The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 319
ภัยซ่อนเร้นแห่งอาณาจักร
ในตอนนั้นเอง
“ฮ่าๆๆๆ ท่านเจ้าตำหนักหยินหยู ความหยาบคายอะไรกัน!”
เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากลึกในทางเดิน
เกาคัง ทรราชย์แห่งตำหนักเฉินเทียนยืนอยู่ข้างธนูมังกรฟ้าดิน เขามองซือหยูและหัวเราะเสียงดัง
กลุ่มคนนั้นแบกธนูเงินมาตรงหน้าเขา เกาคังหายใจเบาๆและปล่อยพลังวิญญาณออกมายกธนูด้วยความยากลำบาก
เขาเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูงและยังต้องใช้พลังสูงสุดเพื่อแบกธนูนั้น
ซือหยูแววตาเย็นชา
“ฮ่าๆๆ เมื่อกี๊เจ้าเพิ่งบอกว่าตระกูลตู่อยากได้ธนูนั้นไม่ใช่รึ? แค่พริบตาเจ้าก็เอามันให้กับคนอื่นแล้วรึ?”
ตู่หมิงฮั่วยกสามดัชนีขึ้นและพูดอย่างไม่แยแส
“ก็ถ้าธนูนั่นเป็นของตระกูลตู่ไปแล้ว ข้าก็คิดว่าคนนอกอย่างเจ้าตำหนักหยินหยูไม่มีสิทธิ์จะมีปากเสียงนะ!”
“ข้าจะเริ่มนับ หนึ่ง!”
ตู่หมิงฮั่วลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว
อย่าที่เขาพูด ยิ่งคิดใหญ่เท่าใด อนาคตก็จะยิ่งสดใสเท่านั้น
แค่ขนวิหคเพลิงนั้นไม่ควรค่าให้เขาหมายตาด้วยความโลภ ส่วนรองเจ้าตำหนักก็ไม่อยู่ในสายตาเขาเช่นกัน
แต่สมุนไพรเทพที่เทียบได้กับวิชาระดับตำนานที่ถูกใช้แลกกับธนูมังกรฟ้าดินนั้นควรค่าพอที่เขาจะเสี่ยง
เกาคังถือธนูเงินและหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“เจ้าตำหนักหยินหยูนี่ร่ำรวยและทะนงตน ข้าคิดว่าคงไม่เป็นไรหากจะช่วยร้อยดินแดนซื้อสมบัติเทพระดับกลางสักครั้ง ใช่หรือไม่?”
เมื่อมองให้ดี ฮั่นเจียงหลินไม่ต้องจ่ายอะไรเลยด้วยซ้ำและยังใช้ธนูมังกรฟ้าดิน
แต่เป็นซือหยูเองที่ราคามหาศาลที่มากพอจะแลกตำราระดับตำนานเพื่อให้ได้ธนูนั้นมา
แต่ในตอนนี้ ตระกูลตู่ได้อยู่ข้างเดียวกับร้อยดินแดน พวกเขาไม่ต้องจ่ายอะไรเลยและยังได้ธนูมาอีก
หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ซือหยูจ่ายค่าธนูแทนพวกเขา!
“นี่จะถือว่าเป็นการตอบแทนร้อยดินแดน เพราะอย่างไรเจ้าก็มาจากร้อยดินแดน เป็นคนก็ไม่ควรจะไม่รู้สำนึก!”
เกาคังหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขายกสมบัติเทพและกระชากม่านบินออกไปข้างนอก
ซือหยูหัวเราะ
“ได้ยินคำว่าไม่รู้สำนึกจากคนทรยศที่ไม่รู้สำนึกนี่มันน่าหัวร่อนัก!”
“ดูเจ้าจะพอใจนักนะที่ได้เป็นขี้ข้าฮั่นเจียงหลิน!”
ซือหยูชิงชังเกาคังจากก้นบึ้งของจิตใจ
ถึงคนจะจน แต่ก็มิอาจเป็นนกสองหัวได้
ไม่เพียงแต่เกาคังจะยากจน เขายังเป็นเสียยิ่งกว่านกสองหัว!
ใบหน้าเกาคังหม่นหมองเล็กน้อย เขากำหมัดและพยายามที่จะไม่โจมตี เขาเหลือบตามองซือหยู
“เจ้าเห่าต่อไปตรงนั้นเถอะ ข้าจะเอาธนูของเจ้าไปแทนเจ้าพันธมิตรฮั่น!”
พรึ่บ–
หลังพูดจบ เกาคังกระชากม่านให้กว้างขึ้นด้วยฝ่ามือ
ซือหยูยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ใครอนุญาตให้เจ้าไปรึ?”
เมื่อซือหยูพูดจบ เขาหันไปมองฉีหยุนเซี่ยง
“ถ้าข้าฆ่าคนที่ทรยศต่อเจ้าตำหนักฉี ท่านเจ้าตำหนักฉีจะตำหนิข้าหรือไม่?”
การที่เกาคังหันหน้าเข้าหาศัตรูทำให้ฉีหยุนเซี่ยงผิดหวังและขยะแขยงเป็นอย่างมาก
และเกาคังก็ยังหว่านล้อมอย่างไร้ยางอายให้นางยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลิน ต่อสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ที่ไม่รู้สำนึกเช่นนี้ ฉีหยุนเซี่ยงรู้สึกแต่ความชิงชัง
“ไปฆ่ามันซะ ถึงเจ้าไม่ทำ ถ้าท่านพ่ออยู่ที่นี่ ท่านก็ต้องชำระล้างที่นี่อยู่แล้ว คนชั่วช้าที่ไร้ความภักดีเช่นนี้สมควรตาย ถ้าท่านพ่อรู้ ท่านก็ต้องขอบคุณเจ้า”
ซือหยูพยักหน้าอย่างโล่งใจ
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะหน้าที่ที่เหนือกว่าพลังของข้า มือของข้าจะเปื้อนโลหิตแทนเจ้าตำหนักฉี!”
คำตอบของฉีหยุนเซี่ยงทำให้หัวใจเกาคังแทบหยุดเต้น และในเวลาเดียวกันเขาก็โกรธเกรี้ยวไปพร้อบกับเพลิงพิโรธอันไร้ขอบเขต
“หยินหยู! เจ้าคิดว่าเจ้ามันตระการตานักเรอะที่ได้เป็นรองเจ้าตำหนัก?”
“เจ้ามันอวดดีจนถึงขนาดที่คิดจะฆ่าข้าแล้วรึ? เจ้าก็แค่กบที่หวังกินจันทรา ไม่รู้จักประเมินพลังตัวเอง!”
ในตอนนี้ สีหน้าของตู่หมิงฮั่วเยือกเย็นขึ้น เขาลดนิ้วที่สองลง
“สอง!”
“ไม่ต้องนับอีกแล้ว!”
ตาขวาของซือหยูเปล่งแสงสีแดง!
ฟึ่บ–
พลังมิติปรากฏที่เกาคัง
ยอดฝีมือในเมืองพันธมิตรจะไม่รู้ถึงพลังมิติของซือหยูได้อย่างไร?
เกาคังชักสีหน้า เขาถือธนูเงินแน่น
“อย่าคิดว่าจะย้ายธนูของข้าไปได้!”
แววตาซือหยูเปล่งแสงสีแดงอันงดงาม
“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะย้ายธนู? ข้าจะย้ายเจ้ามา!”
ฟึ่บ–
ทันใดนั้นเสียงมิติที่ฉีกออกก็ดังขึ้น เกาคังกับธนูถูกดูดเข้าไปในพลังมิติไร้ขอบเขต
เกาคังปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าซือหยู
ก่อนที่เกาคังจะได้เห็นสิ่งรอบข้างอย่างชัดเจนเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาก่อน
“ดัชนีสายฟ้าดารา!”
แมท้ว่าซือหยูจะใช้พลังเพียงหกในสิบส่วน มันก็ยังคงน่ากลัว
เกาคังรู้สึกถึงพลังทำลายล้างที่เข้ามาใกล้
หัวใจเขาเต้นอย่างรุนแรง เขารีบป้องกันการโจมตี!
แต่เขาจะป้องกันพลังสายฟ้าทำลายล้างที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
ครืน—
ครืน—
สายอัสนีสั่นคลอนสวรรค์ ฉีกกระชากม่านงานประมูลจนขาดสะบั้น พื้นที่บนเวทีกับหลังเวทีไม่ถูกแยกออกจากกันอีกแล้ว!
เหล่าผู้เข้าร่วมประมูลที่กำลังจะกลับตกตะลึง พวกเขาหันไปมองและพบเกาคังที่กระอักเลือดออกมาพร้อมกับกระแทกเวทีอย่างแรง
จากนั้นชายหนุ่มผมสีเงินก็พุ่งเข้ามาที่หน้าเกาคังแทบจะในทันที เขาหยิบธนูเงินที่ตกอยู่กับพื้น
เมื่อซือหยูสัมผัสธนูมังกรฟ้าดิน เขาก็รู้สึกได้ว่ามันหนักมาก
ด้วยพลังเพียงอย่างเดียวนั้นมิอาจขยับมันได้ ธนูเงินนี้วางอยู่กับพื้นและไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
เมื่อยกไม่ได้ เขาจึงปล่อยพลังวิญญาณออกมาก่อนจะหยิบขึ้น แต่ก็ยากที่เขาจะยืนขึ้นได้
ความรู้สึกหนักอึ้งของธนูนั้นเทียบได้เขาภูเขาหนักร้อยศอก!
เพียงแค่ถือมันก็ยากลำบากเช่นนี้ แล้วการเหนี่ยวธนูเพื่อใช้งานจะยากเพียงใดกัน?
และเขายังอยู่ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะหนีหรือจะสู้ก็ต้องเอาธนูไปด้วย
ซือหยูคิดอะไรขึ้นมาได้ อกของเขาร้อนขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นธนูเงินในมือก็หายไปทันที
คันฉ่องจักรวาล!
ของที่เขาได้มาจากซากใต้ถ้ำ ในทวีปเฉินหลงแห่งนี้มีไม่ถึงห้าคนที่ครอบครองกระจกเช่นนี้
ในกระจกมีพื้นที่สิบตารางเมตร ซึ่งเหลือเฟือที่จะเก็บธนู
เกาคังเช็ดคราบโลหิตทิ้งไป
“เจ้าเอาธนูไปซ่อนไว้ที่ไหน? เอามันออกมา! ต้องเป็นพลังพื้นที่ของเจ้า!”
พรึ่บ–
หลังจากที่เขาพูดจบ ซือหยูก็เข้ามาในพริบตาและเหยีบลงบนอกของเขา
เอื้อก—
เกาคังกระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในของเขาถูกบดขยี้
“ที่เจ้าควรห่วงไม่ใช่ธนู เจ้าควรจะห่วงชีวิตเจ้ามากกว่า! ข้าบอกแล้วว่าข้าจะกำจัดเจ้าแทนเจ้าตำหนักฉี!”
ซือหยูสีหน้าเย็นชา แววตาไร้ซึ่งความลังเล
เขาไม่รู้สึกเมวทนาในการสังหารคนเช่นนี้เลย
แต่ในตอนนั้นเอง เมื่อเขากำลังจะฆ่าเกาคัง…
คว้าง—
เสียงของมีคมดังมาจากข้างหลัง
ซือหยูหลบตัวไปทางด้านข้างเล็กน้อย เขาระวังตัวอยู่แล้วและหลบอาวุธลับทมิฬได้
ที่ปลายอาวุธลับนั้นมีของเหลวสีเขียว มันคงจะเป็นยาพิษ!
ตระกูลตู่กล้าสังหารรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ ความกล้าของพวกเขาเกินกว่าที่ทุกคนคาดไว้มาก!
พวกเขาเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?
เพราะท้ายสุดตระกูลตู่ก็ยังคงเป็นภัยซ่อนเร้นต่ออาณาจักร ถ้าพวกเขาไม่ถูกกำจัด พวกเขาก็จะเป็นภัยต่ออาณาจักรทมิฬต่อไป!
จิตสังหารฉาบแววตาของซือหยู เขาหันไป
“เจ้าหยุดนับแล้วงั้นรึ? เจ้ายังนับไม่ถึงสามไม่ใช่เรอะ!”
ตู่หมิงฮั่วหน้าแดง
เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าซือหยูมีพลังประหลาดซุกซ่อนเอาไว้?
ในครั้งแรก ซือหยูได้ยักย้ายศัตรูอย่างน่าตกใจโดยใช้พลังของตัวเอง จากนั้นเขาก็ใช้จังหวะที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวโจมตีจนสาหัส!
ในสายตาตู่หมิงฮั่ว สิ่งที่ซือหยูทำนั้นไม่ต่างจากการลอบโจมตี แต่แม้ว่าเขาจะเข้าใกล้ซือหยู เขาก็ล้มเหลวที่จะช่วยเกาคัง และเขาก็ยังปล่อยให้ซือหยูชิงธนูมังกรฟ้าดินไปได้ ธนูอยู่ที่ใดนั้นเขาไม่รู้เลย
นี่คือการเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก!
ตั้งแต่เริ่ม ถ้าเขาใช้พลังแทนที่จะคิดว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมและไม่คิดจะนับถึงสาม สถานการณ์ก็คงไม่ลงเอยเช่นนี้
“เจ้ายังรู้จักความละอายอยู่หรือไม่? เจ้ายังมีสิทธิ์มาบอกว่าตัวเองเป็นรองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬอีกเรอะ! เจ้าชิงของของคนอื่นแล้วยังทำร้ายเขา เจ้าสังหารคนเพื่อชิงสมบัติ ความผิดของเจ้านั้นหนักหนาสมควรได้รับการลงโทษ เจ้าไม่กลัวว่าชื่อเสียงของอาณาจักรทมิฬจะหม่นหมองรึ?”
ตู่หมิงฮั่วเดินเข้าไปอย่างโกรธเกรี้ยว