The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1153 - เจอเทพไม้อีกครั้ง
ซือหยูถามหาข้อมูลทันทที
“คนตระกูลบูรพาเหลืออีกเท่าใดหรือ?”
เซียนดำสีหน้าหม่นหมองใบหน้านางโศกเศร้า
“แค่ไม่กี่พันคนเท่านั้น”
แม้ว่าจะมีคนราวหมื่นที่หนีผ่านประตูมิติไปได้มากกว่าครึ่งก็ตายเพราะพลังเทพอสูรที่มากเกินไป สุดท้ายก็เหลือรอดเพียงไม่กี่พันคน
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องกังวลโปรดรวบรวมคนที่เหลือเพื่อเตรียมหนีจากจิวโจวกับข้าในอีกไม่กี่วัน ข้าเชื่อว่าด้วยระยะที่ห่างกว่าเดิม ผลของคำสาปจะอ่อนแอลงด้วย”
“ท่านจะดูแลตระกูลให้เติบโตต่อไปได้ตระกูลบูรพาจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง”
สองผู้เฒ่าตกใจและดีใจที่ซือหยูเต็มใจจะพาพวกนางไปด้วย “แล้ว…แล้วตระกูลบูรพาจะตอบแทนพระคุณเจ้าอย่างไรเล่า?”
เซียนขาวมองตงฟางอวี่ที่เงียบกริบนางถอนหายใจเงียบ ๆ
นางยังคงมีโอกาสที่จะได้แต่งงานกับซือหยูในก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้ อวี่เอ๋อจะคู่ควรกับเขาอยู่หรือ? เขาเป็นบุรุษที่มีครอบครัว เขาแต่งงานแล้ว มันยิ่งทำให้โอกาสน้อยลงภเข้าไปอีก
เซียนขาวมองภูเขาห้าธาตุที่ด้านหลังเซียนดำเองก็เช่นกัน
ทั้งสองเหลือบมองกันและพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าทั้งสองจะศึกษาภูเขามาหลายปี ทั้งสองก็ไม่เคยไปถึงใต้ท้องเขาในสุดได้ พลังห้าธาตุเองก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดกับพวกนางแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าซือหยูจะได้ประโยชน์มากโขจากการบ่มเพาะในภูเขา
ทั้งสองต้องตัดสินใจร่วมกันมันคือของขวัญที่เหมาะที่สุดที่จะมอบให้ซือหยูได้ “ซือหยูตระกูลบูรพาไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากภูเขาห้าธาตุ แต่มันเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเจ้า พวกข้าในนามแห่งตระกูลบูรพาขอมอบภูเขาลูกนี้ให้เจ้าเป็นของขวัญ หวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธ”
แน่นอนว่าซือหยูย่อมไม่ปฏิเสธ!ภูเขาห้าธาตุไร้ประโยชน์กับพวกนาง แต่มันประเมินค่าไม่ได้สำหรับเขา!
หลังจากพูดปฏิเสธอย่างไม่จริงใจซือหยูก็รับภูเขาห้าธาตุมาครอง เขาพอใจมาก
แม้ภูเขานี้จะย่อขนาดไม่ได้มันก็เก็บไว้ในมุกวิญญาณเก้าหยกได้ ดังนั้นเขาจะไม่มีปัญหา
เมื่อเห็นซือหยูเก็บภูเขาเซียนขาวดำตกตะลึง ภูเขาลูกนี้มิอาจเก็บได้โดยที่เก็บของใด ไม่แม้แต่พื้นที่ที่สร้างจากเซียน
“ชายคนนี้มีโลกใบเล็กเป็นของตัวเองแล้วเขาจะต้องการสมบัติใดอีก? ข้าเกรงว่าการรับภูเขาห้าธาตุของเขาก็เป็นเพียงการถนอมน้ำใจเท่านั้น” ทั้งสองหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อนึกถึงตอนที่ซือหยูปฏิเสธดูเหมือนว่าซือหยูจะไม่อยากได้มันจริง ๆ…
เขาตกลงกับตระกูลบูรพาเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาซือหยูต้องไปหาจ้าวผาบั่นภูติและชาวเผ่าไม้
หลังจากครุ่นคิดซือหยูใช้ประตูมิติเทวะและย้ายไปยังดินแดนเหนือสุด
ที่หน้าผาทะยานเหนือเมฆาซือหยูพบจ้าวผาบั่นภูติที่กำลังฟื้นพลัง
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำสำเร็จการค้าขายของข้าไม่ได้ขาดทุนซะแล้ว”
จ้าวผาบั่นภูติหัวเราะ
ซือหยูย่อมมาทำตามสัญญา
ตอนที่ซือหยูคิดถึงเรื่องคนที่จะมาช่วยแก้วิบัติของเขาจ้าวผาบั่นภูติคือคนแรกที่เขานึกได้
ถ้าหากไม่มีราชาในเงามืดผู้นี้รับมือกับราชาเขตกลางไว้ห้าวันประวัติศาสตร์คงจะต้องเขียนใหม่
“ในหกวันมาที่ซากเมืองเขตกลาง ขึ้นเรือ แล้วออกเดินทางกัน”
จ้าวผาบั่นภูติตื่นเต้นในแววตาเขาถอนหายใจ
“ในที่สุดข้าก็ได้ออกจากจิวโจว”
ซือหยูแอบเห็นควาามชิงชังในจ้าวผาบั่นภูติ
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มาจิวโจวด้วยความตั้งใจทั่วไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซือหยูพูด
จ้าวผาบั่นภูติเรียกเขา
“ช้าก่อน!ข้าพาหวูซื่อกลับมาแล้ว เจ้าอยากเจอนางหรือไม่?”
อสูรน้อยรึ?ซือหยูยิ้มอย่างอ่อนโยน
“นางกลับมาจากป่าปีศาจร้างแล้วหรือ?นางไม่ได้โกรธข้าใช่ไหม?” เขาทิ้งอสูรน้อยไว้ในป่าปีศาจร้างและบอกนางว่าเขาจะกลับมาหลังจากเสร็จธุระใครจะไปคิดเล่าว่าเขาจะออกมานานเช่นนี้?
เขาเกือบจะลืมนางไปแล้วด้วยอารมณ์ร้อนของอสูรน้อย นางจะต้องกัดฟันด้วยความโมโหอยู่แน่
“เอิ่ม…นางใช่แล้ว นางแค่สลักชื่อเจ้าไว้บนแผ่นหิน และสวดอธิษฐานทุกวัน ใช่แล้ว นางจะต้องสวดอธิษฐานแน่นอน”
จ้าวผาบั่นภูติฝืนยิ้ม
ซือหยูริมฝีปากบิดเบี้ยว
“นางกำลังสาปแช่งข้าไม่ใช่หรือ?”
ซือหยูหัวเราะและคิดครู่หนึ่งก่อนจะเรียกไม้เท้าเซียนมณีออกมามันมีรอยแตกมากมายและจะใช้ได้อีกเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะพัง
“นี่คือไม้เท้าเซียนมณีที่ข้าเคยสัญญาว่าจะให้หวูซื่อหวังว่ามันจะช่วยนางจากหญ้าวิญญาณอมตะได้”
จ้าวผาบั่นภูติตาลุกวาวและรับไม้เท้าเอาไว้ด้วยควมขอบคุณ
“ขอบคุณเจ้ามากหวังว่ามันจะช่วยลูกข้าได้”
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหญ้าวิญญาณอมตะไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ได้ด้วยสมบัติภูติเช่นนี้?แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลอง
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซือหยูฉีกมิติและจากไป
ต่อมาซือหยูมาถึงป่าปีศาจร้าง เขาตรงไปยังหุบเขาลึกข้างใน
หยินมู่รีบออกมาทันทีเขากังวลว่าจะเป็นการรุกรานจากภายนอก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นซือหยูเขาก็อุทาน
“เจ้าเป็นเซียนขั้นสูงสุดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?ดีจริง ๆ ดีเหลือเกิน!”
ท่าทางที่เขารีบเดินเข้ามานั้นทำให้ใบหน้าแข็งทื่อของเผ่าไม้ดูน่าขัน
ป่าปีศาจร้างไม่ได้ข่าวคราวจากโลกภายนอกหยินมู่จึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง “ข้าอยากจะพบเทพไม้และลองดูว่าพลังของข้าในตอนนี้ช่วยนางได้หรือไม่…”
ซือหยูพูดคราวที่แล้ว เขาเป็นเพียงภูติไร้พลัง และเมื่อเขาเป็นเซียนขั้นสูงสุด เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะนำหอกยาวที่ทะลวงเทพไม้ออกมาได้หรือไม่
หยินมู่พยักหน้าด้วยความยินดี
เขามาที่บ่อลาวาใต้ดินอีกครั้งต้นไม้อ่อนสีทองเติบโตท่ามลางลาวา
การมาของซือหยูทำให้เสี้ยววิญญาณของเทพไม้ไปอยู่ที่ต้นไม้เล็กทันทีแต่จากที่ซือหยูรู้ มันควรจะเรียกว่าเสี้ยววิญญาณเทพที่เทพไม้ทิ้งเอาไว้มากกว่า
“เปิดขอบเขตเทพ…”
ซือหยูพูด
ต้นไม้อ่อนลืมตาเมื่อเห็นว่าเป็นซือหยู นางดีใจ
“ผ่านไปกี่ร้อยปีแล้วหรือ?หรือกี่พันปีกัน? เจ้าถึงได้มีพลังระดับนี้?” เมื่ออยู่ภายใต้การหลับใหลนางจึงไม่รู้เลยว่าเวลาไหลผ่านไปเท่าใดแล้ว
ซือหยูหัวเราะเบาๆ และไม่พูดอะไร เมื่อขอบเขตเทพเปิด เขาเข้าไปทันที
เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วหญิงสาวงดงามนั่งอยู่บนบัลลังก์ นางมีชุดบางสีหยกปกคลุมร่างกายอันบอบบาง และนางก็หลับอยู่อย่างสงบ
หอกยาวแทงทะลุท้องของนางหอกนี้เต็มไปด้วยพลังปีศาจอันเข้มข้น มันทะลวงท้องของนางไปถึงข้างหลัง
ด้วยสายตาของซือหยูในตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในกายของเทพไม้เต็มไปด้วยพลังของหอก โชคดีที่จิตวิญญาณเทพในร่างกายนางได้สร้างพลังเทพออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับพลังของหอก
พลังหอกเป็นพลังระดับเทพทรายดาราทางช้างเผือกที่ไร้จิตวิญญาณสมบัติทำได้แค่ปล่อยพลังหนึ่งในสิบออกมา มันมิอาจดูดซับพลังจากหอกได้ นางทำได้แค่หวังพลังจากภายนอกเพื่อดึงหอกออกไป
ซือหยูก้าวไปข้างหน้าคว้าหอกยาวพลังในหอกเริ่มไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของซือหยู
ซือหยูไม่กล้าประมาทเขารวบรมพลังเซียนและป้องกันตัวเองจากพลังข้างในห้อง แต่เขาก็แทบป้องกันไม่ได้ เขาจะทนได้อีกไม่นาน!
ซือหยูจับหอกไว้แน่นเขาปล่อยพลังดึงมันออกมาทันที
ฉั่วะ!
หอกส่วนหนึ่งถูกดึงออกมา
หอกที่เคยทะลุร่างเทพไม้ถูกดึงออกมาจนปลายหอกอยู่ในท้องของางแล้ว
จิตวิญญาณเทพไม้ดีใจและตกใจมาก
“มันออกมาแล้วมันออกมาแล้ว!”
ซือหยูไม่พูดอะไรเขารู้สึกราวกับว่ากำลังให้กำเนิดทารก! แต่เมื่อซือหยูพยายามดึงอีกครั้งหอกยาวกลับไม่ขยับเขยื้อน มันไม่ถอยออกมาอีกแล้ว
“เจ้าหนู…ไม่เจอกันนานนะ”
จู่ๆ เสียงก็ดังออกมาจากร่างของหญิงสาว นางยังคงอยู่ในสภาวะหลับใหล แต่นางสามารถพูดได้
เทพไม้ตื่นขึ้นแล้ว!
เทียบกับการพูดของนางครั้งที่แล้วนางในครั้งนี้พูดได้อย่างไม่ติดขัด ดูเหมือนว่าสติของนางจะตื่นขึ้นมามากกว่าเดิม!
ขนตานางขยับเล็กน้อยดวงตาที่หลับสนิทมาหลายยุคสมัยลืมขึ้นช้า ๆ
ดวงตาสีหยกงดงามมีพลังชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อเพียงแค่มองตาคู่นั้นก็ขับไล่เมฆาครึ้มในหัวใจออกจนหมด
ซือหยูรู้ว่านี่คือพลังแห่งวิถีเทพตามธรรมชาติของเทพมันสามารถส่งผลต่อคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงลงมือป้องกันพื้นที่รอบ ๆ ด้วยพลังเซียนทันที “ในที่สุดข้าก็ได้เห็นเจ้าหนุ่มน้อย”
หญิงสาวพูดช้าๆ เสียงของนางไพเราะน่าฟังราวกับขลุ่ยอันปราณีต
นางมองซือหยูด้วยดวงตาสดใสงดงามนางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“หน้าตาเจ้าเป็นเช่นนี้เองครั้งที่แล้ว ตอนที่ข้าตื่น ข้าสัมผัสสิ่งรอบข้างแทบไม่ได้”
“พอข้าหลับไปอีกครั้งข้าก็เอาแต่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นใด เจ้ามาจากเผ่าพันธุ์ไหน เจ้าจะมีรูปลักษณ์อย่างไร”
ซือหยูไม่กล้ามองตานางเขาพูดอย่างไร้อารมณ์
“ขออภัยที่ทำให้ท่านผิดหวังเทพไม้”
“ไม่เลยจากสายตาของเททพ เจ้ามีความงดงาม ข้าชอบมาก”
เทพไม้ไม่สงวนคำชม
ซือหยูเขินอายเล็กน้อยที่เทพไม้พูดอย่างตรงไปตรงมาเขาพูด “ทวีปกำลังจะเคลื่อนย้ายจิวโจวกำลังจะรกร้าง”
“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกท่านว่าในอีกหกวันข้าจะพาท่านกับคนของท่านขึ้นเรือไปยังโลกใบอื่น หนีจากที่นี่ หากพวกท่านเต็มไปจะไป”
เทพไม้ลูบแก้มของนางและพูด
“อย่างนั้นเองหรือตอนที่ข้าหลับ ข้าสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังเคลื่อนย้ายจิวโจว ทั้งแผ่นดินกำลังจะเคลื่อนย้ายนี่เอง ถ้าเช่นนั้น อีกไม่นานข้าก็ไร้บ้านแล้วสิ?”
เมื่อนางพูดดวงตางดงามน่าหลงใหลของนางจ้องมองซือหยูเป็นประกาย
พูดตามตรงสิ่งสุดท้ายที่ซือหยูอยากจะทำก็คือพาเทพไม้ไปยังมุกวิญญาณเก้าหยก
ด้วยสัมผัสของเทพไม้ดินเพาะบ่มชั้นสูงย่อมไม่เล็ดรอดสายตานาง และนางเองก็เป็นเทพไม้ ดินเพาะบ่มชั้นสูงย่อมเป็นสิ่งที่นางถวิลหา
เขามิอาจรับประกันได้ว่านางจะไม่ทำล้ำเส้นอย่างเช่นยึดมุกวิญญาณเก้าหยกเป็นของตนเอง
นางเป็นเทพนางคงไม่ไร้ยางอายขนาดนั้นใช่ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้นหอกในท้องของนางยังถูกดึงออกมาไม่หมด นางไม่น่าจะทำเช่นนั้น
“เอิ่ม…ข้ามีโลกใบเล็กอยู่กับตัวแต่ข้าไม่แน่ใจว่าท่านเทพไม้กับคนของท่านจะยินดีเข้าไปหรือไม่…”
“ข้ายินดี!”
เทพไม้ตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยนางยิ้ม
“ไม่ว่าเจ้าจะพาข้าไปไหนข้าก็จะไปที่นั่น!”
ซือหยูหยุดคำพูดที่ปลายลิ้นเมื่อมองเทพไม้ที่ไม่ได้อ่อนน้อมและแสดงมารยาทสัญชาตญาณบอกเขาว่าเทพไม้คนนี้มีนิสัยใจคอไม่เข้ากับรูปลักษณ์ของนาง
“ย่อมได้แต่โลกใยเล็กของข้าไม่ใหญ่นักข้าเกรงว่ามันจะรับคนได้ไม่มาก และร่างจริงของท่านก็…”
“ไม่มีปัญหา!”
เทพไม้โบกมือเล็กๆ ของนาง ถ้าหากนางไม่ได้ติดอยู่กับบัลลังก์ นางคงจะยืนขึ้นและเริ่มสั่งไปแล้ว
“พวกเราสนิทกันนี่!ปล่อยเรื่องเล็กน้อยให้ข้าจัดการเอง ขอเวลาข้าสักหน่อย”
เราไม่ได้สนิทกัน!