The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 311
ชายหนุ่มโกรธเล็กน้อย เขากำลังจะโต้กลับแต่ก็ได้ยินเว่ยเทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ
“เจ้าจะเสียเวลาอยู่ทำไมกัน? เข้ามาเร็ว!”
ชายหนุ่มตระหนักถึงสถานการณ์และข่มความโกรธ เขาจ้องซือหยูอย่างโกรธเกรี้ยวและเดินไปยังแผ่นศิลา เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาทดสอบ
อำมฤตระดับสามขั้นต้น!
ทุกคนส่งเสียงดัง
“โลกนี้บ้าไปแล้วรึ? สุดยอดยอดฝีมืออำมฤตระดับสามอีกคน!”
“สองคนนั้นมาจากที่ใดกัน? ประหลาดนัก!”
ทุกคนสนใจทั้งสองที่เข้าเมืองไปอย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มตามเว่ยเทียนเฉินอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังคงโกรธเคือง
“ศิษย์พี่เว่ย ทำไมไม่ให้ข้าสั่งสอนมันเสียก่อนเล่า? เจ้าเด็กน้อยนั้นดูถูกพวกเรา ถ้าพวกเราไม่สั่งสอนให้หลาบจำ หอสดับหิมะของพวกเราก็คงไร้ชื่อเสียง!”
เว่ยเทียนเฉินเดินนำหน้า ใบหน้าเขาหม่นหมองเล็กน้อย
“ฮื่ม! ถ้าเราไปยุ่งกับพวกชั้นต่ำ หอสดับหิมะของพวกเรานั่นแหละจะมัวหมอง!”
“แล้วพวกเราก็มาเมืองอันยี่เพื่อฝึกฝน เวลามีอยู่น้อยนิด เราต้องรีบไปที่ห้องวิหคเพลิงในหนึ่งเดือนเพื่อเข้าร่วมงานประชุมวิหคเพลิง เราจะเสียเวลาไม่ได้”
เมื่อได้ยินชื่องานประชุมวิหคเพลิง ชายหนุ่มก็สีหน้าเย็นชา
“ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์พี่พูดถูก”
ทั้งสองมาจากหอสดับหิมะ ขุมกำลังลำดับแรกในทวีป!
ที่ทางเข้าเมือง ชายแก่มองดูทั้งสองเดินเข้าเมือง แววตาของเขานับถือและถอนหายใจด้วยความเสียใจ
“สองคนนั้นเป็นสองในสี่บุตรชายผู้ยิ่งใหญ่ของหอสดับหิมะจริงๆด้วย ทุกรุ่นมีพลังเกินความคาดเดานัก”
ชายแก่ถอนหายใจและนั่งลงอีกครั้ง เขามองซือหยูหัวจรดเท้าอย่างหยาบคายและส่ายหัว
“อายุน้อยและก้าวร้าว โง่เขลาบ้าบิ่น อนาคตเจ้าก็มาได้เท่านี้”
“ตอนนี้ถึงเจ้าจะเสียเวลาไปมากแล้วก็ยังไม่คิดจะเข้ามาอีกรึ? ถ้าเจ้าไม่อยากจะเข้าเมืองข้าก็จะทำอย่างที่เจ้าต้องการ!”
ชายแก่มองซือหยูและตะโกนเสียงแข็ง
เขาหยาบคายยิ่งนัก
ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น
“เจ้ากาเฒ่า! เจ้าไม่คิดว่านี่มันน่าหัวร่อไปหน่อยรึ?”
“พวกนั้นเข้ามาแซงแถวไปเช่นนั้น แต่เจ้าก็ไม่หยุดพวกนั้น!”
“พวกนั้นช้าจนทำให้การทดสอบกินเวลาออกไป แต่เจ้าก็ยังไม่ชี้แนะพวกเขา!”
“พวกนั้นเข้ามายั่วยุและหาเรื่องข้า แต่เจ้าก็ไม่ตะโกนให้พวกนั้นหยุด!”
“แล้วตอนนี้เจ้าก็กลับมองข้าด้วยความโกรธ แล้วก็ยังพูดว่าข้าเป็นคำทำให้เสียเวลา! เจ้าไม่คิดว่ามันน่าขันหรอกรึ?”
คำพูดของซือหยูนั้นเฉียบคมและตรงประเด็น
ชายแก่ตัวแข็งทื่อ เขาไม่พอใจ
“เจ้าพูดกับข้ารึ?”
ชายแก่ยืนขึ้น รังสีของอำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้นแผ่ออกมาจนคนรอบๆถอยห่าง ทำให้พื้นที่โล่ง
ทุกคนตกตะลึง เด็กหนุ่มผมเงินผู้นี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!
ในครั้งแรก เขาต่อต้านสองอัจฉริยะอำมฤตระดับสาม จากนั้นก็ยังพูดย้อนใส่ผู้ตรวจวัดพลังจนสถานการณ์เป็นเช่นนี้!
พวกเขาเห็นใจซือหยูเพราะชายแก่ทำเกินไปหน่อย แต่การใช้ชีวิตอย่างฉลาดและปล่อยเรื่องเล็กน้อยให้ผ่านไปนั้นเป็นหนทางรอดในโลกใบนี้ การไหลไปตามอารมณ์ตัวเองจะสร้างปัญหาเสียมากกว่า
แต่ที่ทำให้คนดูเหงื่อไหลออกมาก็คือซือหยูไม่ยับยั้งตัวเอง เขากลับพูดและหัวเราะเสียงดัง
“นอกจากเจ้าแล้วจะเป็นใครงั้นเรอะ? เจ้ากลัวพลังพวกนั้นจนต้องทำตามืดบอด และเจ้าก็ยังนับถือคนพวกนั้นอีก!”
“แต่กับพวกเราที่ต่ำต้อยกว่า เจ้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย! เจ้าคิดว่าคนที่ตาขาวอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาเป็นผู้ทดสอบพลังจริงๆรึ?”
เหล่าผู้คนเงียบกริบ!
เจ้าเด็กคนนี้เป็นบ้าไปแล้วรึไงกัน?
เขากล้าพูดออกมาเช่นนี้!
สีหน้าของชายแก่หม่นหมอง
“เจ้าหนู! เจ้าดูหมิ่นคนที่ดูแลเมืองอันยี่ ข้าสงสัยในความชั่วร้ายของเจ้า เจ้าต้องตามข้าออกไป!”
แต่ในใจเขาหัวเราะ หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าประเมินพลังตัวเองสูงเกินไปและมีกิริยาเช่นนี้ในเมืองอันยี่
ถ้าเขาไม่ลงโทษซือหยูให้หลาบจำ ศักดิ์ศรีของเขากับเกียรติของเมืองอันยี่จะไปอยู่ที่ใดกัน?
แต่ที่ทำให้ผู้วัดพลังหัวเราะยิ่งกว่าก็คือซือหยูที่ไม่เสียใจแม้แต่น้อย เขากลับโจมตีออกมาทันที!
อัสนีสีม่วงแล่นผ่านปลายดัชนีไปยังชายแก่!
ชายแก่อยากจะรับมือการโจมตนั้น แต่เมื่อสายอัสนีเข้ามาใกล้เขาก็ตระหนักได้ว่าสายอัสนีที่เบาบางนั้นมีพลังทำลายล้างมหาศาล!
สายอัสนีแล่นผ่านร่างทำให้เขาตัวสั่นอย่างหยุดไม่อยู่!
พลังวิญญาณในร่างบ้าคลั่งอย่างไม่เคยเป็นและเขาควบคุมมันไม่ได้เลย
ร่างกายของเขาชาไปทั้งตัว
และเขาก็ยังพูดไม่ได้!
เขาทำได้แค่มองดัชนีของซือหยูพุ่งเข้ามาอย่างสิ้นหวัง!
คลื่นทะเลกระหน่ำที่สูงถึงนภาปรากฏในจิตใจ!
แค่ส่วนเล็กๆของสายอัสนีก็ทำให้เขาต่อต้านไม่ได้แม้แต่น้อย!
พลังนั่นมันคืออะไรกัน?
เมื่อเห็นสายอัสนีกำลังจะถึงตัว ชายแก่หน้าซีดราวกับผี ขาเขาสั่นโดยไม่รู้ตัว ลำคอของเขาแห้งเป็นผง หัวใจกำลังกรีดร้องด้วยความโศกเศร้า
เขาได้พลาดไปดูหมิ่นยอดฝีมือเข้าแล้ว!
ชายแก่หวาดกลัวจนหลับตาตัวสั่น
แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่เขาคิดว่าจะได้รับ มีเพียงสายลมกรรโชกแรงงที่พักผ่าน
จากนั้นแผ่นศิลาก็ส่งเสียง
เหล่าผู้คนก้มหน้า
“อำมฤตระดับสองขั้นต้น! นี่มันเรื่องจริงเรอะ เขาอายุแค่สิบหก พรสวรรค์เขาเหนือว่าสองคนที่เข้าไปก่อนหน้าอีก!”
“หา! ยอดฝีมืออีกแล้ว!”
…
ชายแก่กลับมาเป็นปกติ เขาหันไปมองข้อความเล็กๆบนแผ่นศิลาและเบิกตากว้าง
“อำมฤต…ระดับสอง…”
ซือหยูพูดอย่างไม่ยี่หระ
“เจ้ายังอยากให้ข้าตามเจ้าไปที่ไหนอีกหรือไม่?”
ชายแก่หน้าแดง เขาอับอายแม้จะแสดงใบหน้าให้เห็น
เขาที่มีพลังเช่นนี้จะต้องมีพื้นเพอันน่าตกตะลึงเป็นแน่
มองดูพลังของซือหยูเพียงอย่างเดียว ชายแก่อำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้นอย่างเขามิอาจดูหมิ่นได้เลย
ชายแก่โค้งคำนับอย่างอับอาย
“โปรดเข้าเมืองเถอะครับท่าน”
“ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ไม่คุ้มแน่ถ้าเจ้าจะตัดสินผู้คนจากภายนอก!”
ซือหยูไม่คิดจะเสียเวลาอีก เขาเดินมือไพล่หลังเข้าเมือง
ไม่ว่าจะเป็นการเตือนของเขาหรือการออมมือเมื่อครู่ ทั้งสองสิ่งนั้นคุ้มค่ากับการโค้งคำนับของชายแก่
หลังจากนี้ไป มุมมองต่อผู้คนของชายแก่จะถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
ฉีหยุนเซี่ยงเข้าเมืองอย่างง่ายดาย เมื่อถึงคราวตู่หลง ชายแก่สับสนเล็กน้อย
“เจ้าหน้าคุ้นๆนะ”
ตู่หลงยิ้ม
“ข้าก็แค่ขยะที่กลับมา”
ชายแก่พยักหน้าเบาๆและไม่ถามอะไร
ทั้งสี่เข้าเมืองและหาโรงเตี๊ยมที่มีเนื้อที่กว้าง
ฮั่วฉีหลานกับซือหยูพูดคุยกันสองคน
“ที่บ่มเพาะจะเปิดในคืนจันทร์เต็มดวงเท่านั้น การเดินทางของพวกเราเร็วมากจนเกินกว่าที่ข้าคิด รอก่อนเถอะ”
ฮั่วฉีหลานรีบร้อนตลอดการเดินทาง เมื่อนางนั่งลงก็ยืดตัวคลายอิริยาบถ รูปร่างของนางดูงดงามและสง่างามใต้แสงอ่อนๆ
ซือหยูนิ่งงันเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างอันงดงามนี้
“เข้าใจแล้ว! ถ้าไม่มีอะไร ข้าจะกลับห้องไปพัก”
ซือหยูฝืนใจเย็นและรีบยืนขึ้น เขาไม่คิดจะอยู่นานไปกว่านี้
ฮั่วฉีหลานจ้องมองซือหยู แม้มันควรจะเป็นการมองธรรมดา นางก็รู้สึกได้ว่าซือหยูนั้นต่างออกไป
นางขยับดวงตาเล็กน้อยและแสร้งยิ้ม
“เจ้าหนู ข้าสนใจเจ้า เจ้าไม่อยากจะใกล้ชิดกับข้าสักหน่อยรึ?”