The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1082 - จ้าวดินแดนมีดสวรรค
“เพลิงบาป!”
โลกสีม่วงทั้งใบเกิดเพลิงสีม่วงอันรุนแรงแต่เพลิงบาปก็ดับมอดลงทันทีที่เข้าใกล้ซือหยู
“สายฟ้าสวรรค์!”
สายฟ้าคำรามลั่นหูสายฟ้าแสงทองอันน่ากลัวฟาดลงมา แต่ทั้งสายก็หลบเลี่ยงจุดที่ซือหยูยืนอยู่
“เกิดใหม่!”
“ตาย!”
“กวาดล้าง!”
กู้ไทซูยังคงตะโกนเสียงดังต่อไปแต่เขาก็ต้องตกใจเพราะซือหยูไม่ได้รับกฎเกณฑ์ของโลกสีม่วงนี้เลย เขาไร้รอยข่วน ภายใต้การปกป้องของซือหยู แม้แต่หญิงสาวทั้งสองก็ปลอดภัย
“เจ้า…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?” กู้ไทซูหายใจเข้าลึกเขาตระหนักแล้วว่าเขายังรู้จักคนที่เขามองเป็นมดปลวกจากแดนไกลไม่ดีพอ
ซือหยูฟันกระบี่ไปด้านหลังเขาพูดอย่างใจเย็น
“ที่แดนมณีเจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ซ่อนพลังที่แท้จริงไว้หรอกนะ”
กู้ไทซูเบิกตากว้างในการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิกลืนอสูรและเซียนมณี ซือหยูแสดงพลังอันน่าประทับใจออกมามากมาย แต่เขายังเหลือไพ่ในมือเก็บเอาไว้อยู่อีก!
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ไทซูกังวลใจเมื่อเผชิญหน้ากับซือหยูราวกับว่าเขายืนอยู่หน้าหุบเหวลึก
“ถึงเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายจากฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมีพลังมากพอ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเจอจุดอ่อนของฎีกาสวรรค์ข้าหรอก!”
กู้ไทซูพูดอย่างเย็นชาคำอธิบายที่มีเหตุผลก็ซือหยูเจอจุดอ่อนของฎีกาสวรรค์ของเขา และซือหยูหาทางโต้กลับมันได้
ซือหยูโต้กลับอย่างเรียบเฉย
“จุดอ่อนรึ?ฮ่าฮ่า ทำไมเจ้าไม่ยอมรับว่าข้าหยุดฎีกาสวรรค์ของเจ้าได้เล่า?”
มีเพียงฎีกาสวรรค์ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะหยุดฎีกาสวรรค์ที่อ่อนแอกว่าได้!
“ตลกสิ้นดี!ยอดฝีมือมีอยู่เต็มจิวโจว แต่จะมีใครนอกจากข้าที่บรรลุฎีกาสวรรค์ได้? หยุดเรอะ? เจ้าน่ะเรอะ?”
กู้ไทซูนั้นมั่นใจมากในเรื่องของวิถีฎีกาสวรรค์ของตัวเอง
ซือหยูไม่คิดจะอธิบายพลังมากมายถาโถมออกมารอบกายเขา มันไร้คม ไร้ลักษณ์ แต่ทุกคนสัมผัสคลื่นพลังใหญ่ยักษ์จากดวงวิญญาณได้
โลกสีม่วงสั่นสะเทือนทันที
กู้ไทซูหยุดแสยะยิ้มต่อมา เขาสูดหายใจเข้าลึก “ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!!”
เป็นไปไม่ได้!มีคำเดียวดังก้องอยู่ในจิตใจของเขา ซือหยูเซี่ยนเป็นแค่แมลงน่าสงสารที่มาจากโลกแร้นแค้น! เขาบรรลุฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ได้ยังไง?!
กู้ไทซูบรรลุได้ก็เพราะว่าเขาเป็นผู้สืบสายเลือดพิเศษหรือว่าซือหยูจะมีสายเลือดคล้ายเขา?
“ไม่ใช่แค่ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์แต่เป็นฎีกาสวรรค์ที่ตรงข้ามกับเจ้า!”
ซือหยูมองไปยังสวรรค์ท่ามกลางท้องนภาสีม่วงอันว่างเปล่า เนตรยักษ์เบิกออก มือยักษ์หนึ่งข้างปิดบังทั้งท้องนภา ไม่ว่ามือยักษ์จะผ่านไปที่ใด โลกสีม่วงจะแตกสลายจนไม่เหลือสิ่งใดอยู่!
มือนี้คือหัตถ์สวรรค์เข้าทำลายทุกกฎเกณฑ์
นี่คือฎีกาสวรรค์ของซือหยู…มันคือการต่อต้าน!มันสามารถขจัดทุกสิ่งกีดขวาง!แม้แต่บัญชาสวรรค์ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น ฎีกาสวรรค์ของกู้ไทซูคือตัวแทนสวรรค์ และเส้นทางฎีกาของซือหยูคือการต่อต้านสวรรค์และโชคชะตา ทั้งสองมีพลังตรงข้ามกัน พลังของกู้ไทซูอาจจะเหนือกว่าคนอื่น แต่มันไม่มีผลกับซือหยู
หัตถ์และเนตรปกคลุมท้องนภามันน่าตกใจและน่าขนลุก ราวกับพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ที่มิอาจแตะต้องที่ปิดบังพลังทำลายล้างเอาไว้
เมื่อพูดจบดวงตาสดใสของซือหยูเหลือเพียงความเยือกเย็น กระบี่สีเงินในมือซัดท้องนภาด้วยพลังที่สามารถทำลายทุกสิ่งบนโลก
กระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง
ใบหน้ากู้ไทซูหมองหม่นด้วยความกลัวเขาไม่มีแม้แต่เวลาจะฟื้นฟูแขนทั้งสองข้างก่อนจะหนีไป
แต่ในตอนนั้นเองตาซ้ายของซือหยูเปล่งแสงสีม่วง เขาพูดเพียงคำเดียว “หยุด!”
กู้ไทซูหยุดอยู่ในห้วงเวลาทันทีเขาขยับกล้ามเนื้อไม่ได้เลย แสงสีเงินจากกระบี่แล่นผ่านเขา กู้ไทซูถูกหั่นเป็นสองท่อนจากแสงสีเงิน!
เงาวิญญาณหนีออกจากร่างที่ขาดสะบั้นวิญญาณออกมาด้วยความกลัวและความชิงชังถึงที่สุด แต่ก่อนที่เขาจะได้หนีไปไกล แสงสีแดงก็เปล่งประกายมาจากด้านหลัง เขาถูกพลังมิติปกคลุมกายและถูกลากกลับไปที่ด้านหลัง
ซือหยูพร้อมทำลายทั้งร่างกายและดวงวิญญาณของกู้ไทซู!
แต่เมื่อกู้ไทซูถูกพากลับมาเสียงถอนหายใจแรงราวกับสายฟ้าก็ดังมาจากท้องนภาเบื้องบน แรงสั่นสะเทือนทำให้ซือหยูตัวสั่น
กงซุนหวูซื่อกับลู่จือยี่สัมผัสได้เช่นกันเลือดในกายพวกนางเดือดพล่านจนหน้าแดงก่ำ “เจ้าอายุเพียงเท่านี้แต่กลับมีจิตใจชั่วช้าไม่เพียงแต่จะทำลายร่างกาย แต่เจ้ายังตั้งใจจะทำลายดวงวิญญาณอีก!”
ฟึ่บ!
เมื่อเสียงนั้นหยุดมือข้างหนึ่งได้เข้ามาสะบั้นพลังมิติรอบวิญญาณกู้ไทซูเพื่อปลดปล่อยเขา
แม้ว่าความตายจะมาถึงเขาแต่ดูเหมือนว่ากู้ไทซูจะยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เขาโกรธแค้นมากเมื่อเหลือแต่ดวงวิญญาณ
“ทำไมเจ้าเพิ่งออกมาตอนนี้!”
วาบ!
ชายวัยกลางคนร่างท้วมเดินออกมาจากรอยแยกมิติเขาไม่ได้โกรธแต่ดูยิ่งใหญ่มีเกียรติ เขามีท่าทางของคนที่เป็นผู้นำมานาน
เขาเหลือบมองกู้ไทซู
“ข้าแค่ทำตามคำสั่งให้ช่วยชีวิตเจ้าข้าไม่ใช่องครักษ์ของเจ้า”
“นี่เจ้า…ก็ได้!ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว! แค่ฆ่าคนที่นี่ก็พอ! มันมีภัยกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้”
กู้ไทซูชี้ซือหยูด้วยความเกลียดชังจากก้นบึ้งของดวงวิญญาณเขาหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาตายไปแล้วครั้งหนึ่งเขาจะไม่ปฏิเสธความน่าสะพรึงกลัวของซือหยูอีกแล้ว
ชายร่างท้วมมองซือหยูด้วยความใจเย็นเขาเชิดคางเล็กน้อย
“สมกับที่เป็นอาชญากรที่ราชาของข้าต้องการข้าเห็นว่าเจ้ามีความสามารถ”
แสงสีม่วงและแดงที่ดวงตาซือหยูสลายไปเขามองชายคนนั้นและดูไม่แปลกใจกับรูปลักษณ์
“กู้ไทซูสำคัญกับราชาเขตกลางจริงๆ ด้วย…”
“จ้าวดินแดนมีดสวรรค์ถึงกับถูกสั่งให้คอยดูแลเขาฮ่าฮ่า…”
ชายผู้นี้แข็งแกร่งเกินกว่าบุรุษเมฆาม่วงอย่างมากในด้านฐานพลังแม้แต่จักรพรรดิโลหิตกับองครักษ์แสงกระจ่างก็เทียบไม่ติด!
จากสัญชาตญาณเขาเกรงว่าม่อเทียนฉวนจะเป็นอสูรเนรมิตรแค่คนเดียวที่สามารถรับมือกับเขาได้ ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่าย
คนที่มีพลังระดับนี้ต้องเป็นคนระดับสูงแน่นอนและคนที่ถูกสั่งให้มาช่วยกู้ไทซูก็ย่อมต้องเป็นคนที่คอยรับใช้ราชาเขตกลาง
คนที่จะมาช่วยกู้ไทซูได้ในเวลานี้มีเพียงแค่จ้าวดินแดนมีดสวรรค์เท่านั้นเพราะอาณาเขตของเขาติดกับเมืองเทียนหยา!
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์!!ลู่จือยี่ตกใจมาก นางหน้าซีดในทันที นางเข้าใจแล้วว่าทำไมกู้ไทซูถึงพูดว่าไม่มีใครทำอะไรเขาได้ที่นี่! เหตุผลก็เพราะว่ามีจ้าวดินแดนที่แข็งแกร่งพร้อมจะมาช่วยชีวิตเขา!!
“ฉลาดมาก”
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์ชมอย่างไร้อารมณ์เขามองซือหยูราวกับมองมดปลวก “เอาล่ะมากับข้า ราชาของข้าต้องการเจอเจ้า”
จ้าวดินแดนพูดอย่างไร้อารมณ์เขามองกงซุนหวูซื่อและลู่จือยี่ด้วยหางตา
“ส่วนเจ้าสองคน…ก็แค่ขยะไร้ค่า”
เมื่อพูดจบเขาโบกมือ พลังยิ่งใหญ่ของอสูรเนรมิตรกระแทกลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แม้แต่ซือหยูก็ใจสั่นในความรู้สึกที่ได้รับ
อย่างที่คิดจ้าวดินแดนมีดสวรรค์นั้นไม่เหมือนกับอสูรเนรมิตรทั่วไปเลย!
นอกจากม่อเทียนฉวนก็ไม่มีอสูรเนรมิตรคนใดที่ทำให้ซือหยูรู้สึกเช่นนี้ได้แล้ว
วิหคไม้ใต้เท้าซือหยูเริ่มขยับมันโอบรัดหญิงสาวไว้ในแต่ละปีกและหายไปในความว่างเปล่า
“เอ๋สมบัตินำทางฟ้ารึ?”
การโจมตีของเขาเสียแรงเปล่าจ้าวดินแดนมีดสวรรค์พูดด้วยความแปลกใจเล็กน้อยไม่นานเขาก็หัวเราะและส่ายหน้า
“เขาประเมินพลังของเจ้าเด็กนั่นต่ำไป”
เขาไม่ไล่ตามซือหยูเพียงแค่ยื่นดัชนีขวาแตะทิศทางที่ซือหยูหายไป
จากนั้นมิได้ในระยะหลายล้านลี้ได้แยกออก วิหคไม้หล่นลงมา
ซือหยูชักสีหน้าการใช้สมบัตินำทางฟ้าต่อหน้าอสูรเนรมิตรนั้นไม่มีผล
แม้กระนั้นซือหยูก็ไม่ได้ดูกระวนกระวายนัก เขาดูใจเย็นไม่รีบร้อนราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าจะหนีไม่พ้น
��