The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1204 - การกีดขวางของเทพ
“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาข้าคิดว่าเจ้าตายในนั้นไปแล้วซะอีก…”
เจิ้งหยวนชิงยืนกอดอกรออยู่ด้านนอกสุสาน
ซือหยูพูดอย่างสบายใจ
“เจ้าเจอเบาะแสอะไรหรือไม่?”
“เจอแต่ก็อาจจะไม่เจอเหมือนกัน”
เจิ้งหยวนชิงถอนหายใจ
“ข้าเจอเบาะแสตั้งแต่รุ่นที่หกของตระกูลเทพเซียนคันฉ่อง ทั้งเทพเซียนคันฉ่องและเทพตำรามีสายสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันตั้งแต่ตอนนั้น…เพื่อที่จะทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งด้วยกัน”
ซือหยูเหลือบมองเขาไม่เชื่อว่านางจะเจอเบาะแสจริง ๆ
ซือหยูคิดสักครู่ก่อนจะพูด “ตอนที่เจ้าพูดว่าทำเรื่องใหญ่ด้วยกันเจ้าหมายถึง…เพื่อสร้างขุมทรัพย์เทพตำรารึ?”
“ใช่แล้ว!”
เจิ้งหยวนชิงพยักหน้า
ซือหยูพูด
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเทพเซียนคันฉ่องปกป้องขุมทรัพย์เทพตำรามมาเกินไปจนดูแปลก นางต้องการมันไม่เหมือนกับเทพอื่น ไม่นึกเลยว่าตระกูลเทพเซียนคันฉ่องจะเป็นตระกูลที่ช่วยสร้างมันขึ้นมาด้วย”
“แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงล่ะ?”
เจิ้งหยวนชิงตอบหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้ารู้เรื่องนี้จากพิธีศพเทพที่ตระกูลเทพเซียนคันฉ่องโดยบังเอิญพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องการสร้างขุมทรัพย์เทพตำราในทีแรก แต่เป็น…”
ซือหยูพูดต่อในจุดที่นางเว้นไว้สายตาเขาตื่นเต้น
“แต่กลับถูกเทพที่อยู่เบื้องหลังบงการสินะ”
“หา?”
เจิ้งหยวนชิงตกใจ
“เจ้าก็รู้เบาะแสในสุสานเทพตำราเหมือนกันรึ?”
ซือหยูส่ายหน้า
“ข้าไม่เจออะไรที่มีประโยชน์นักหรอก”
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง?”
เจิ้งหยวนชิงเอียงคอด้วยความสงสัย
ซือหยูตอบ
“ข้าก็แค่เดาเอากว้างๆ มันง่ายนัก การที่เทพจะถูกรู้ความลับถือเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นอันตรายต่อพันธมิตรบูรพา แรงกดดันขนาดนี้มันมากเพียงใดกัน? หากไม่มีเทพที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง การสร้างขุมทรัพย์เทพตำราก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น เหตุใดมันถึงคงอยู่มาถึงวันนี้เล่า?”
เจิ้งหยวนชิงตบฝุ่นที่อยู่บนป้ายหลุมศพเทพและจ้องซือหยูด้วยความโมโห
“แล้วทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้?เจ้าปล่อยข้าคลุกฝุ่นเกินสองเดือนเข้าไปแล้ว”
“ถ้าข้าพูดแล้วเจ้าจะเชื่อหรือไม่เล่า?”
ซือหยูถาม
“เจ้ารู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรึยังล่ะ?”
เจิ้งหยวนชิงใบหน้าจริงจังนางพยักหน้าเบา ๆ
“ข้าเจอแล้ว”
ซือหยูสังเกตถึงน้ำเสียงของนางที่เปลี่ยนไปเขาแปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังจะแข็งแกร่งมากทีเดียว
“ตระกูลเทพรากษส…ที่เป็นอันดับสี่!”
เจิ้งหยวนชิงตอบ
เทพรากษสรึ?แน่นอน ซือหยูได้ยินข่าวลือพวกเขาคือมือสังหารเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในร้อยเทพ
พลังของเทพรากษสนั้นดุร้ายพลังอันตรายถึงขีดสุด พวกเขาจึงได้เป็นตระกูลในอันดับสูง
ซือหยูเองยังได้รู้เรื่องในประวัติศาสตร์ของเทพคนนี้ที่ถูกบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ
เทพรากษสในรุ่นนี้เคยถูกเทพอสูรจับตัวไปสิบปีและถูกฑากิณีช่วยในเวลาต่อมา
ว่ากันว่าเมื่อเทพรากษสกลับมาแล้วเทพได้มีบุตรชายที่เป็นทั้งอสูรและมนุษย์
สิ่งที่นางได้พบเจอในโลกอสูรนั้นชัดเจน
หลังจากที่ส่วนผสมระหว่างมนุษย์และอสูรได้ถือกำเนิดขึ้นก็ไม่มีใครรู้ว่าบุตรครึ่งอสูรอยู่ที่ใดจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นเรื่องลี้ลับที่มิได้ระบุอยู่ในบันทึกใด
ซือหยูหรี่ตาเขารู้ว่าแม่ของราชาเขตกลางเป็นเทพ อย่างที่เขาพูดก่อนตาย!
เทพรากษสคือแม่ของราชาเขตกลาง!
ทารกที่เกิดในโลกอสูร…ตระกูลเทพที่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากเทพทั้งมวลมาตลอดยุคสมัย…
ง่ายหรือที่จะคิดว่าขุมทรัพย์เทพตำรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีภัย?
ตัวตนของขุมทรัพย์เทพตำราคือตัวเก็บความลับของเทพไม่ได้แพร่งพรายออกไปแต่ตัวมันเองก็เป็นจุดอ่อนของเหล่าเทพอีกด้วย!
ถ้าหากอสูรได้ล่วงรู้ความลับเหล่านั้นและรู้จุดอ่อนของเทพทุกคนพวกอสูรจะเหนือกว่าเทพเพียงใดกัน?
“โลกอสูรสิ้นแล้วแต่หัวใจยังคงอยู่ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่วางเสี้ยนหนามกับพันธมิตรบูรพาจะเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ!”
ซือหยูเหงื่อแตกพลั่กที่แผ่นหลัง
แต่นี่ก็ยิ่งทำให้ซือหยูมุ่งมั่นเขาต้องการล้างโลหิตชั่วช้าและอันตรายที่แอบแฝงอยู่ในพันธมิตรให้หมดสิ้น!
“หยวนชิงหากเทพเจิ้งรู้จะเป็นเช่นใดรึ?”
ซือหยูถาม
เจิ้งหยวนชิงหันมองซือหยูสถานการณ์มาถึงระดับนี้แล้ว มันร้ายแรงยิ่งกว่าที่นางคิดในทีแรก นี่ไม่ใช่เกี่ยวข้องแต่กับตระกูลเทพเซียนคันฉ่องกับตระกูลเทพตำรา แต่ยังเป็นคนเชิดหุ่นที่อยู่เบื้องหลัง…ตระกูลเทพรากษส!!
“ข้าก็ไม่รู้ท่านแม่ตัดสินใจเองไม่ได้ นางต้องหารือกับเทพการค้ารวมถึงฑากิณีก่อน หากทั้งสามเทพตกลง มันก็เป็นไปได้ที่จะถอนรากถอนโคนตระกูลเทพรากษส!”
ดูเหมือนว่าเจิ้งหยวนชิงจะคิดเหมือนกับซือหยูว่าราชาเขตกลางคือลูกหลานอสูรที่หายไปในอดีตโดยมีเบื้องหลังเป็นเทพรากษสที่บงการการช่วยเขาออกมาจากจิวโจว
ซือหยูคร่ำครวญอยู่นานและถอนหายใจ
“คงง่ายหากเทพสามคนเห็นด้วยแต่ข้าเกรงว่าเราไม่มีโอกาสจะได้รายงานเรื่องทั้งหมดกับเทพทั้งสามหรอก”
“ว่าไงนะ?”
เจิ้งหยวนชิงมองตามซือหยูที่กำลังครุ่นคิดนางชักสีหน้า
นางเป็นว่าที่เทพนางสัมผัสพลังเทพที่กำลังใกล้เข้ามาได้
ยิ่งไปกว่านั้นเทพที่ใกล้เข้ามาก็คือเทพเซียนคันฉ่อง!
“พวกมันรู้แผนของเราแล้ว…”
ซือหยูถอนหายใจเขาคาดเดามาก่อนแล้วว่าเทพเซียนคันฉ่องจะต้องมาหาเขา
เจิ้งหยวนชิงใจหายเล็กน้อย
“ข้ามีความผิดติดตัวเหมือนกับเจ้าแล้วสินะ!”
นางยกมือเรียกหินเกลียวออกมาจากมือ
“ท่านแม่ให้สิ่งนี้กับข้ามาหากเทพเจอเจ้า จงใช้มันเพื่อหนีไปยังโลกใบอื่น เทพอื่นจะไม่รู้ว่าเราอยู่ในโลกสุสานเทพ หินนี่จะช่วยชีวิตพวกเรา”
ซือหยูไม่แปลกใจที่เทพเจิ้งยอมให้เจิ้งหยวนชิงเข้ามาที่นี่เพราะนางมีวิธีมากมายที่จะช่วยชีวิตลูกสาวตัวเอง “นี่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแม่ข้ามันมีพลังเทพของแม่ข้าอยู่ เราจะหนีไปจากที่นี่ได้ไม่ยาก แต่หลังจากหนีแล้ว เราสามคนต้องแยกกันหนีไปหาความสนับสนุนจากตระกูลเทพอื่น”
เจิ้งหยวนชิงบอกแผนของนาง
ของขวัญจากเทพเจิ้งคือหินเกลียวที่ดูดซับพลังของฟ้าดินเอาไว้มันคือศิลาวิเศษ
มันเก็บพลังเอาไว้อย่างเหนือจินตนาการเพราะมันมีส่วนหนึ่งของพลังเทพเจิ้ง
ซือหยูพยักหน้า
“ตามนั้น”
เมื่อรู้ว่าทั้งสองกำลังจะหนีเทพจิงเองก็เดินออกมาจากสุสานอย่างไม่เต็มใจมารวมตัวกับซือหยู แน่นอนว่าเขาแสดงสีหน้าดีใจเมื่อเห็นเจิ้งหยวนชิง แต่เขาก็พูดอย่างจริงจัง
“เราถูกล้อมไว้หมดแล้วมีคนที่แข็งแกร่งมากมายอยู่ข้างนอก”
เจิ้งหยวนชิงพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงท่านแม่บอกว่าจะทำให้ท่านปลอดภัย เราต้องหนีและแยกย้ายกัน อย่าให้คนข้างนอกจับได้”
เทพจิงตกลงตามแผนอยู่แล้ว
เมื่อใช้ศิลาทั้งสามถูกคลื่นพลังอาบร่างและถูกย้ายตัวเองไปยังดินแดนเทพที่โลกใบอื่นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่รอให้‘กระต่าย’ ออกมาจากถ้ำ เทพเซียนคันฉ่องมองท้องนภา นางชักสีหน้า
“นี่มันลมหายใจเทพเจิ้ง…ทำไมนางถึงอยู่ในโลกสุสานเทพกัน?”
แต่เทพเซียนคันฉ่องก็ไม่ได้คิดมากนักขณะนี้นางเห็นเป้าหมายของนางแล้ว…ซือหยู!
ฟึ่บ!
เทพเซียนคันฉ่องเดินทางทะลุโลกใบอื่นในความคิดเดียวนางไล่ตามซือหยูและคนที่ออกมากับเขา
นางโล่งใจเป็นอย่างมากเพราะนางเอาแต่ดูถูกซือหยูและไม่เคยจับตัวเขาได้เลย แต่มันไม่สำคัญอีกแล้วซือหยูกำลังจะตายแล้ว!
วาบ!
ทั้งสามถูกย้ายมาอยู่ที่โลกวารีที่อยู่ใกล้เคียงและแยกกันหนีไปคนละทิศละทางในทันทีทั้งสามไม่ได้พูดต่อกันสักคำเดียว
แม้เทพเซียนคันฉ่องจะสัมผัสเจิ้งหยวนชิงกับเทพจิงได้นางก็ไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องของทั้งสองคนนั้นและไล่ตามซือหยูในทันที
เทพเซียนคันฉ่องปรากฏตัวหน้าซือหยูพร้อมแสยะยิ้ม
“เจอกันอีกแล้ว…เทพขนนก!”
ซือหยูยิ้มโดยไม่แสดงสีหน้าไปมากกว่านี้
เทพเซียนคันฉ่องย่ามใจ
“เจ้าจะไม่ถามเหตุที่ข้าไล่ตามเจ้าและข้าจะทำอะไรเมื่อจับเจ้าได้รึ?”
ซือหยูตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ถ้าเจ้าไล่ตามข้านั่นหมายความว่าเจ้าคิดจะจีบข้าหรือ? ไล่ตามข้าน่ะไม่เป็นไร แต่ข้าไม่พร้อมจะสัญญาหรือหมั้นหมายอะไรกับเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นเทพ ข้าก็ไม่ทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นบุรุษเพื่ออยู่กินกับเจ้าหรอก”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…”
เทพเซียนคันฉ่องหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้ายังพูดแบบนี้ได้อีกเรอะถ้าหากเราไม่ได้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ข้าก็คงจะประทับใจเจ้าเหมือนกับเทพอื่น แต่เอาเถอะ ข้าว่ายังไงเจ้าก็ต้องตายล่ะนะ!”
“เพราะข้ามีความลับเรื่องเจ้าร่วมมือกับอสูรเจ้าจึงคิดจะเปิดโปงข้าด้วยเรื่องความผิดจิ๊บจ๊อยเพื่อที่จะฆ่าข้าโดยไม่ต้องให้ข้าแก้ตัวอะไรสินะ?”
รอยยิ้มบนเทพเซียนคันฉ่องหายไป
“เจ้ารู้เรื่องนี้เรอะ?”
เป็นไปไม่ได้!มีใครไปที่โลกสุสานเทพแล้วรายงานกับซือหยูรึ? เป็นเจิ้งหยวนชิงหรือเทพจิงกัน?
“คนโสโครกเช่นเจ้าข้าใช้แค่หัวแม่เท้าก็เดาได้แล้วว่าเจ้าคิดจะทำอะไร!”
ซือหยูพูดเบาๆ
เทพเซียนคันฉ่องตกใจนางรู้ว่าซือหยูฉลาด แต่นางไม่คิดว่าเขาจะคิดได้ถึงเพียงนี้
เทพเซียนคันฉ่องมองสีหน้าเยือกเย็นของซือหยูด้วยความไม่สบายใจราวกับเรื่องจะไม่เป็นไปตามที่นางคิด
“เอาเถอะไม่ว่าเจ้าจะใจเย็นแค่ไหน ต่อให้เจ้าอยากจะหาเทพคนอื่นมาช่วย เจ้ามันก็แค่คนโง่ที่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น! อย่าแม้แต่จะคิดเลย!”
ซือหยูเผยแผนออกมาเล็กน้อย
“ตามหาเทพมาพิสูจน์ข้าเรอะ?ขอโทษด้วย ข้าไม่เคยคิดอะไรยุ่งยากไร้ผลลัพธ์แบบนั้นมาตั้งแต่แรก!”
ซือหยูไม่รู้ว่ามมีเทพกี่คนที่ร่วมมือกับเทพเซียนคันฉ่องตระกูลเทพตำรา และเทพรากษส ถ้าหากเขาเจอหนึ่งในนั้น นั่นจะไม่ต่างจากเสนอตัวให้คนชั่วหรือ?
“นี่เจ้า…”
เทพเซียนคันฉ่องกระวนกระวายนางมิอาจคาดเดาก้าวถัดไปของซือหยูได้
โชคดีที่ซือหยูตอบนางด้วยความมั่นใจ
“ข้าต้องให้เทพทุกคนทุกคนในพันธมิตรมาเจอข้าต่างหาก!”
อะไรนะ?เทพเซียนคันฉ่องตกใจอย่างหนัก เป็นไปได้หรือที่เทพทุกคนจะมาเจอซือหยูด้วยความตั้งใจของตัวเอง?
ความกระวนกระวายในใจนางรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เทพเซียนคันฉ๋องจ้องมองซือหยูด้วยความระแวงมากขึ้นแม้จะคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดมาแล้ว แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่นางลืมคิดไป
นั่นคือซือหยูมิใช่คนที่ใครจะมาควบคุมได้
“งั้นก็ให้ข้าลบเจ้าให้หายไปซะเถอะ!” เทพเซียนคันฉ่องตะโกนอย่างไม่ลังเลนางต้องการกระชากวิญญาณซือหยูออกมาในทันที จากนั้นเขาจะตาย
นางมองซือหยูเป็นดั่งมดปลวกบนพื้นไม่ว่าเขาจะต้านทานเพียงใด มันก็ไร้ผล
ซือหยูรู้ดีว่าความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับเทพเป็นเช่นใด!
ในตอนนั้นเองเสียงฮัมเพลงเบาบางดังมาจากมุกวิญญาณเก้าหยก ตามด้วยเด็กสาวงดงามที่ดูสูงส่ง สง่างามสดใสค่อย ๆ ลอยออกมาช้า ๆ พร้อมกันแสงสีมรกตอันเป็นธรรมชาติ