The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 344
ถ้าซือหยูยังอยู่ เขาจะต้องจำได้แน่ว่าชายแก่นั่นคือผู้เฒ่าหวง!
ส่วนนายน้อยนั่นก็คืออู๋เหยายี่!
อู๋เหยายี่ได้ทำให้ทุกคนตกใจในงานประชุมพันธมิตร เขาเอาชนะเหล่ายอดฝีมือจากพันธมิตรร้อยดินแดนและกลายเป็นม้ามืดในงานที่ทุกคนจับตามอง เขาต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะเพื่อหวังจะได้โอสถฟื้นฟูกายา
แต่เขาพ่ายแพ้ลู่จุนที่ปิดบังตัวตน เขาทิ้งการประลองที่ไม่มีทางได้ลำดับหนึ่งไป…เพราะนั่นหมายถึงเขาไม่มีโอกาสได้โอสถฟื้นฟูกายา
จากนั้นเขาก็สั่งผู้เฒ่าหวงให้ฆ่าซือหยูเอาชิงโอสถมา
ตอนนี้เขามาปรากฏตัวอีกครั้ง
อู๋เหยายี่มีกระบี่ในมือ
“ฮื่ม ตระกูลอู๋จะต้องสั่นคลอนโลก ทำไมพวกเราจะต้องใช้งานฉลองประกาศนามให้โลกได้รับรู้ด้วยเล่า?”
“ข้าก็แค่มาบอกทั้งโลกว่าม่ออู๋เป็นของข้า อู๋เหยายี่ผู้นี้! ไม่ว่านางจะชอบใครในอดีต ไม่ว่าใครจะข้องแวะกับนาง นับแต่นี้ไป นางคือผู้หญิงของอู๋เหยายี่!”
ผู้เฒ่าหวงเงยหน้า
“หึหึ หญิงงามมักจะคู่กับวีรบุรุษ แม่นางม่ออู๋นั้นเหมาะสมกับนายน้อยอย่างยิ่ง นอกจากนายน้อยแล้วก็ไม่มีใครอื่นบนโลกแล้วที่เหมาะสมกับนาง”
อู๋เหยายี่พูดพูดอย่างหยาบคาย
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”
อู๋เหยายี่มองรอบๆและส่ายหัว
“พวกเจ้าต้องกลับไปเตรียมการ ตระกูลตู่จะต้องชำระโลหิตก่อนจะแสดงตัวต่อโลก พวกเราต้องบอกทุกคนว่าเรากลับมาแล้ว!”
…
ซือหยูเร่งรีบตลอดครึ่งเดือนและกลับมายังตำหนักรอง
ในระหว่างทาง เขาได้ใช้โอสถชะตาวิญญาณไป
นี่เป็นโอสถชะตาวิญญาณขวดที่สามที่ซือหยูได้ใช้ ผลของมันลดลงไปมาก ห่างไกลจากครั้งแรกที่ใช้โอสถ
ซือหยูเพียงแค่ทะลวงคอขวดจากขอบเขตอำมฤตระดับสองขั้นสูง ฐานพลังของเขาไปถึงอำมฤตระดับสามขั้นกลาง เพิ่มพลังเพียงแค่สองขั้น
ผลของโอสถชะตาวิญญาณนั้นลดลงไปหลายเท่า
แต่ซือหยูก็ยังพอใจ
รองเจ้าตำหนักธรรมดานั้นจะได้โอสถชะตาวิญญาณหนึ่งขวดในทุกเดือน แต่ซือหยูนั้นได้มาแล้วถึงสามขวด
ฐานพลังของเขาพุ่งทะยานจากขอบเขตมังกรระดับเจ็ดมาถึงอำมฤตระดับสามขั้นกลางในระยะเวลาแค่สองเดือน!
ความเร็วในการเติบโตนั้นไม่มีใครในทวีปที่เทียบได้
แน่นอนว่ามิใช่แค่ฐานพลังอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้น วิชาบ่มเพาะที่พัฒนาขึ้นยังนับว่าน่าตกใจ
วิชาระดับอำมฤตและตำนานร่วมกับฎีกาสวรรคต์ ทุกอย่างเติบโตอย่างมาก
เมื่อไม่นานนี้ เขายังได้วิชาร่างเทียมของไป่ฮีมาอีก!
สองเดือนของการบ่มเพาะพลัง ซือหยูพบว่าวิชาอำมฤตนี้นั้นง่ายอย่างน่าตกใจ
บางทีอาจจะเป็นเพราะผลจากการชำระวิญญาณของบ่อเคลือบจินตนา ซือหยูไม่พบสิ่งกีดขวางใดเลยเมื่อพยายามจะฝึกวิชา เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ในครึ่งเดือน เขาได้เพิ่มพลังขึ้นอย่างมหาศาล
วิชาร่างเทียมนั้นเป็นส่วนของวิชาอำมฤตและมีแค่สองขั้น ขั้นสามขั้นยังไม่พบ
ด้วยฐานะของผู้ตรวจการไป่ฮี ไม่ยากที่เขาจะบ่มเพาะวิชาระดับอำมฤตทั้งเล่ม
แต่เขาก็ยืนกรานที่จะเลือกเศษวิชาเช่นนี้ นั่นเห็นได้ชัดว่าวิชานี้พิเศษเพียงใด
ซือหยูบ่มเพาะมันครึ่งเดือน เขาบ่มเพาะจนถึงระดับหนึ่งขั้นสูง
เขาใช้พลังวิญญาณสามในสิบส่วนสร้างร่างพลังวิญญาณที่มีพลังเท่ากับเจ็ดในสิบส่วนของร่างต้น
ฐานพลังของร่างเทียมนั้นอยู่ที่ขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นต้น ต่ำกว่าร่างต้นเพียงขั้นเดียว
สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพียงอย่างเดียวก็คือร่างเทียมนั้นใช้วิชาของร่างหลักไม่ได้ เขาต้องให้ร่างเทียมไปฝึกวิชาอื่น
แต่แม้ว่าจะไม่มีการบ่มเพาะวิชา พลังของร่างเทียมก็ยังคงน่าตกใจอยู่ดี
สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ซือหยูตกใจที่สุด นั่นก็คืออรหันต์แปดอักษร!
ซือหยูได้เข้าสู่ขั้นต้นจากขั้นแรกเริ่ม!
เขาได้ภูมิปัญญาจากอักษรตัวที่สองของอรหันต์แปดอักษร…นั่นคือปิง!
ในด้านพลัง ‘ปิง’ นั่นแข็งแกร่งกว่า ‘หลิน’ อย่างมาก ถ้าเอามาเทียบกันมันก็เทียบได้กับคลื่นน้อยกับมหาสมุทรกว้างใหญ่
ซือหยูยังจำได้ดี เมื่อเขาปลดปล่อย ‘ปิง’ ออกมา อัสนีที่พุ่งลงสู่พื้นนั้นพุ่งกลับคืนเมฆาไป
พื้นที่สามสิบลี้รอบซือหยูล้วนถูกคำว่า ‘ปิง’ ส่งผล!
แม้แต่ซือหยูก็กังวลกับพลังที่วิชานี้มี
วิชาระดับตำนานนี้เป็นของทวีปเฉินหลงจริงๆงั้นรึ?
แค่ขั้นต้นก็มีพลังเช่นนี้ พลังของมันมหาศาลจนเกินไป
ถ้าเขาบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด มิใช่ว่าเขาจะปกครองได้ทุกสิ่งหรอกรึ?
ยังมีอีกข้อสงสัยในใจซือหยู
นอกเหนือจากนี้ ซือหยูยังคงพอใจกับเก้าดัชนีอัสนีจินตนา อีกไม่นานวิชานี้จะถึงระดับสอง
เขาเข้าใจทั้งวิชาและต้องใช้การฝึกฝนอยู่บ้างก่อนจะทะลวงระดับสองขั้นกลาง!
ในขั้นแรก ดัชนีสายฟ้าดารานั้นมีพลังมหาศาลอยู่แล้ว ซือหยูคาดหวังว่าระดับสองจะเป็นเช่นไร
สุดท้ายคือโอรสสวรรค์จ้องนภา
เขาได้บ่มเพาะวิชานี้มาจนถึงขั้นกลางนานแล้ว แต่มิอาจได้เป็นระดับหนี่งขั้นสูงมานานที่สุด
แต่เมื่อไม่นานมานี้สัญชาตญาณก็บอกกับเขาว่าเขากำลังจะสำเร็จมัน!
ถ้าบ่มเพาะจนถึงขั้นสูง เขาจะใช้ร่างวิญญาณในการต่อสู้ได้
ซือหยูคาดหวังกับวิชานี้มาก
ฟึ่บ–
สายลมโหยหวน ซือหยูทิ้งไว้เพียงภาพติดตา เขาไปถึงกลางตำหนักรองในไม่กี่วันต่อมา
ที่ตำหนักหลิงเสี่ยว
“ท่านเจ้าตำหนัก ข้ากลับมาแล้ว”
ซือหยูกลับมาเคารพเจ้าตำหนักเมื่อกลับมา
เมื่อซือหยูทัก หลิงเสี่ยวเทียนก็ครุ่นคิด ไม่ยากที่จะมองเห็นความกังวลในใบหน้า
เมื่อได้ยินซือหยู เขาหันมายิ้ม
“ดีที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
เขามองฐานพลังและพูดอย่างโล่งใจ
“เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
การเติบโตของซือหยูนั้นไม่เคยรอดพ้นสายตา
ซือหยูยิ้มรับ
“ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านที่ดูแลข้า”
ซือหยูรู้ว่าหลิงเสี่ยวเทียนช่วยเขามากเพียงใด
ถ้าเขาบ่มเพาะเพียงลำพัง เขาจะได้โอกาสมากมายเช่นนี้รึ? เขาอาจจะยังไม่ได้เป็นขอบเขตอำมฤตด้วยซ้ำ
“ท่านเจ้าตำหนัก ข้ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”
ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
หลิงเสี่ยวเทียนยิ้ม
“เรื่องตระกูลตู่รึ? เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก พวกนั้นกล้าสังหารรองเจ้าตำหนัก! ดูเหมือนตระกูลตู่จะมั่นคงจนเกินไปตลอดหลายร้อยปีนี้ พวกนั้นลืมรากเหง้าต่ำต้อยของตัวเองจนหมดสิ้น!”
“เจ้าไปเมืองอันยี่กับข้า ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน! ข้าจะเค้นโลหิตของพวกมันให้เจ็บปวดกว่าที่ทำกับเจ้าเป็นสิบเท่า!”
ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่น เขาเคยอยู่ใต้สำนักหลิวเซี่ยนและตำหนักรอง การปฏิบัติต่อเขานั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
เจ้าสำนักหลิวเซี่ยนนั้นไม่ได้มองว่าชีวิตของเขามีความสำคัญด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคของซือหยู เขาก็คงนอนเป็นซากศพไปแล้ว
แล้วสำนักหลิวเซี่ยนก็ยังพยายามจะประหารเขาเพราะสมบัติที่ไม่รู้จัก
เทียบกับสองสิ่งนี้แล้ว เขาเห็นได้ชัดว่าหลิงเสี่ยวเทียนให้เขามากมายแค่ไหน
“ท่านเจ้าตำหนัก นั่นไม่จำเป็นเลย”
ซือหยูส่ายหัว
หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างเย็นชา
“คนในตำหนักรองมิอาจกลืนศักดิ์ศรีไปได้เมื่อถูกรังแก! ข้าจะต้องลงโทษพวกมันที่ทำกับเจ้าให้เป็นสิบเท่า!”
ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง
“นั่นคือเรื่องที่ข้าจะรายงาน เมืองอันยี่ถูกทำลายแล้ว!”
“อะไรนะ?”
เจ้าเมืองอันยี่เบิกตากว้าง แล้วก็ตกใจกับสถานการณ์
“บอกรายละเอียดข้าที!”
จากนั้นซือหยูก็รายงานทุกสิ่งที่เขาพบและได้ยิน
“จักรพรรดิสัตว์อสูรงั้นรึ?”
หลิงเสี่ยวเทียนกังวล
“ตามที่ข้ารู้ ทั้งทวีปมีจักรพรรดิสัตว์อสูรไม่ถึงสิบตัวหรอก”
“ทวีปตอนเหนือแห่งนี้นับว่าแร้นแค้น ทวีปนี้มีแค่จักรพรรดิขนทองคำเท่านั้น! มันอยู่ที่ศูนย์กลางป่าทมิฬ บัญชาเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดในทวีป มันแข็งแกร่งอย่างมาก!”
“แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีสมบัติเทพในมือ ทำไมสัตว์อสูรแบนั้นถึงมาปรากฏตัวกัน?”
ซือหยูครุ่นคิด
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง จักรพรรดิสัตว์อสูรนั่นพูดว่ามันมีเจ้านาย!”
“เจ้านาย…เจ้าหมายถึงมันยังมีเจ้านายอยู่อีกใช่หรือไม่?”
หลิงเสี่ยวเทียนเครียดเป็นอย่างมาก
หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างจริงจัง
“ดูเหมือนว่าเราต้องให้ท่านราชารู้เรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจของตำหนักรองอีกแล้ว!”
เมื่อคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องเรียกนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป…ราชาแห่งความมืด!