The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 354
“อย่าทำเรื่องโง่ๆอีกเป็นครั้งที่สอง มิเช่นนั้น…เจ้ารู้ดี!”
สตรีในหน้ากากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“ค่ะ ท่านอาจารย์”
“อืม แล้วภารกิจของเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?”
สตรีในหน้ากากถามอย่างเย็นชา
“ข้าได้สูตรปรุงยาที่เป็นสมบัติของตระกูลเหยามาแล้ว ข้าคิดจะรวบรวมวัตถุดิบให้พอและมอบให้ท่านอาจารย์พร้อมกัน แต่ในระหว่างทาง ข้าพบกับเด็กหนุ่มที่ใช้ธนูสีเงิน ธนูสีเงินนั่นมีพลังมหาศาลราวกับไม่ใช่สมบัติเทพธรรมดา”
“ข้าคิดจะเอามันมาเป็นบรรณาการท่านแต่กลับกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัว”
สตรีในหน้ากากส่ายหน้าอย่างเย็นชา
“ถ้าเจ้าตั้งใจเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว จงจำไว้ว่าคราวหน้าเจ้าต้องระวังให้มากขึ้น ตอนนี้คณะวิหคเพลิงกำลังรวบรวมยอดฝีมือมากมายที่นี่ มีผู้มีพรสวรรค์ประหลาดมากมาย เจ้ามิอาจมองข้ามผู้คนเพราะเห็นแค่ว่าเขานั้นอ่อนเยาว์”
“เห็นแก่ที่เจ้าทำภารกิจสำเร็จ ข้าจะไม่ว่าอะไรอีก ไปบ่มเพาะพลังเถอะ”
โจวจิ้งดีใจ นางยิ้มเมื่อได้รับอิสระ
“ในที่สุดข้าก็ออกจากตระกูลเหยาได้สักที”
ก่อนหน้านี้ นางได้สละตัวเองแต่งงานกับคนตระกูลเหยาะเพื่อให้ได้สูตรปรุงยาโบราณตามคำสั่งของอาจารย์
นางใช้เวลาสามปีเผชิญหน้ากับคนที่นางไม่ได้ชอบ นางกระทำการอย่างระวังทุกครั้งเพื่อให้ได้ความเชื่อใจจากตระกูลเหยาก่อนที่แผนจะมาถึงขั้นนี้
และตอนนี้ นางได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว
หลังจากที่โจวจิ้งกลับไป สตรีในหน้ากากก็หันไปมองแผ่นหลังของโจวจิ้ง
“เจ้าทำหน้าที่สำเร็จแล้ว โจวจิ้ง ถึงเวลาที่เจ้าจะได้กลับไปยังที่ของเจ้าเสียที”
ฟึ่บ–
ซือหยูร่อนลงไปยังประตูดำสนิทของสวน
เขามองรอบๆและไม่พบโจวจิ้งกับคนลึกลับนั่นเลย
“ที่นี่มันอะไรกัน”
ซือหยูมองไปยังทุกทิศทาง ที่นี่เงียบอย่างผิดปกติ ไม่มีแม้แต่เสียงปีกแมลง
ในตอนนั้นเอง สายลมได้พัดผ่าน
ซือหยูเบิกตากว้างและหันไปมองคอกไม้
เขาค่อยๆเดินเข้าไปเง้มประตูเพื่อแอบดูข้างใน
“หา…”
ซือหยูอ้าปากค้าง
ด้านในคอกไม้นั้นมีโครงกระดูกมนุษย์อยู่ยี่สิบร่าง!
เก้าคนนั้นถูกพันธนาการอย่างแน่นหนากับกำแพง ร่างของพวกเขาส่งกลิ่นเหม็นเน่าของเนื้อ!
แต่พวกเขายังไม่ตาย พวกเขายังคงหายใจอยู่ด้วยปาก
แต่ละคนมีสีหน้าเจ็บปวดและเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ฝูงแมลงล้อมพวกเขาเตรียมจะเลี้ยงฉลองกับอาหารกันโอชะ
พวกเขาทั้งเก้าคนกับโครงกระดูกนั้นต่างมีส่วนของร่างกายที่หายไป!
มีถังน้ำใหญ่อยู่ในห้องที่ติดกับคอกไม้ทั้งสองด้าน ในนั้นมีชิ้นส่วนของมนุษย์!
พวกเขาถูกทรมานจนตายโดยฝีมือคน อวัยวะของพวกเขาถูกเฉือนออกทั้งเป็น!
ใครกันที่ป่าเถื่อนเช่นนี้?
ซือหยูมองดูใกล้ๆและพบว่าในคอกไม้นั้นเต็มไปด้วยโอสถที่ยังไม่ถูกใช้
“มีคนใช้มนุษย์ทดลองโอสถงั้นรึ?”
ซือหยูเสียวสันหลัง
ใครกันที่เป็นอาจารย์ของโจวจิ้ง นางคิดจะทำอะไรกัน? ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้!
“ช่วย…ด้วย…”
หนึ่งในเก้าคนยังพอมีสติอยู่บ้าง พวกเขาอ้าปากช้าๆเมื่อรู้สึกได้ถึงคนข้างนอก
ปั้ง–
ซือหยูพังประตูอย่างรวดเร็ว เขาคิดจะทำลายโซ่และช่วยพวกเขา
ท้องของเขาถูกเฉือนเปิดออก อวัยวะภายในหายไป เขากำลังอยู่ในลมหายใจสุดท้าย
แต่ก่อนที่ซือหยูจะช่วยเขา เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ อย่าเอาข้าลง…ฆ่าข้า…ฆ่าข้าเพื่อช่วยข้าเถอะ…”
ความเจ็บปวดใดกันที่เขาต้องเผชิญ ถึงต้องอ้อนวอนขอความตายเยี่ยงนี้?
นี่มันตายทั้งเป็น!
ถูกชิงอวัยวะไปทั้งที่ยังไม่ตาย ถูกกระทำเช่นนี้แต่ก็ยังมิอาจตายได้
เขาแค่หวังที่จะตายเท่านั้น!
ซือหยูตกใจ ฝ่ามือของเขาสั่นเทิ้ม
โหดร้ายเกินไป! ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!
เขาสังหารผู้คนมามากมาย แต่ไม่เคยทรมานใครให้ตายเลย!
“ใครทำเจ้า?”
ซือหยูถามเบาๆ
อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงอันรวยริน
“เฟิง…”
อั่ก—
เขาอ้าปาก…โลหิตสีดำพุ่งออกมา
และในเวลาเดียวกัน แปดคนที่เหลือเกิดอาการชักและมีฟองออกจากปาก
ร่างของพวกเขาเน่าเปื่อยจากภายในอย่างรวดเร็ว!
“อ๊าก! เร็วเข้า ฆ่าข้าเถอะ!”
เขาราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนว่าเขากำลังเผชิญกับการลงทัณฑ์จากนรก!
ซือหยูค่อยๆหลับตา!
โหดร้ายเกินไปแล้ว!
พวกเขามิอาจปลดปล่อยไปได้แม้พลังชีวิตเฮือกสุดท้าย
เปรี๊ยะ–
ซือหยูหลับตา ปลายดัชนีปลดปล่อยสายฟ้าออกมาและเปลี่ยนพวกเขาเป็นฝุ่นผง
นี่คือการปรานีสูงสุด เป็นการให้พวกเขาไปสู่สุคติโดยเร็ว
เมื่อเรื่องจบลง ยากที่ซือหยูจะใจเย็นลงได้
เฟิง… เฟิงอะไรกัน? เขายังมนุษย์อยู่รึ?
เขาไปที่ใดแล้ว?
ซือหยูโค้งคำนับให้กับร่างไร้วิญญาณในคอกไม้ก่อนจะจากไป
ถ้าหากเขาได้พบกับคนที่ชื่อนำหน้าด้วย ‘เฟิง’ ผู้ที่กระทำเรื่องเช่นนี้ เขาจะต้องล้างแค้นแทนสวรรค์ให้กับเหล่าผู้คนที่ตายไป
นี่คือสัญญาเดียวที่ซือหยูจะให้ได้กับเหล่าคนแปลกหน้าเหล่านี้
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–
ซือหยูไม่พอใจเล็กน้อย
“สุดท้ายข้าอาจจะต้องกับดัก!”
“แต่โจวจิ้ง เจ้าหนีข้าไปไหนไม่ได้หรอก!”
ดวงตาของซือหยูเปล่งประกาย
“พวกข้าคือหน่วนลาดตระเวนจากคณะวิหคเพลิง ผู้ใดก็ตามที่อยู่ข้างใน ออกมาซะ!”
เสียงสตรีอันเย็นชาดังมาจากข้างนอก
ซือหยูเดินออกจากคอกไม้ เขาจ้องมองหน่วยลาดตระเวน
ทุกคนล้วนเป็นหญิงสาวที่สวมเกราะสีแดงเพลิง
ฐานพลังของพวกนางอยู่ที่ประมาณอำมฤตระดับสอง แต่หัวหน้าที่งดงามนั้นมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูง!
แม้นางจะอายุเกินสามสิบปีก็ไม่ยากที่จะบอกว่านางงดงามเพียงใดในอดีต!
รูปลักษณ์ของนางนั้นสง่างาม นางผอมมาก
แต่สีหน้าของนางนั้นเยือกเย็นราวกับจะเตือนผู้คนที่เข้าใกล้
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? สวนนี้ถูกจัดให้เป็นที่หวงห้ามตั้งนานแล้ว!”
นางจ้องซือหยู
ซือหยูหลีกทางอย่างไร้อารมณ์ เขาหนักใจ
“เจ้าไปดูเองเถอะ”
เอ๋? นางผู้เป็นหัวหน้าเลิกคิ้ว นางจับกระบี่ยาวที่เอวและก้าวเข้าไปในคอกไม้
นางออกมาในไม่นาน
ใบหน้าอันงดงามนั่นเป็นดั่งสิงห์พิโรธ ความโกรธอันไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากผิวกาย
“จับเขา!”
นางชี้ซือหยูโดยไม่พูดอะไรอื่น!
ซือหยูขมวดคิ้ว
“เจ้าจะไม่ดื้อดึงเกินไปหน่อยรึ? จับข้าโดยไม่ถามเหตุผลเช่นนี้ก็ได้รึ?”
“ข้าไล่ล่าศัตรูและพบที่นี่โดยบังเอิญ คนที่ทำผิดไม่ใช่ข้า!”
ซือหยูอธิบาย
แต่เขาไม่คิดเลยว่าหน่วยลาดตระเวนอันงดงามนี้จะทำท่าทางประหลาดโดยอะไรบางอย่าง แววตาของนางเต็มไปด้วยเพลิงอันโกรธเกรี้ยว ดูเหมือนนางอยากจะกัดซือหยูให้ตาย
“เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกรึ?”
“ข้าได้รับรายงานมาว่ามีคนจากปราการวิหคเพลิงหายไปและเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่สวมชุดขาว นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่! แล้วหลักฐานก็อยู่คาหนังคาเขา เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกรึ?”
นางขึ้นเสียงพร้อมกับจิตสังหาร
“เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? ถึงได้กล้าทำเรื่องชั่วช้าป่าเถื่อนเช่นนี้?”
“ข้า มู่เทียนฟาง ขอประกาศในนามแห่งคณะวิหคเพลิง ข้าจะต้องประหารสัตว์ร้ายอย่างเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ซือหยูไม่พอใจเล็กน้อย
“แม่นางมู่ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะสืบสวนกับคนที่แจ้งเรื่องนะ”
“ถ้าข้าเป็นคนทำ ข้าจะบอกถึงตัวตนของข้าให้พวกเจ้าเข้ามารึ? ข้าจะไม่หละหลวมไปหน่อยรึ? แล้วทำไมข้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ในที่ที่มีแต่หลักฐานเต็มไปหมดเช่นนี้?”
มู่เทียนฟางมองอย่างขยะแขยง
“เจ้าจะบอกว่าพวกข้าไร้ความสามารถและมิอาจจับตัวเจ้าได้ในอดีตงั้นรึ?”
“ใช่แล้ว พวกเจ้ามันไร้ความสามารถ! เจ้าไม่มีเบาะแสเลยว่าคนกำลังถูกทำร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าบังเอิญมาเจอที่นี่ มันก็ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่จะต้องรอคอยวันตายที่นี่”
มู่เทียนฟางหน้าแดงด้วยความโกรธ
“เจ้า! ไร้ยางอายนัก! มันสายไปแล้ว พวกข้าจะจับเจ้า!”
“เจ้าไม่ต้องขัดขืน ข้าขอถามเจ้า เก้าคนนั้นตายยังไง?”
มู่เทียนฟางถามอย่างเยือกเย็น
ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขาถอนหายใจอย่างไม่พอใจ
“ชีวิตพวกเขาจบลงด้วยวิชาอัสนีของข้า”
“หึหึ เจ้ารู้สึกผิดบ้างหรือไม่?”
มู่เทียนฟางหัวเราะอย่างเย็นชา
“เจ้ากล้าจะทำความผิดแต่ก็ไม่กล้าจะยอมรับ เจ้าไม่กล้าสารภาพหลังจากที่ทำเรื่องชั่วร้ายอย่างนั้นรึ?”
ซือหยูขมวดคิ้ว นางหัวรั้นอะไรเช่นนี้!
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย โปรดสืบเรื่องโดยเร็วเถอะ คนที่รายงานเรื่องนี้อาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง!”
ซือหยูพูดซ้ำ
เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าหน่วยลาดตระเวนจะหาคนที่เป็นเจ้าของที่แห่งนี้ได้หรือไม่
“เจ้าไม่ต้องมองหาเขาอีกแล้ว ข้าปล่อยเขาไปแล้ว ไม่ต้องคิดจะไปล้างแค้นเขาหรอก”
มู่เทียนฟางหัวเราะอย่างเย็นชา
“ไม่รู้สำนึกแม้จะใกล้ตาย สัตว์ป่าอย่างเจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว!”
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย ยอมรับแล้วตามข้าไปรับการลงโทษซะ!”
นางปล่อยเขาไปรึ? ซือหยูโกรธเกรี้ยว
“นังคนหัวรั้น! ไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้!”
มู่เทียนฟางตกใจเสียงตะโกน นางทั้งอับอายและโกรธแค้น
“เจ้าคนชั่ว คนอย่างเจ้าไม่ควรจะได้รับการลงโทษจากคณะวิหคึเพลิงอีกแล้ว ข้าจะฆ่าเดรัจฉานอย่างเจ้าเอง!”
ซือหยูโกรธแค้น ความโง่เขลาของสตรีผู้นี้เข้าขั้นเกินเยียวยา!
ซือหยูแผดเสียงและซัดพลังก่อนอีกฝ่าย
“นังหัวรั้น ข้าจะดูว่าสมองเจ้ามันทำมาจากอะไร!”