The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1165 - แลกตัวประกัน
แต่ซือหยูก็เพียงอยู่ที่ประตูมิติตรงหน้าเขาไม่คิดจะไปที่โลกวารีเลย
ในตอนนั้นซือหยูส่งข้อความไปยังหยกสื่อสารอีกครั้ง
“มาแลกตัวประกันในที่แรกกันเถอะ!”
ขณะนั้นเองในเมืองนางเงือกแห่งโลกวารี…
จางยี่หมิงที่โกรธแค้นกำหยกสื่อสารในมือแน่น
เขาอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนเต็มระหว่างนั้น เขาได้วางกับดักทั้งหมดในจุดนัดพบแต่ก็ถูกขอให้กลับไปยังจุดนัดเดิม
จางยี่หมิงรู้ตัวว่าเขาถูกหลอกเพราะซือหยูอยู่ในโลกของเทพปี่ตลอดเวลา
เมื่อเขาเก็บกับดักที่วางเอาไว้ทั้งหมดซือหยูก็บอกให้เขากลับไป เช่นนี้ก็ยากสำหรับเขาที่จะวางกับดักอีกครั้ง “ไอ้เจ้าเล่ห์เอ้ย!”
จางยี่หมิงที่ร้อนใจต้องกลับไปในโลกของเทพปี่ตามลำพัง
ในภัตตาคารกว้างขวางจางยี่หมิงพบซือหยูนั่งดื่มเพียงลำพัง ดูเหมือนว่าซือหยูจะรอการมาของเขาอยู่
“โอ้?เจ้ามาแล้ว! หลังจากที่ข้าคิดให้ดี ข้าก็เห็นว่าที่นี่มีแต่ของสวย ๆ งาม ๆ ข้าเลยบอกให้เจ้ากลับมาอีกครั้ง ขออภัยที่ลำบาก!”
ซือหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
จางยี่หมิงนั่งลงและถามตรงๆ
“ข้ามาที่นี่คนเดียวกับดักทุกอย่างถูกเอาออกไปแล้ว นางอยู่ไหน? มาแลกตัวประกันที่นี่เลย!”
ซือหยูถามด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“เจ้าคิดจริงๆ รึว่าข้าจะพานางมาที่นี่ด้วย?”
“เจ้าหลอกเรา!” จางยี่หมิงยืนขึ้นด้วยความโมโห
หลังจากครุ่นคิดซือหยูพูด
“ถ้าเจ้าโยนของวิเศษในร่างกายเจ้าที่ได้มาจากเทพกระเรียนทิ้งไปข้าจะแลกตัวประกันกับเจ้าที่นี่!”
จางยี่หมิงตอบอย่างเคร่งเครียด
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงอะไร!ข้ามาที่นี่ด้วยความจริงใจ!”
“จริงใจรึ?ถ้าเจ้าจริงใจก็เปิดมิติเก็บของของเจ้าให้ข้าดูได้หรือไม่ ว่าเจ้ามีของวิเศษที่แข็งแกร่งจากเทพกระเรียนอยู่ไหม?”
เมื่อได้ฟังจางยี่หมิงนั่งลงอย่างหมดคำพูด
แผนของเขาคือการทำให้ซือหยูบาดเจ็บสาหัสด้วยสิ่งที่ได้มาจากเทพกระเรียนเมื่อเขามั่นใจว่าเหอเสี่ยวหลานอยู่ที่นี่
เพื่อประกันความปลอดภัยของเหอเสี่ยวหลานจางยี่หมิงไม่กล้าทำอะไรซือหยู
“บอกข้ามาว่าเจ้าจะจบการแลกเปลี่ยนนี้ยังไง!”
จางยี่หมิงถามอย่างหมดท่าเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อหน้าศัตรูที่เจ้าเล่ห์
ซือหยูตอบ
“ไม่ยาก!เจ้าให้เทพกิเลนข้ามา และข้าจะให้ของสิ่งหนึ่งกับเจ้า!”
ของรึ?จางยี่หมิงสงสัย
ซือหยูวางหยกสื่อสารบนโต๊ะและเปิดใช้งานจากนั้นเสียงร้องของเหอเสี่ยวหลานก็ดังออกมา
“เจ้าเป็นคนตระกูลเทพกระเรียนใช่ไหม?ช่วยข้าด้วย! ข้าติดอยู่ในที่มืด…”
“อุ้บ!อั่ก…”
เสียงดังเหมือนนางถูกใครบางคนปิดปากจากนั้นก็มีเสียงหยาบโลนดังออกมา
“เหะ!เหะ! นางตัวนุ่มนัก! พนันได้เลยว่านางจะต้องอร่อยมาก!”
จางยี่หมิงชักสีหน้าทันที “หยุดนะ!อย่าทำให้นางแปดเปื้อน!”
ถ้าหากเหอเสี่ยวหลานถูกกระทำมิดีมิร้ายชื่อเสียงตระกูลเทพกระเรียนจะไม่มีทางกอบกู้ได้ต่อให้นางถูกช่วยออกมา
จางยี่หมิงเข้าใจเทพปีศาจผิดเขาอยากจะกลืนกินดวงวิญญาณของเหอเสี่ยวหลานต่างหาก
“เจ้าต้องการอะไร?”
จางยี่หมิงถามด้วยความโมโหเขาเกือบจะเป็นบ้า
ซือหยูตอบ
“ข้าจะให้หยกสื่อสารกับเจ้าจากนั้นข้าจะไปจากที่นี่ เหอเสี่ยวหลานจะบอกเจ้าว่านางอยู่ที่ใด แล้วเจ้าก็จะได้เจอตัวนางเอง!”
จางยี่หมิงปฏิเสธทันที
“แล้วถ้าเจ้าฆ่านางตอนที่เราปล่อยเทพกิเลนเล่า?”
ซือหยูยักไหล่ “ข้ามีเหตุผลให้สังหารนางด้วยรึ?”
จางยี่หมิงครุ่นคิดซือหยูลักพาตัวเหอเสี่ยวหลานมาเพื่อช่วยเทพกิเลน
การสังหารเหอเสี่ยวหลานนั้นไร้ความหมายและนั่นจะทำให้ตระกูลเทพกระเรียนชิงชังเขามากกว่าเดิม
จางยี่หมิงพยักหน้าเขาต้องช่วยชีวิตเหอเสี่ยวหลานก่อน
เขาคิดในใจ
‘ไม่ว่าเจ้าจะฆ่าเหอเสี่ยวหลานหรือไม่เจ้าก็ท้าทายอำนาจตระกูลเทพกระเรียนและทำให้ทุกคนในตระกูลโกรธแค้นไปแล้ว! เจ้าจะต้องเจอกับความแค้นตั้งแต่คนธรรมดาในตระกูลจนถึง…เทพกระเรียน!’
เขาคิด
เราจะล้างโลกนี้ด้วยเลือดของคนบัดซบอย่างเจ้า!
นี่มิใช่เพียงแค่ความพิโรธของเทพกระเรียนแต่ยังเป็นความพิโรธของเทพร้อยคนในทั้งพันธมิตรอีกด้วย!
ฆ่าซือหยูเป็นเยี่ยงอย่างแก่พวกโง่เง่าเพื่อเกียรติยศของพันธมิตร!
ดังนั้นซือหยูต้องตาย!
จางยี่หมิงปล่อยเทพกิเลนจากกระเป๋ามิติที่เข็มขัดเทพกิเลนรีบพุ่งเข้าหาซือหยูด้วยน้ำตาอันขมขื่น
“เจ้าหนูข้าได้ยินว่าเจ้าช่วยข้าด้วยการลักพาตัวลูกหลานเทพ ขะ…ข้าประทับใจยิ่งนัก ข้าอยากจะร้องไห้ออกมาเลย! ข้ารักเจ้าเหลือเกิน…เฮ้ย! เฮ้ย! อย่าเพิ่งไป! ให้ข้าจุมพิตเจ้าก่อนสิ…โอ้ย! เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อน!”
ซือหยูกดเทพกิเลนลงบนโต๊ะด้วยดัชนีเดียวเขาพูดอย่างใจเย็น
“เอามันกลับไปข้าไม่ต้องการเทพกิเลนคนนี้!”
จางยี่หมิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ซือหยูวางหยกสื่อสารลงบนโต๊ะและออกจากภัตตาคารกับเทพกิเลนหลังจากเดินรอบที่นี่มาหลายครั้ง พวกเขาจึงออกไปที่อื่นเมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนติดตาม
จางยี่หมิงตะโกนในหยกสื่อสารอย่างกระวนกระวาย
“แม่นางเหอท่านอยู่ไหน?”
เหอเสี่ยวหลานร้องออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน
“ข้าไม่รู้!ที่นี่มืดไปหมด!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ยอดฝีมือมากมายในตระกูลเทพกระเรียนมาถึงหลังจากได้ข้อความของจางยี่หมิง
“ท่านรองหัวหน้าหน่วยเราจะตามเจ้านั่นไปให้ทันแล้วฆ่ามัน!”
จางยี่หมิงโบกมือห้าม
“เดี๋ยวก่อน!เรายังไม่รู้ว่าใครอยู่กับแม่นางเหอในตอนนี้ ถ้าทำให้ซือหยูไม่พอใจ แม่นางเหออาจถูกฆ่าได้ มันไม่คุ้มเสี่ยง!” “แล้วเราจะทำอย่างไรกันเล่า?”
“หาแม่นางเหอผ่านเบาะแสที่นางบอกส่วนเจ้านั่น…ฮื่ม! เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีไปได้เรอะ?”
หลายคนเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น่านข่าวก็แพร่กระจายออกไป
ในศูนย์การค้าชายแก่รายงานรายละเอียดเรื่องซือหยูกับหยางไท่ หยางไท่พูดด้วยความยอมรับ
“หึหึน่าสนุกนี่! อุบายนั่นคิดมาดี!”
หลายสำนักแสดงการสนับสนุนเทพกระเรียนโดยแสดงความชิงชังต่อซือหยู
“เจ้านั่นเจ้าเล่ห์นัก!ข้าขอให้เทพกระเรียนใจเย็นลงสักหน่อย ที่สำคัญกว่าคือ สุขภาพของเขากำลังจะแย่ลงกว่าเดิม!”
“หลายคนก็พูดเช่นนี้!ตระกูลเทพกระเรียนกำลังถูกไอ้คนป่ายุแยง!”
“ฮื่ม!เรื่องนี้จะต้องจบลง มิเช่นนั้นมันจะกลายเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายแก่คนในพันธมิตรลูกหลานเทพทุกคนจะเป็นอันตราย!”
คำพูดนี้เปิดเผยความขังแย้งระหว่างยอดฝีมือธรรมดาและตระกูลลูกหลานเทพ
ตระกูลเทพค่อนข้างเป็นกังวลแต่ยอดฝีมือทั่วไปนั้นรู้สึกยินดี
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ยอดฝีมือจากตระกูลยากจนจะกลายเป็นเทพเพราะตระกูลเทพมิอาจรับได้พวกเขาคือคนที่ควบคุมทรัพยากรที่ดีบนโลกใบนี้
ยอดฝีมือจากตระกูลยากจนบางคนถึงกับถูกตระกูลเทพสังหารด้วยข้ออ้างหลายประการเมื่อพยายามจะเป็นเทพ
ดังนั้นยอดฝีมือจากตระกูลยากจนจึงไม่ชอบตระกูลเทพเลยแม้แต่น้อย
แต่ยอดฝีมือเหล่านั้นก็มิอาจทำอะไรได้เพราะโลกใบนี้ถูกควบคุมด้วยตระกูลเทพ
เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องของซือหยูผู้ซึ่งเป็นยอดฝีมือจากโลกที่ถูกทิ้งร้างสามารถยั่วยุตระกูลเทพกระเรียนได้ พวกเขาก็ดีใจและแอบให้กำลังใจซือหยู
…
ซือหยูมาถึงขอบโลกเทพปี่ผ่านประตูเคลื่อรย้ายที่นี่มีจุดเดินทางที่ใหญ่ที่สุดที่พันธมิตรบูรพาสร้างขึ้นมา
เรือกระดูกเทพลำเล็กหนึ่งลำถูกเตรียมเอาไว้แล้วชายแก่พูดด้วยรอยยิ้มพลางลูบมือ
“เรือพร้อมแล้วท่านจะ…”
ชายแก่คือช่างฝีมือที่ซือหยูจ้างให้เตรียมเรือกระดูกเทพ
ซือหยูขว้างกระดาษสีขาวที่คล้ายกับเช็คธนาคารในชีวิตก่อนหน้าของเขามันสามารถใช้ถอนเงินจากหน่วยงานทางการเงินของพันธมิตรบูรพาได้
ชายแก่รับกระดาษขาวและตรวจสอบจำนวนจากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“โชคดีนะ!”
จากนั้นเขาก็หายตัวไปในพริบตา ซือหยูกระโดดขึ้นเรือและพบว่าเรือบังคับได้ง่ายเรือลำนี้แล่นโดยดูดซับพลังจากธารดาราโดยไม่ต้องสั่งการ คนบนเรือเพียงแค่ต้องบังคับทิศทางเท่านั้น
เมื่อเรือกระดูกเทพแล่นออกจากดินแดนไปยังธารดาราซือหยูจะหนีได้สำเร็จ
ซือหยูช่วยเทพกิเลนและวางแผนมาอย่างแยบยล
แต่ถึงอย่างนั้นเรือสี่ลำที่มีขนาดเท่ากันก็แล่นมาจากธารดาราอย่างรวดเร็วและหยุดตรงหน้าซือหยูราวกับรอเขาอยู่
จากนั้นก็มีอีกสี่ลำแล่นออกมาจากฝั่งและหยุดที่ด้านหลังเรือ
ซือหยูถูกล้อมด้วยเรือแปดลำ
แต่ละลำมียอดฝีมือจากตระกูลเทพกระเรียนหลังจากมองคนทั้งหมดแล้ว ซือหยูได้แต่อ้าปากค้าง
ในบรรดาคนเหล่านี้คนที่อ่อนแอที่สุดคือเซียนขั้นสอง และซือหยูเองก็พบเซียนขั้นสี่ถึงสิบคน
ชายหนุ่มสองคนที่มีสายโลหิตเทพกระเรียนมองซือหยูอย่างเยือกเย็น
ชายสองคนนี้คือลูกหลานของเทพกระเรียนไม่ผิดแน่
ชายจมูกงุ้มในชุดเขียวคือเหอจิงหงบุตรชายคนโตของเทพกระเรียน เขาดุร้ายและมีพรสวรรค์ ความบริสุทธิ์ในสายโลหิตของเขาเป็นรองแค่เหอเสี่ยวหลานเท่านั้น
ส่วนชายอีกคนนั้นร่างท้วมเล็กน้อยเขาดูเป็นคนเถรตรง ความมั่นใจปรากฏในแววตา เขาคือเหอหลูจู เทียบกับพี่ใหญ่กับน้องสุดท้องเหอเสี่ยวหลาน เขามีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่า เทพกระเรียนไม่ได้เห็นความสำคัญของเขานัก ดังนั้นเขาจึงไม้ค่อยมีอำนาจในตระกูลเทพกระเรียน
ทั้งสองถูกสั่งให้มาลอบโจมตีซือหยูที่นี่
“ฮื่ม!คุกเข่ายอมแพ้ซะ!”
เหอจิงหงตะโกนอย่างเย็นชา ต่อหน้าเซียนหลายสิบคนซือหยูคุกเข่าและอ้อนวอนขอความเมตตา
“ตระกูล…เทพกระเรียน?โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!”
อะไรนะ?เมื่อได้ฟัง สีหน้าของฝ่ายศัตรูต่างแปลกใจ
เหอหลูจูรีบพุ่งมาดูซือหยูที่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างละเอียดทันใดนั้นเขาก็บนสิ่งที่สร้างจากวัตถุดิบพิเศษบนใบหน้าของซือหยู
เมื่อเหอหลูจูกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเหอจิงหงก็เดินเข้ามาผลักเหอหลูจูออกไป เหอหลูจูที่เงะงะเกือบจะตกลงไปยังธารดารา
ความประมาทของเหอหลูจูนั้นค่อนข้างน่าขันแต่ก็ไม่มีใครมองเห็นความดุร้ายในแววตาของเขา เขาเงยหน้ามองด้วยความแตกตื่น
เหอจิงหงเหลือบมองน้องชายไร้ประโยชน์อย่างไม่พอใจนางนั้นเขาก็ฉีกสิ่งที่อยู่บนใบหน้าซือหยูทิ้ง
มันคือหน้ากากระดับสูงที่เซียนมองทะลุไม่ได้
หลังจากฉีกหน้ากากออกไปพวกเขาก็เห็นใบหน้าประหลาดที่หวาดกลัว
ชายคนนี้ไม่ใช่ซือหยู!