักหน้าขี่วิหคไม้ไปเขาบินด้วยพลังมหาศาลผ่านมิติ ข้ามระยะหมื่นลี้ในพริบตาเดียว
ส่วนเรื่องตำแหน่งของกู้ไทซูนั้นเขาไม่จำเป็นต้องตามหาโดยละเอียดนัก การกวาดล้างเกิดขึ้นจากคนจำนวนมาก กลุ่มกบฏจะต้องมีอย่างน้อยหลายร้อยคน
และจุดหมายของพวกเขาก็มีอยู่ที่เดียวนั่นคือเขตกลาง!
ดินแดนพรสวรรค์นั้นห่างจากเขตกลางนับพันล้านลี้ไม่ใช่หรือ?หากบินอย่างเดียวก็เป็นไปไม่ได้ที่จะประหยัดเวลา ทางเดียวที่พวกเขาต้องไปก็คือการฉีกมิติเพื่อเดินทาง!
ดังนั้นพวกเขาจะต้องหาจุดเคลื่อนย้ายที่มีค่ายกลย้ายมิติที่รองรับคนได้ในหลักร้อยคนและพลังเคลื่อนย้ายคนนับร้อยย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควบคุมได้เต็มที่
ดังนั้นพวกเขาต้องไปหาจุดเคลื่อนย้ายตามเมืองต่างๆ
และมีจุดเดียวที่ไม่ไกลจากที่นี่นั่นคือเมืองเทียนหยาที่ห่างกันเพียงครึ่งชั่วยาม
ซือหยูรีบเดินทางไปยังเมืองเทียนหยาส่วนนอกที่นี่คือชายแดนของดินแดนพรสวรรค์และเขตกลาง
เขาฉีกมิติตัดระยะสู่ปลายทางจากนั้นเขาสัมผัสถึงจิตสังหารอันรุนแรงได้ มันส่งตรงเข้าหาเขา
ผู้เฒ่าจากตำหนักชิงวิญญาณพบเขาแล้วมีคนพุ่งเข้าไป
ซือหยูโดนรุมโดยชายหนุ่มเว่ยปูฟางที่เป็นจ้าวเทวะระดับแปดแต่แท้จริงเขาเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าที่ปิดบังพลังเอาไว้
ส่วนผู้เฒ่าอีกคนนั้นหน้าแดงก่ำหนวดชี้ขึ้นดูดุร้าย
เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้ากากสีเงินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“กู้ไทซูคงไร้นักรบมากฝีมือไปแล้วเจ้าถึงได้ตามพวกข้ามาได้!”
เว่ยปูฟางหัวเราะเบาๆ “กู้ไทซูบอกพวกเราว่าคนที่จริงใจและซื่อสัตย์ที่สุดแม้จะรู้ว่าเป็นกับดัก มันก็ยังคงกระโจนเข้ามาเพื่อคนสำคัญ เป็นเรื่องจริงไม่ผิดเพี้ยน! กู้ไทซูช่างเข้าใจผู้คนนัก”
“จริงรึ?การที่คนที่มีจุดอ่อนเช่นนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็นับเป็นปาฏิหาริย์”
ผู้เฒ่าแสยะยิ้ม
“กู้ไทซูมีกายาเก้าวิญญาณแน่นอนว่าราชาเขตกลางย่อมต้องรับเขาเข้าร่วมด้วย แต่ข้าเป็นเพียงแค่แรงงานตัวเล็กจ้อย แค่ชื่ออย่างเดียวยังมีน้ำหนักไม่พอ!”
การพาซือหยูกลับเขตกลางจะทำให้เขาได้ตำแหน่งที่น่าประทับใจแน่นอน
เว่ยปูฟางพูดอย่างชั่วร้าย
“หรือก็คือพวกข้าต้องขอบคุณที่เจ้าปรากฏตัวถูกเวลาพอดี! พวกเราอยากจะเข้าร่วมกับเขตกลางมานานแล้ว นี่คือโอกาสหนึ่งในล้าน! การได้เจอเจ้าถือเป็นเรื่องยากสำหรับเรา” การอยู่ใต้อำนาจเขตกลางมาหลายปีทำให้ตำหนักชิงวิญญาณต้องการที่จะเข้าร่วมกับเขตกลางแต่โอกาสที่เขาจะทำได้นั้นมีน้อยเกินไป
ด้วยตำแหน่งของสำนักแบบพิเศษมันง่ายที่พวกเขาจะกลายเป็นเหยื่อความขัดแย้งระหว่างดินแดนพรสวรรค์และเขตกลาง ดังนั้นเขาจึงยังไม่ทันเตรียมใจ
แต่เมื่อได้เจอกับซือหยูผู้ร้ายที่เขตกลางต้องการ เขาได้เกิดความหวัง สิ่งนี้จะเป็นความดีความชอบของเขาต่อราชาเขตกลางแน่นอน
ซือหยูใจเย็นใต้หน้ากากสีเงินมิได้แสดงความตื่นตระหนก
“จงยอมจำนนซะซือหยู ยอมรับโชคชะตาของเจ้าเสีย พวกเราเตรียมดวงวิญญาณที่จะใช้จัดการเจ้าไว้แล้ว ไม่มีใครในโลกนี้หนีรอดไปได้ เจ้าไม่มีทางหนีแล้ว”
ผู้เฒ่าพูดอย่างเชื่อมั่น ซือหยูถอดหน้ากากถึงเวลาที่เขาจะพบเรื่องราวกับตำหนักชิงวิญญาณสักที
….
ณมุมหนึ่งของเมืองเทียนหยา ในหุบเขางดงามที่รายล้อมไปด้วยภูเขาเขียวขจี
กู้ไทซูมองท้องนภาเขายิ้มอย่างชั่วช้า
“เจ้าพวกโง่!พวกเจ้ามีประโยชน์อะไรกับข้าบ้าง?”
“พี่กู้คิดจะทำอะไรกับซือหยูเซี่ยนกัน?”
ด้านหลังเขาคือสตรีงดงามริมฝีปากนางบวมแดง แววตาดูกระวนกระวาย
รอยยิ้มของกู้ไทซูหายไปแทนที่ด้วยความเยือกเย็นเขาหันไปพูดอย่างไร้หัวใจ
“ซือหยูเซี่ยนรึ?จือยี่ อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้ตัวตนของซือหยูเซี่ยนจริง ๆ!”
ลู่จือยี่ตัวสั่นนางเบิกตากว้างด้วยความกลัว หลังจากลังเลอยู่นาน นางแทบจะเปล่งเสียงออกมาไม่ออก “หยินหยู”
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนแก่ที่ช่วยชีวิตนางไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งนั้นคล้ายกับหยินหยูที่เป็นชายหนุ่ม?
“หึหึมันรู้สึกดีกับเจ้า ใช่ไหม?”
กู้ไทซูถากถาง
ลู่จือยี่กัดฟันตอบ
“ไม่…ไม่นะ”
“หึเจ้าไม่ต้องปิดบัง ข้าเห็นเจ้าที่กระโจมเทพสวรรค์!”
กู้ไทซูยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ข้าคงไม่ว่าอะไรเจ้าเจ้างดงาม ส่วนมันคือคนจากดินแดนบ้านนอก ช่วยไม่ได้ที่คนอย่างมันจะเกิดความรู้สึกกับเจ้า”
เมื่อได้ฟังลู่จือยี่สบายใจขึ้นมาบ้าง
“พี่กู้คิดว่าผู้เฒ่าตำหนักชิงวิญญาณจะปล่อยเขาไปหรือไม่? จือยี่ยอมถ้าต้องขอร้องเขาเอง!” ลู่จือยี่หัวใจโศกเศร้า
แต่กู้ไทซูสีหน้าเปลี่ยนไป
“ข้ากำลังจัดการไอ้โง่นั่นข้าต้องคิดวิธีทำอะไรหยินหยูด้วย? นี่เป็นโอกาสหาได้ยาก ทำไมข้าจะปล่อยให้พวกมันง่าย ๆ ?”
“พี่หมายความว่ายังไง…”
ลู่จือยี่่ถาม
กู้ไทซูหั้วเราะอย่างเย็นชา
“เจ้าประเมินมดปลวกจากดินแดนบ้านนอกต่ำไปมันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่อสูรมณียังทำอะไรมันไม่ได้เลย! เจ้าผู้เฒ่าจากตำหนักชิงวิญญาณก็ไม่มีภัยสำหรับมัน มันจะไม่ได้แม้แต่รอยข่วน!”
“อะไรนะ?เขา…เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยรึ?”
บใบหน้าของลู่จือยี่นั้นประเมินค่ามิได้ความหวาดกลัวบนใบหน้าหลอมรวมกับความดีใจ แต่ไม่นานนางก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ตั้งใจส่งพวกตำหนักชิงวิญญาณไปตายงั้นหรือ?”
กู้ไทซูย่อมต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว
“ให้พวกมันถ่วงเวลาหยินหยูแน่นอน มันคือการซื้อเวลาให้ข้าด้วย”
ลู่จือยี่ถาม
“ซื้อเวลาเพื่อที่จะหนีหรือ?”
“หนีเรอะ?ไม่จำเป็น กว่าที่พวกมันจะมาถึงที่นี่ก็ไม่มีใครมีพลังมากพอจะทำอะไรข้าได้แล้ว”
กู้ไทซูพูดด้วยความมั่นใจ
“อย่างอย่างนั้นที่ซื้อเวลาก็หมายความว่า…”
ลู่จือยี่มองตากู้ไทซูอย่างไม่สบายใจ
กู้ไทซูมองผ่านลู่จือยี่ไปยังกงซุนหวูซื่อที่โดนมัดเขาแสยะยิ้ม
“ข้าจะซื้อเวลาเพื่อมอบของขวัญที่มันไม่มีวันลืมยังไงล่ะ!”
“พี่กู้พี่…พี่จะฆ่ากงซุนหวูซื่อรึ?” ลู่จือยี่อุทานด้วยคตวามตกใจ
“พี่ทำไม่ได้นะ!นางมีตำแหน่งสำคัญ! ถ้าฆ่านาง แม้แต่ราชาเขตกลางก็อาจจะไม่เสี่ยงมาช่วยพวกเรา”
นางหัวใจเต้นเร็วอย่างคุมไม่อยู่นางกังวลใจถึงที่สุด
เพื่อกู้ไทซูนางต้องออกจากตำหนักเมฆาม่วงโดยไม่เหลียวมองกลับเพื่อติดตามเขา ตลอดการเดินทาง นางไม่ได้สังหารใครแม้สักคนเดียว นางไม่คิดจะทำร้ายกงซุนหวูซื่อ กงซุนหวูซื่อเป็นคนสำคัญกับซือหยู ถ้าหากข่าวลือเป็นเรื่องจริง ทั้งสองสนิทกันมาก บางคนยังกล่าวว่ากงซุนหวูซื่อกลายเป็นสตรีของซือหยูไปแล้ว
ถ้าหากกงซุนหวูซื่อตายหยินหยูจะต้องเกลียดชังนางแน่นอน
“ทำไมเจ้าคิดว่าข้าต้องฆ่านางด้วยเล่า?”
กู้ไทซูมองกงซุนหวูซื่อด้วยดวงตาดุร้าย
“จะทำให้มันไม่ลืมไม่ต้องใช้การฆ่าเสมอไป”
ลู่จือยี่ใจหายใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า
“พี่กู้คิดจะ…”
สิ่งที่ทำให้ซือหยูเจ็บปวดอย่างไม่มีวันลืมในโลกใบนี้คงไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดไปกว่าผู้หญิงของตนเองถูกศัตรูทำให้มัวหมองอีกแล้ว
ในใจกู้ไทซูมีแต่ความคิดชั่วร้ายลู่จือยี่มองเขาอย่างไม่มั่นใจ เขาคือชายคนเดียวกับที่นางเคยหมายตาในครั้งแรกที่ตำหนักเมฆาม่วงหรือ?
บุรุษอันมีคุณธรรมตระการตา ที่ทั้งห่วงใยและรักนางจนถึงตอนนี้ เขาถูกความชั่วช้ากลืนกินจนเป็นแบบนี้แล้วหรือ?
นางหวาดกลัวการเปลี่ยนไปของกู้ไทซูนางต้องทำใจให้เชื่อว่าเขามีเหตุผลของตัวเอง
แต่นางมิอาจรับมันได้อีกแล้วในตอนนี้ภาพกู้ไทซูที่นางรักในใจเริ่มสั่นคลอน
“อย่าพูดให้มันดูน่าเกลียดนักอารมณ์ขึ้นลงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลง ข้าจะได้กลายเป็นจ้าวผาบั่นภูติ และข้าจะได้รวมผาบั่นภูติกับเขตกลางเข้าด้วยกัน! ข้าได้ภรรยา ท่านราชาได้พันธมิตร ส่วนหยินหยู มันจะได้ความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืม มันคือการซัดวิหคสามตัวด้วยหินก้อนเดียว!”
บอกได้เลยว่าเขาวางแผนเรื่องนี้มานานมากแล้ว
ลู่จือยี่ใจสั่นอีกครั้งเขาตั้งใจจะแต่งงานกับกงซุนหวูซื่อและให้นางเป็นภรรยา!
“พี่กู้เรื่องนี้จะทำให้จ้าวผาบั่นภูติโกรธแค้นแต่เพียงเท่านั้น”
ลู่จือยี่พูดอย่างมีเหตุผล
กู้ไทซูยิ้มเพราะรู้อยู่แล้วเขาหยิบเอาม้วนคัมภีร์ที่ขาดและโอสถสีชมพูออกมา
“โอสถหัวใจสวรรค์!!”
ลู่จือยี่ชักสีหน้านางตัวสั่นด้วยความกลัว
“พี่กู้คิดจะทำแบบนี้รึ!!” เขาได้โอสถนี้มาจากซากโบราณหากใช้กับโอสถหัวใจสวรรค์ ม้วนคัมภีร์จะทำการเปลี่ยนดวงวิญญาณและความทรงจำในดวงวิญญาณ
“ข้าจะเปลี่ยนความทรงจำของนางต่อหยินหยูเป็นความทรงจำต่อข้าเจ้าคิดว่าแผนจะไม่สำเร็จหรือ?”
กู้ไทซูพูดด้วยความสุขนี่คือการเอาชนะหัวใจของสตรีที่เป็นของซือหยู! จะมีความทรมานใดที่หลอกหลอนบุรุษได้ชั่วชีวิตเช่นนี้!
“พี่ทำไม่ได้นะ!”
ลู่จือยี่ตะโกนนางเข้าขวางกู้ไทซูด้วยใบหน้าหนักแน่น
“ถ้ายังเป็นพี่กู้ของข้าอยู่จงอย่าทำตามแผนนี้ต่อไปเลย โปรดหยุดให้เหตุผลที่ข้าจะเสียความศรัทธาในตัวพี่สักทีเถอะ”
กู้ไทซูใบหน้าแข็งกร้าว
“เจ้ากล้าขวางข้างั้นเรอะ?”
“ข้ามีแต่ความหวังดีกับพี่นะ!” ลู่จือยี่ยืนยัน
กู้ไทซูใบหน้าเย็นชานี่เป็นครั้งแรกที่ลู่จือยี่เข้ามาขวางเขา!
“ถ้าเจ้าไม่มีข้าเจ้าก็ยังไม่อยู่รอดบนโลกใบนี้ อย่าได้ลืมว่าเจ้าก็เป็นทรราชย์ของตำหนักเมฆาม่วงเหมือนกัน! พวกมันไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
“ข้าอาจทรยศแต่อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่คนไร้ยางอาย เราต้องใช้ชีวิตด้วยคุณธรรมบ้างสิ”
ลู่จือยี่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ต่อเขา และต่อกงซุนหวูซื่อที่ไม่แม้แต่รู้จักนาง
หรือเพราะว่ามันจะทำให้กู้ไทซูโกรธรึ?ไม่เลย กลับตรงกันข้าม
“ข้าจะพูดอีกครั้งอย่าขวางทางข้า! เหลือเวลาไม่มากแล้ว อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า!”
กู้ไทซูกล่าวอย่างเยือกเย็น
ลู่จือยี่ถอยช้าๆ อย่างหนักใจ แม้ว่าจะกลัว นางก็ยังดื้อดึงพยายามที่จะปกป้องกงซุนหวูซื่อ
“พี่อย่าทำแบบนี้เลย ถึงเวลาที่จะกลับไปรายงา…”
“ไปให้พ้น!”
กู้ไทซูตะโกนเขาไม่พอใจกับความดื้อด้านของลู่จือยี่ ในสายตาของเขา ลู่จือยี่คือสิ่งที่เขาครอบครองและยังคงครองความบริสุทธิ์ไว้เพื่อเขา
การต่อต้านที่รับไม่ได้นี้คือการที่นางปล่อยให้ความรู้สึกเข้าครอบงำเขาโกรธมาก
กู้ไทซูโกรธจัดจนระเบิดพลังส่งลู่จือยี่ให้กระเด็นไปด้านหลัง
ระหว่างที่กระเด็นลู่จือยี่ชักกระบี่ชี้ไปที่พื้น นางเปลี่ยนทิศคว้าตัวกงซุนหวูซื่อและยืมแรงมาเสริมเพื่อบิน นางกำลังจะหนีไปกับกงซุนหวูซื่อ
“ขอโทษด้วยพี่กู้ที่รัก แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้พี่ทำเรื่องชั่วช้าอีกแล้ว” ลู่จือยี่รีบหนีโดยไม่หันกลับนางข่มความไม่เต็มใจที่มีอยู่เต็มอก
กู้ไทซูโกรธแค้น
“ก็ได้ก็ได้ ก็ได้! แม้แต่เจ้าก็ทิ้งข้า! ลู่จือยี่ หากเจ้าจะทำเช่นนี้ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เมตตาเจ้า!”
กู้ไทซูหายใจเข้าลึกแสงสีม่วงอันทรงพลังพุ่งออกจากหน้าผากเขาไปยังท้องนภา
ใต้ลำแสงแข็งแกร่งลู่จือยี่มิอาจใช้พลังในร่างกายได้ นางตกลงมาพร้อมกับกรีดร้องเสียงดัง
แต่นางเตรียมตัวมาดีนางรักษาการทรงตัวและปรับร่างกายเพื่อรุดหน้าต่อไป
สิ่งเดียวที่นางกังวลก็คือ…นางจะต่อกรกับพลังของกู้ไทซูได้อย่างไร
เมื่อหนีได้ไม่ไกลนางสัมผัสได้ถึงสายลมรุนแรงจากด้านหลัง ลู่จือยี่ไม่แม้แต่หันมอง นางปัดพลังนั้นด้วยมือและวิ่งต่อไป
เมื่อพลังมาถึงมือโลหิตกระจายไปทั่วทุกแห่ง ลู่จือยี่กระอักเลือด นางล้มลงไปข้างหน้าอย่างหมดท่า
กู้ไทซูเข้ามาใกล้พร้อมแสยะยิ้ม
“นังผู้หญิงโง่!ตอนที่เจ้าฝึกฝน เจ้าพวกเมฆาม่วงบอกให้ข้าไม่แตะต้องเจ้า แทนที่จะสำนึก เจ้ากลับหักหลังข้า!”
“ถ้าเป็นแบบนี้ข้าก็ไม่สนใจแล้ว! วันนี้ ข้าจะทำให้เจ้ากับกงซุนหวูซื่อเป็นของข้า!”
กู้ไทซูคว้าตัวทั้งสอง
แต่ในตอนนั้นเองรอยแยกมิติฉีกออก วิหคไม้ตัวใหญ่บินออกมา เหนือวิหคไม้มีผู้เฒ่าที่ใบหน้าเฉลียวฉลาด
เขาโบกมือสตรีทั้งสองถูกดึงเข้ามาหาอ้อมแขนของเขาอย่างไม่ยากเย็น
กู้ไทซูตัวแข็งทื่อเมื่อถูกขวางทางเขาอุทานด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นผู้มาใหม่
“หยินหยู!เป็นเจ้าได้ยังไง? เจ้าไม่ได้…”
ผู้ที่มาคือซือหยูอย่างแน่นอน “ถูกหยุดและถูกผู้เฒ่าตำหนักชิงวิญญาณถ่วงเวลารึ?”
ซือหยูยิ้ม
“หึใช้คนที่ไม่รู้วิธีใช้พลัง กู้ไทซู เจ้าต่ำช้ายิ่งกว่าพวกมันเสียอีก”
��