The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 347
ใต้ต้นไม้ตรงหน้าเขาในสายลมอ่อนโยน มีชายหนุ่มสวมชุดขาวยืนเอนกายอยู่อย่างสบายใจ
ใต้หน้ากากนั้นเป็นใบหน้าอันสลักงดงามราวกับมิใช่คนจากขอบเขตของมนุษย์
ผมสีเงินโบกสะบัดไปตามแรงลม
คนในตำหนักหยินหยูสนใจกับท่าทางประหลาดของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงและมองตามไป พวกเขาตกตะลึง
คนผู้นั้น จะเป็นใครไปได้นอกจากเจ้าตำหนักหยินหยู?
“เจ้าตำหนักหยินหยู! นั่นท่านเจ้าตำหนักของเรา!”
“เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมเขาไม่บาดเจ็บล่ะ?”
อะไรนะ? เจ้าตำหนักหยินหยูรึ?
เสี่ยวกวงสับสน
นั่นคือเจ้าตำหนักหยินหยูคนที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อครู่งั้นรึ?
“ฮื่ม! ตำหนักหยินหยูนี่มันอะไรกัน? เจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริงคือไอ้ขี้ขลาดที่เร้นกายอยู่ในหลังของผู้อื่นงั้นรึ?”
ซือหยูที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นใจเย็น
“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง รู้สึกอย่างไรล่ะเมื่อสู้กับร่างเทียมของข้า?”
ร่างเทียมรึ?
คนในตำหนักหยินหยูตกตะลึง!
ร่างที่เปล่งประกายเมื่อครู่เป็นร่างเทียมของเจ้าตำหนักหยินหยู!
ในบรรดารองเจ้าตำหนักทั้งสิบ มีแค่คนเดียวที่ครอบครองวิชาร่างเทียม และนางคือเจ้าตำหนักฉีหลาน!
เจ้าตำหนักหยินหยูมีวิชาลับเช่นนั้นอยู่ด้วยรึ!
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตกตะลึง
เขาตกใจว่าเมื่อครู่ คนที่เขาสู้ด้วยความพยายามอย่างมากถึงยี่สิบกระบวนท่าคือร่างเทียมของเจ้าตำหนักหยินหยู!
โดยทั่วไป พลังของร่างเทียมจะอ่อนแอกว่าร่างหลักอย่างมาก
ถ้าร่างเทียมมีพลังที่น่ากลัวเช่นนั้น แล้วร่างหลักจะมีพลังเช่นใดกัน?
พรึ่บ–
แสงบนร่างเทียมเปล่งประกายกลายเป็นพลังวิญญาณกลับเข้าสู่ร่างหลัก
ซือหยูมองเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าเคยเห็นความต่างของขั้นต้นกับขั้นกลางแล้ว ตอนนี้โปรดทำให้ข้ารู้ถึงความต่างของระดับเดียวกันด้วยเถอะ”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงขบริมฝีปาก สีหน้าของเขาเยือกเย็น
“เจ้าตำหนักหยินหยู ข้ามาเพื่อพบเจ้าเพราะมีเรื่องจะปรึกษาเจ้า ทำไมเจ้าต้องหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้?”
หลังจากที่ได้ยิน ซือหยูหันไปมองตำหนักที่ถูกทำลาย ทหารหลายคนที่บาดเจ็บ ทหารที่ตายอย่างอนาถ และฉีหยุนเซี่ยงที่กำลังตกใจ
“นี่รึที่เจ้าเรียกว่าปรึกษา?”
ในโลกใบนี้ จะไปหาคนที่เหมือนดั่งศัตรูคู่อาฆาตที่เข้ามาทำลายตำหนักของอีกฝ่าย สังหารคนของอีกฝ่าย และลักพาตัวของอีกฝ่ายเป็นตัวประกันแม้จะมาเพื่อหาคำปรึกษาได้จากที่ใดกัน?
เขาก็แค่กลัวพลังของซือหยูเลยเปลี่ยนความคิดไปชั่วคราวเท่านั้น
แต่ก็น่าเสียดายที่เขารุนแรงเกินไปในก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนไปของเขานั้นน่าหัวร่อยิ่งนัก
ความอับอายของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงปรากฏขึ้นอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะหายไป
“คนของเจ้าเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพข้าก่อน ข้าจึงบันดาลโทสะโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าก็เลยทำลายตำหนักเจ้ากับทำร้ายคนของเจ้าบางคนเท่านั้น”
คนในตำหนักหยินหยูโกรธแค้นเมื่อได้ยินดังนี้
เจ้าตำหนักเสี่ยวดวงนั้นไม่ฟังเหตุฟังผลและบุกเข้ามาต่างหาก
เขาไม่สนใจชีวิตผู้คน เขาสังหารผู้คน และพูดได้อย่างเรียบเฉยว่าเมื่อทำลายตำหนักหยินหยูไปครึ่งส่วน
ตั้งแต่ต้นจนจบ มีใครที่ไม่เคารพนับถือเขาแม้แต่น้อยงั้นรึ?
ด้วยตัวตนของเจ้าตำหนักลำดับสามเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีใครกล้าหายใจแรงแล้ว
และตอนนี้ เขาได้แก้ตัวโดยบอกว่าเป็นฝั่งคนของซือหยูที่ทำให้เขาโกรธ!
ฉีหยุนเซี่ยงพูดด้วยความแค้น
“ท่านเจ้าตำหนัก เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงบุกเข้ามาเอง พวกเราไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นการดูหมิ่นเลยแม้แต่น้อยในตั้งแต่แรก ท่านเจ้าตำหนักโปรดมอบความเป็นธรรมให้กับพวกเราด้วย”
“หุบปาก! เจ้ามีสิทธิ์จะเข้ามาแทรกตอนที่ข้าพูดอยู่งั้นรึ?”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตะโกนอย่างเย็นชา
“ำข้าน่ะเป็นรองเจ้าตำหนัก ข้าจะกล่าวโทษเจ้าไปทำไมกัน?”
ระหว่างคนรับใช้หนึ่งคนกับรองเจ้าตำหนัก ใครจะน่าเชื่อถือกว่ากัน?
เป็นธรรมดาที่คำตอบน่าจะเป็นอย่างหลัง
แต่ก็น่าเสียดายที่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือซือหยู!
“โอ้ เช่นนั้นรึ?”
ซือหยูเดินออกจากใต้ร่มไม้
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงพูดด้วยความระมัดระวัง
“ทำไมกัน เจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นรึ?”
ซือหยูส่ายหน้า
“ข้าเชื่อใจเจ้า ข้าต้องเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว บางทีคนของข้าอาจจะทำให้เจ้าโกรธจริงๆ นั่นจึงทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิด”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จิตใจของคนในตำหนักหยินหยูเยือกเย็นลง ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้กัน?
เจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้ปกป้องพวกเขามาตั้งแต่แรกงั้นรึ? หรือว่าเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคนนี้จะเป็นคนที่เขาไม่กล้าที่จะต่อกรด้วย?
แต่ก่อนที่เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงจะได้โล่งใจ น้ำเสียงของซือหยูก็เย็นชาลง
“แต่แม้คนของข้าจะดูหมิ่นเจ้า แล้วมันยังไงรึ? ถ้าเจ้าบอกว่าคำพูดของพวกเขาไม่ต่างจากการทำร้ายเจ้า เจ้าก็ต้องอดทน! และเจ้าก็ยังทำร้ายพวกเขา ทำลายตำหนักข้า แล้วเอาจับคนของข้าเป็นตัวประกัน ฮื่ม…ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก!”
เขาจะเชื่อเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงได้อย่างไร?
ซือหยูรู้นิสัยใจคอของฉีหยุนเซี่ยงดีกว่าผู้ใด และเขาแน่ใจได้เลยว่านางมิใช่คนที่จะหยาบคายก่อน
ส่วนคนที่เหลือ ใครกันจะกล้าหยาบคายต่อรองเจ้าตำหนักลำดับสาม?
และในตอนนี้ เขาที่เป็นฝ่ายผิดกลับใส่ร้ายว่าคนของซือหยูดูหมิ่นเขา!
การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แบบพลิกฝ่ามือเช่นนี้ทำให้สีหน้าของเสี่ยวกวงเคร่งเครียด เขาไม่พอใจ
“หยินหยู เจ้าอยากจะให้ข้าเป็นศัตรูกับเจ้าจริงๆรึ?”
ซือหยูหัวเราะ
“ศัตรูงั้นรึ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์จะเป็นศัตรูกับข้าด้วยรึ?”
ไม่ต้องพูดถึงอำมฤตระดับสามขั้นกลางเลย ซือหยูฆ่าคนเหล่านั้นไปหลายคนแล้ว…และฆ่าด้วยตัวเอง
แต่ช่างน่าขันนักที่เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคิดว่าซือหยูไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของอำมฤตระดับสาม
“หยินหยู! อย่าหยาบคายให้มากนัก! ถ้าข้าเอาจริงก็สายไปแล้วที่เจ้าจะเสียใจ!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงแอบโกรธแค้น แม้เขาจะกลัวซือหยู เขาก็ไม่คิดว่าความแตกต่างของพลังระหว่างกันจะมากนัก
“หยาบรายรึ? เทียบกันแล้ว ข้ายังไม่ถึงขั้นที่ไปทำลายตำหนัก ฆ่าทหาร และเอาคนของผู้ใดเป็นตัวประกัน!”
ซือหยูเดินเข้าไป แม้ว่าจะดูช้าแต่ก็เขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“งั้นเจ้าก็เอาจริงซะ ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจได้ยังไง!”
ซือหยูยิ้มเยาะ
เส้นเลือดบนหน้าผากเสี่ยวกวงปูดโปน เขาโกรธเต็มที่
“หยินหยู เจ้าบอกให้ข้าลงมือเองนะ!”
“หกภาพลวง!”
เขาใช้วิชาเดิมโจมตีด้วยพลังเต็มที่อีกครั้ง
เขาไม่กล้าจะประมาทซือหยูอีกแล้ว
ชั้นภาพลวงพุ่งเข้าหาซือหยู
สายลมอันรุนแรงกับพลังอันไร้เทียมทานปกคลุมทุกสิ่ง
กลุ่มทหารรีบถอยเพื่อเลี่ยงพลังเหนือมนุษย์นั้น
ซือหยูยังคงใจเย็น มือทั้งสองไพล่หลังดังเดิม
“แสดงพลังออกมา! ข้าอยากจะเห็นว่าวิชาเจ้ามันแข็งแกร่งแค่ไหน!”
ซือหยูยื่นมือรวบรวมพลังวิญญาณ เขาส่ายหัว
“ข้าต้องใช้วิชาจัดการกับเจ้าด้วยรึ? เจ้าจะโอหังเกินไปแล้ว!”
ครืน—
ปั้ง–
ฝ่ามือของซือหยูดูธรรมดา แต่ฝ่ามือนั้นก็ทำให้เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอยไปสิบก้าว!
อีกฝ่ายใช้วิชาบ่มเพาะส่วนอีกฝ่ายใช้แค่พลังวิญญาณ แม้ทั้งสองจะมีฐานพลังเท่ากันแต่ผลที่ได้นั้นแตกต่างกันมาก!
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตกใจมาก ร่างหลักของซือหยูมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!
และพลังยังใกล้เคียงกับระดับสูงอีกมาก!
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหวาดกลัวและไม่สบายใจ!
เขารู้สึกอัปยศ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงอดทนมันเอาไว้ เขาใช้จังหวะนี้ถอยและบินหนี
แววตาดั่งพยัคฆ์จับจ้องมาที่ซือหยู
“เจ้าตำหนักหยินหยูนั้นสมคำร่ำลือจริงๆ ข้ารู้แล้วว่าข้านั้นต่ำต้อยกว่า! วันนี้พอแค่นี้เถอะ ข้าจะไปแล้ว!”
“ใครบอกเจ้าว่านี่เป็นการประลอง?”
จิตสังหารของซือหยูเพิ่มขึ้น
“ข้าพูดไปแล้ว ถ้าเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าตาย!”