The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 342
เว่ยเทียนเฉินหน้าแดง
“หยินหยู! อย่ามาไร้สาระน่า! สัตว์อสูรกำลังละฆ่าล้างเมือง เจ้าที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับไม่สู้กับพวกเราแล้วยังใช้โอกาสนี้สังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันอีก เจ้าคิดจะเป็นบาปของเผ่ามนุษย์งั้นรึ?”
ขณะที่เขาพูด เขาก็หันหนี!
อ๊าก—
แต่เมื่อเขาหนี สตรีข้างหลังก็กรีดร้องออกมา
เขาหันหลังไปมองและพบดัชนีที่ทะลวงท้องของเฉินยู่เหลียน แต่การโจมตีนั้นก็ไม่ได้ซัดใส่จุดตาย นางเพียงแค่เจ็บปวดแต่ไม่ได้กำลังจะตาย นางอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสงสาร!!
เฉินยู่เหลียนกุมท้องด้วยมือที่เหลือ หน้าผากที่ซีดเผือดนั้นมีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมา แววตาของนางกลับมาหวาดกลัวอีกครั้ง
“จะ…เจ้าตำหนักหยินหยู ไว้ชีวิตข้าเถอะ…ข้าแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น!”
ซือหยูวางดัชนีลงบนระหว่างคิ้วของนางและส่ายหัวอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคิดว่าข้ออ้างนั่นยังใช้ได้อยู่อีกรึ? ตอนที่เจ้าบอกว่าข้าทำร้ายเจ้า เจ้าคิดว่านั่นเป็นการทำตามคำสั่งรึเปล่าล่ะ?”
“ถ้าเจ้าคิดจะปลิดชีพตัวเองแทนที่จะถูกฆ่า ข้าก็จะให้ความนับถือเจ้าบ้าง แต่ตอนนี้สายเกินไปแล้วที่จะมาขอความเมตตา!”
พรึ่บ–
ซือหยูปล่อยพลังวิญญาณออกมาฆ่านางทันที
คนที่ทำให้ซือหยูตกอยู่ในความอันตรายถึงสองครั้งในที่สุดก็ถูกสังหาร
เว่ยเทียนเฉินหวาดกลัวอย่างมากเมื่อได้เห็น เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เขารีบหนีทันที
“หึหึ ท่านเทียนเฉิน คนบริสุทธิ์ถูกอสูรฆ่าตายไปแล้ว ผู้ผดุงความยุติธรรมจะหนีไปไหนกันเล่า? เจ้าไม่กลัวว่าความเป็นวีรบุรุษของเจ้าจะหม่นหมองรึ?”
คำพูดเย้ยหยันดังมาจากด้านหลังของเขา
เว่ยเทียนเฉินได้เข้ามาแทรกกลางระหว่างซือหยูกับเฉินยู่เหลียน เขาแสร้งใช้คุณธรรมช่วยนางจากซือหยู
เขายังร่วมผสมโรงก่นด่าซือหยูในตอนที่ซือหยูกำลังจะตายอีกด้วย!
“เจ้าตำหนักหยินหยู ให้อภัยและลืมมันไปซะเถอะ เจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองหรืออย่างไรกัน?”
เว่ยเทียนเฉินเป็นกังวล
ซือหยูยิ้มเยาะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”
“เจ้าเป็นคนพูดเองว่าข้าทำผิดในอาณาจักรทมิฬ! เจ้ายังอาศัยให้เจ้าเมืองอันยี่กล่าวหาข้า! แต่ตอนนี้คนที่จะถูกฆ่าไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้า!”
“นี่แหละคือกรรมตามสนองที่แท้จริง!”
เว่ยเทียนเฉินทั้งละอายและโกรธแค้น
“เจ้าบิดเบือนความจริง! เจ้าไม่นึกถึงความปลอดภัยของเผ่ามนุษย์แต่กลับดื้อด้านที่จะสังหารพวกพ้อง เจ้าไม่เห็นเผ่ามนุษย์ในสายตาเลยงั้นรึ?”
“ปลิ้นปล้อนนัก!”
ซือหยูตอบอย่างโหดร้าย
“ตลอดครึ่งเดือนที่สัตว์อสูรมาที่นี่ เจ้าได้สังหารสัตว์อสูรไปบ้างหรือไม่ เจ้าที่เป็นอำมฤตระดับสามขั้นกลางน่ะ? ไม่เลย! ข้าสังหารสัตว์อสูรไปมากมายนั่นก็เป็นการช่วยเหลือมนุษย์ในทางอ้อมแล้ว แต่ตอนที่พวกเจ้าเข้ามาจู่โจมข้า เจ้าคิดว่าจะทำให้เผ่ามนุษย์เป็นอันตรายหรือไม่? ไม่า! เจ้ากลับอ้างว่าเจ้าทนเห็นข้าฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้แล้วไปช่วยเฉินยู่เหลียน แต่ตอนที่ข้าฆ่านาง เจ้าก้าวเข้ามาแทนที่จะหนีหรือไม่? นั่นก็ไม่!”
ซือหยูพูดต่อ
“เจ้ามันก็แค่คนเห็นแก่ตัว คนขี้ขลาดที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อมนุษย์ เจ้าไม่คู่ควรกับเผ่ามนุษย์เลย ฆ่าเจ้าไปเผ่ามนุษย์ก็ไม่ได้เสียความปลอดภัยไปนักหรอก!”
เหล่านักสู้ที่หนีเอาชีวิตโดยรอบเข้าใจในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราว
เว่ยเทียนเฉินอ้างว่าเป็นหนึ่งในสี่บุตรแห่งหอสดับหิมะ แต่ก็แค่ใช้อำนาจในการข่มเผ่ามนุษย์ด้วยกันเอง
เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลยตั้งแต่คลื่นสัตว์อสูรโหมเข้ามา
ความตายของคนที่คิดถึงแต่ตนเองเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเผ่ามนุษย์
แม้แต่เว่ยเทียนเฉินเองก็พูดอะไรไม่ออก
“ยอมรับชะตาซะ นับแต่วันนี้ไป สี่บุตรแห่งหอสดับหิมะจะเหลือแค่สองคนเท่านั้น อย่ากล่าวโทษข้า ข้าให้โอกาสเจ้าไปตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว!”
จิตสังหารของซือหยูนั้นเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว เขาดึงธนูเงิน ศรไล่ตามศัตรูไปหลายลี้!
หลังจากที่ศรแล่นผ่านนภาก็ได้ต้องกับเสียงกรีดร้องโหยหวน เว่ยเทียนเฉินถูกศรทะลวงอกตายหลังจากที่หนี
จิตสังหารของซือหยูอยู่ในจุดสูงสุดหลังจากที่ฆ่าไปแล้วสองคน
เขามองไปยังคนสุดท้ายที่ต้องฆ่า!
“เหลือแค่เจ้าคนเดียวสินะ ไป่ฮี!”
ซือหยูหันไปมองอย่างเยือกเย็น
ผู้ตรวจการไป่ฮีไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย
เขามองซือหยูและยิ้มเยาะ
“เจ้าทำเรื่องที่ต้องทำเสร็จแล้วรึ? ช้าเหลือเกิน! เจ้าใช้เวลานานนักกว่าจะฆ่าพวกนั้นได้ ถึงข้าจะปล่อยให้เจ้าฆ่าพวกนั้นได้ เจ้าก็ทำให้ข้าผิดหวังนัก!”
“ฮ่าๆๆ…เจ้ายังอยากจะรักษาหน้าตัวเองอีกรึ!”
ซือหยูหัวเราะอยู่นาน เขาส่ายหัว
“เหตุเดียวที่เจ้ายังอยู่ก็เพราะเจ้าทำทุกอย่างเพื่อที่จะฆ่าข้า แต่ตอนนี้เจ้าจะเสียหน้าหนีไปไม่ได้สินะ!”
“แต่เจ้าก็อ้างว่าการกระทำนั้นก็เพื่อให้เวลากับข้า เจ้าทำให้ดูเหมือนกับข้าฆ่าพวกนั้นได้เพราะเจ้าปล่อยให้ข้าทำ!”
ซือหยูฉีกยิ้ม
“มันคงจะโชคดีมากสินะที่เจ้าเอาแต่หลบอยู่ข้างๆ จะได้มีชีวิตให้นานขึ้นอีกหน่อย!”
สีหน้าของผู้ตรวจการไป่ฮียังคงเดิม
“น่าขันนัก ข้าฆ่าเจ้าได้ไม่ต่างกับสุนัข!”
“ถ้าง่ายนักที่จะฆ่าข้าแล้วทำไมเจ้าไม่ทำเองแทนที่จะยุให้เจ้าเมืองอันยี่ลงมือเล่า? สมบัติเทพของท่านเจ้าตำหนักหลิงยังคงมีผลกับไอ้แก่อย่างเจ้าอยู่ไม่ใช่รึ?!”
ด้วยฐานพลังของซือหยูตอนนี้ มันไม่ยากที่เขาจะสังเกตเห็นฐานพลังที่น้อยลงไปของผู้ตรวจการไป่ฮี เขาพลังลดลงมาอยู่ในระดับอำมฤตระดับสามขั้นสูง!
“หึ หลิงเสี่ยวเทียนใช้สมบัติเทพโดยไร้คำอนุญาต พยายามจะก่อกบฏต่ออาณาจักร เขาหนีการลงโทษไม่พ้นแน่!”
“แล้วก็…ถึงฐานพลังข้าจะลดลง ขยะอย่างเจ้าก็เทียบกับข้าไม่ได้หรอก!”
ผู้ตรวจการไป่ฮีพูดอย่างเย็นชา
“แค่สะบัดข้อมือเจ้าก็ตายแล้ว!”
“เจ้าคิดจริงๆรึว่าข้ายังเป็นเด็กน้อยคนเดียวที่ได้แต่หนีเจ้าในตอนนั้น?”
ก่อนหน้านี้ ผู้ตรวจการไป่ฮีลอบเข้ามาโจมตี ซือหยูไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะตอบโต้ เขาไม่มีแม้โอกาสที่จะได้พยายามหนีด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงเสี่ยวเทียนที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ซือหยูคงตายไปแล้ว
ปั้ง—
ผู้ตรวจการไป่ฮีหัวเราะ
“ข้าไม่เห็นความต่างระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ของเจ้าเลย แค่กระบวนท่าเดียวเจ้าก็ทนไม่ได้แล้ว!”
ปั้ง–
ตอนที่เขาพูดจบ ซือหยูก็ได้ใช้ธนูมังกรฟ้าดินอีกครั้งโดยการแตะดัชนีที่หน้าผากและสร้างศรที่ทำจากพลังความเย็น
ฟึ่บ–
เขาปล่อยนิ้วที่รั้งสายธนู ศรน้ำแข็งทะลวงไปยังผู้ตรวจการไป่ฮี
พลังความเย็นนั้นมากพอที่จะสังหารคนในขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูง และพลังนั้นยังถูกปรับเพิ่มด้วยธนูมังกรฟ้าดิน!
ผู้ตรวจการไป่ฮีชักสีหน้า เขาพยายามจะหลบโดยไม่รู้ตัวแต่เขาจะหลบตอนนี้ได้ยังไงกัน?
“วารีกระจกบุพผา!”
ผู้ตรวจการไป่ฮีเพิ่มพลังวิญญาณและสร้างกระจกวารีออกมาป้องกัน
กระจกนั้นจะทำให้การโจมตีเปลี่ยนเส้นทาง
เมื่อใช้วิชาด้วยพลังสูงสุด หลิงเสี่ยวเทียนมิอาจเอาชนะเขาได้ถ้าไม่ใช้สมบัติเทพ
ฟึ่บ–
ศรน้ำแข็งปะทะกับกระจกวารี
แกร๊กข–
รอยแตกมากมายปรากฏขึ้นบนกระจกวารีที่ไป่ฮีภาคภูมิใจนักหนา
เพล้ง—
ต่อมา กระจกวารีก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ศรน้ำแข็งทะลวงไปถึงอกของผู้ตรวจการไป่ฮี
อั่ก—
เขากระเด็นไปหลายลี้
เสื้อผ้าบริเวณอกนั้นขาดสะบั้นด้วยแรงระเบิด ผมหงอกของเขายุ่งเหยิง
โลหิตสดๆไหลออกมาจากจมูกจนถึงคาง
เพียงแค่การโจมตีเดียว ผู้ตรวจการไป่ฮีก็ย่ำแย่
“หึหึ ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พูดนะ”
ผู้ตรวจการไป่ฮีเช็ดโลหิตในจมูก ใบหน้าแก่เฒ่าของเขาโกรธเกรี้ยวแต่ก็คลับคล้ายคลับคลากับความผิดหวัง
“พลังก็แค่ธรรมดา เจ้ายังทำให้ข้าบาดเจ็บไม่ได้ด้วยซ้ำถึงข้าจะตั้งใจออมมือ การบ่มเพาะพลังของเจ้ามันเสียเวลานยัก”
เขากำลังย่ำแย่ แต่ก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูแววตาเย็นชา รังสีพลังโอบล้อมกาย จังหวะแห่งธรรมชาติโอบล้อมซือหยู
ซือหยูในตอนนี้ดูไม่ใช่คนจากโลกมนุษย์ แต่ราวกับเทพอันงดงาม
ฟึ่บ–
เหล่าเมฆารวมตัวกันเหนือศีรษะ เหล่าเมฆาที่ถูกอัญเชิญนั้นมืดครึ้ม
ในเมฆานั้นมีมังกรอัสนีม่วงที่บินแล่นอยู่ในหมู่เมฆานั้น
ทุกครั้งที่มันปราฏตัว ผืนธรณีล้วนสั่นสะเทือนด้วยเสียงอัสนีคำราม
และหิมะจากเมฆาครึ้มก็ร่วงหล่นสู้ผืนดิน
นี่ต่างจากหิมะธรรมดา หิมะธรรมดานั้นจะละลายเมื่อสัมผัสกับพื้น แต่หิมะนี้กลับแช่แข็งทุกสิ่งที่สัมผัส!
นอกจากพวกอำมฤตระดับสามที่ป้องกันตัวเองได้ คนอื่นนั้นกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอันงดงามเมื่อสัมผัสกับหิมะ
“อ๊าก!! หนีเร็ว!”
หนึ่งคนที่ยังเหลือรอดรีบหนีออกไปทันที
แต่ร่างของเขาก็กลายเป็นน้ำแข็ง ริมฝีปากยังคงอยู่ในท่าเดิม ขาทั้งสองข้างที่ก้าวเพื่อหนียังคงเดิม แต่ทั้งร่างถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งไปตลอดกาล