The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 356
“ที่เหลือก็แค่พิธีในงานชุมนุมอย่างเป็นทางการเท่านั้น”
อะไรนะ? ซือหยูก้าวถอยหลังอย่างไม่เชื่อหู
มีการประลองก่อนงานชุมนุมงั้นรึ?
เซี่ยนเอ๋อหมั้นกับเฉินคงไปแล้วรึ?
ซือหยูมิอาจยอมรับความจริงอันน่าขันนี้ได้
เขาเดินทางเป็นล้านลี้มาที่คณะวิหคเพลิงเพื่อพาเซี่ยนเอ๋อกลับไปมิใช่รึ?
แต่ในความจริงนั้นซือหยูสายเกินไป!
“ในเรื่องนั้น ท่านเจ้าคณะไม่ยอมให้ศิษย์อย่างเฟิงเซี่ยนทรยศต่อสำนักแน่ ไม่ต้องพูดถึงการพาตัวนางไปเลย ท่านนั้นไร้พลัง”
กร๊อบ–
กร๊อบ–
ซือหยูกำหมัดแน่นจนกระดูกดังลั่น
“ไม่! มันยังไม่จบ! งานอย่างเป็นทางการยังไม่จบ ทุกอย่างยังไม่จบหรอก”
เขาจะยอมแพ้กับเซี่ยนเอ๋อง่ายๆได้ยังไงกัน?
ถ้าเขาชิงตัวเซี่ยนเอ๋อไปไม่ได้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการเอาชนะทุกคนในงานชุมนุมวิหคเพลิงด้วยพลังอันล้นเหลือ จากนั้นจึงเลือกเซี่ยนเอ๋อต่อหน้าทุกคน
มู่เทียนฟางส่ายหน้าด้วยความเห็นใจ
“สมกับเป็นยอดฝีมือในตำนานหยินหยู บางทีความมุ่งมั่นนั่นอาจจะทำให้ท่านเป็นตำนาน แต่แท้จริงแล้วท่านไม่มีโอกาสเลย”
“ท่านแข็งแกร่งก็จริง แต่ความต่างในพลังของมหาบุตรทั้งสองแห่งหอสดับหิมะกับรองเจ้าตำหนักลำดับสองนั้นมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงเจ้าตำหนักเฉินคงผู้ลึกลับ!”
“ในวันนี้จะมีงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างที่หอวิหคเพลิง แม้จะเรียกว่างานเลี้ยง แท้จริงมันก็คืองานประลองก่อนงานชุมนุม”
“แม้จะช่วยอะไรท่านไม่ได้มาก ท่านก็ไปดูเสียที่นั่นเถอะ ถ้าท่านอยากจะพัฒนาฝีมือ”
หอวิหคเพลิงรึ? งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง?
ซือหยูพยักหน้าโดยไม่คิด
“ข้าจะต้องไปที่นั่นแน่นอน ขอบคุณที่บอกข้า”
“ถนอมตัวด้วย”
มู่เทียนฟางถอนหายใจก่อนจะบินจากไป
ซือหยูใช้เวลานี้กลับไปยังตระกูลเหยาและรวมตัวกับฉีหยุนเซี่ยง
“หยุนเซี่ยง หาเบาะแสท่านเจ้าตำหนักฉีในเมือง มีบางเรื่องที่ข้าต้องทำแต่เพียงลำพัง”
ซือหยูมิอาจเอาฉีหยุนเซี่ยงไปด้วยได้ มันอันตรายเกินไป
ฉีหยุนเซี่ยงที่ได้ยินไม่ค่อยเต็มใจ แต่นางก็ยิ้มและพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง
ซือหยูกำลังจะได้พบคู่หมั้นที่พลัดพรากกันมานาน นางจะเข้าไปแทรกได้อย่างไร?
ความผิดหวังโอบล้อมดวงวิญญาณของนาง
แต่ฉีหยุนเซี่ยงก็มีเรื่องของตัวเองเช่นกัน
นางกังวลเรื่องการตามหาพ่อและไม่มีเวลาจะรอซือหยู ตอนนี้นางมีอิสระ นางอาจจะหาพ่อเจอก็ได้
“ดูแลตัวเองด้วย”
นางจ้องซือหยูอย่างลึกซึ้ง สัญชาตญาณบอกนางว่าระยะห่างระหว่างทั้งคู่มิได้ห่างไกลเท่าในอดีตอีกแล้ว
ซือหยูประทับใจ เขายิ้มด้วยความโล่งใจ
“เจ้าก็ด้วย หลังทุกอย่างจบแล้วให้มาเจอข้าที่ประตูเมือง”
“อื้ม!”
ฉีหยุนเซี่ยงฝืนยิ้มจากไป
ซือหยูรอร่างของหายไปกับหมู่คนก่อนจะทำอะไร เขามุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง
แต่ในตอนนั้นเอง…
“เขาอยู่นั่น!”
จู่ๆก็มีนักสู้บินออกมาจากตระกูลเหยา เขาตะโกนเมื่อเห็นซือหยู
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–
จากนั้นก็มีกลุ่มนักสู้หลายคนบินออกมาล้อมซือหยูอย่างหนาแน่น
คนที่อ่อนแอที่สุดมีพลังอำมฤตระดับสอง ที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับสาม
พวกเขามีกันประมาณสี่สิบคน!
พวกเขาคือนักสู้ที่เหลืออยู่ในตระกูลเหยา!
พวกเขาใช้แหล่งข้อมูลที่มีทั้งหมดก็เพื่อหาซือหยูให้พบ!
เปรี๊ยะ–
ทันใดนั้นเอง คลื่นพลังวิญญาณได้พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าทะลวงเมฆา
รังสีพลังนั้นทำให้ซือหยูตกใจ มันเป็นพลังของอำมฤตระดับสามขั้นสูง!
สตรีตัวอ้วนท้วมในชุดราตรีสีแดงมองรอบๆ
ดวงตาของนางบวมแดงด้วยความโศกเศร้า ลึกในแววตามีแต่ความชิงชัง
“มันอยู่ไหน?”
นางมองไปยังกลุ่มคนและมองซือหยูด้วยความชิงชัง
“เจ้าฆ่าลูกชายข้าเรอะ?”
นางตะคอกเสียงดัง เสียงนั้นดั่งภูติผีที่โกรธแค้น มันนั้นแหลมและโหดร้าย
ซือหยูมองดูรอบๆ
“ข้าไม่ได้ทำ!”
ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว
“เจ้า! โก! หก! คนในตระกูลถูกเจ้าฆ่าทุกคน เจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับการตายของลูกข้าได้ยังไง! แล้วลูกสะใภ้ข้า เจ้าลักพาตัวนางไปเพราะเห็นแก่ความงามงั้นรึ?”
ซือหยูไม่สนใจ สีหน้าของเขาเย็นชา
“พวกนักสู้ถูกข้าฆ่าก็จริง แต่ความตายของลูกเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่ได้สัมผัสขนมันสักเส้นเดียว ถึงเขายังไม่ตายข้าก็จะฆ่ามัน แต่มันตายไปแล้ว และไม่ใช่ฝีมือข้า!”
นางหัวเราะอย่างโกรธแค้น
“น่าขันสิ้นดี! เจ้าไม่ได้ฆ่าเพราะเจ้าพูดเท่านั้นเองรึ? ทำไมเจ้าไม่บอกว่าลูกสะใภ้ข้าฆ่าเขาแล้วหนีไปเพราะกลัวความผิดเล่า?”
ซือหยูทำสีหน้าประหลาดเมื่อได้ยิน
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้อยู่แล้วสินะว่าเป็นฝีมือของลูกสะใภ้เจ้า?”
เพื่อที่จะหนี โจวจิ้งได้ใช้วิหคโลหิตที่ต้องใช้โลหิตจำนวนมาก ซึ่งนั่นก็คือโลหิตของเหยาหลิง
“ไร้สาระ!!”
นางหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าบุกเข้ามาในตระกูลเหยา ฆ่าคนตระกูลเหยา แล้วเจ้าก็ยังพูดแบบนี้อีกเรอะ?”
ซือหยูยักไหล่
“ข้าไม่ได้บุกเข้าไป ลูกสะใภ้เจ้าเชิญข้าเข้าไปต่างหาก ข้าช่วยชีวิตนางจากมังกรธรณีอสรพิษในป่าและพานางกลับมา และนางก็บอกว่าอยากจะตอบแทนข้า”
“แต่ข้าไม่คิดเลยว่านางจะสมคบคิดกับลูกชายเจ้าเพื่อใส่ร้ายว่าข้าขโมยธนูของนางไป นางส่งคนตระกูลเหยามาสู้กับข้า ข้าต้องตอบโต้ในสถานการณ์เช่นนั้น! ส่วนลูกสะใภ้เจ้า นางเห็นว่าข้าแข็งแกร่งเลยฆ่าลูกชายเจ้าเพื่อใช้โลหิตในการสร้างปีกโลหิตแล้วหนีไป”
“เหตุเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าธนูเป็นของลูกสะใภ้เจ้าหรือไม่ ข้าแนะนำให้เจ้าไปตรวจดูในตระกูลเสียดีกว่าว่ามีสิ่งใดหายไปหรือไม่ มิเช่นนั้นหญิงงามจะแต่งกับลูกชายเจ้าโดยไม่โศกเศร้าได้เลยรึ?”
คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไป
นางจะเคยสงสัยในเรื่องที่ซือหยูพูดได้อย่างไร?
โดยเฉพาะเรื่องที่โจวจิ้งแต่งกับบุตรชายของนาง นางสงสัยในเรื่องนี้อยู่ลึกๆ
คนในเขตวิหคเพลิงมีความต้องการในสูตรปรุงยาของตระกูลเหยาอยู่ตลอดเวลา
นางระวังตัวเสมอในตอนที่อยู่กับโจวจิ้ง แม้จะอย่างนั่น นางก็มองพลาดไปตลอดสามปีที่ผ่านมา
แต่ความคิดนั้นก็หายไปในพริบตา นางกลับมาจ้องซือหยูอย่างชิงชังอีกครั้ง
“เจ้าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์! ทุกคนเห็นกับตาว่าเจ้าฆ่าคนตระกูลเหยา เจ้าปฏิเสธไม่ได้หรอก!”
ซือหยูถอนหายใจ เขาไม่คิดจะพูดคุยอีกแล้ว
“ผู้คนจะเชื่อในสิ่งที่คิดจะเชื่อเท่านั้น เจ้าตั้งใจจะสังหารข้าเพื่อแสดงอำนาจแต่ก็ระวังพื้นเพของโจวจิ้ง ความจริงไม่สำคัญกับเจ้าเลย ที่สำคัญคือเจ้าต้องฆ่าคนที่สร้างปัญหาเพื่อคงอำนาจในตระกูลเหยาเอาไว้…ใช่หรือไม่?”
ซือหยูเชื่อว่าอีกฝ่ายเจ้าใจความจริงแล้ว แต่เพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลเหยา พวกเขาจำเป็นต้องหาแพะรับบาปเพื่อให้ผู้คนหยุดครหา
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็หาเรื่องผิดคนแล้ว!”
แววตาซือหยูเต็มไปด้วยจิตสังหาร
แต่ในตอนนั้นเองก็มีภาพติดตาสีครามไล่ตามมาด้วยความเร็วปานอัสนี
พลังของสัตว์อสูร ความเร็วที่แทบมองไม่ทัน และยังเป็นวิหคสีคราม จะเป็นใครไปได้นอกจากเจ้าตำหนักหลิวลี่?
แน่นอนว่าเขายืนอยู่บนวิหคครามและเอามือไพล่หลัง
แววตาเขาเยือกเย็นไร้อารมณ์ เขาก้มลงมองทุกคน
“หยินหยู เจ้าลืมที่ข้าเตือนเจ้าไปงั้นรึ? อย่าสร้างปัญหาให้ข้า”
แม่ของเหยาหลิงเบิกตากว้าง นางร้องเสียงหลง
“จะ…เจ้าตำหนักหลิวลี่!”
แววตานางเต็มไปด้วยความกลัว พลังของอำมฤตระดับสี่ขั้นมากพอที่จะทำลายล้างตระกูลเหยา
“เดี๋ยวก่อน! งั้นเจ้าก็คือเจ้าตำหนักหยินหยูสินะ?”
นางจึงได้ตระหนักถึงตัวตนของบุรุษผมสีเงินตรงหน้า!
หลิวลี่มองซือหยูอย่างเยือกเย็น
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ ตอบมา!”
ซือหยูไม่มองเขาตรงๆและไม่สนใจ เขามองไปที่สตรีชุดแดง
“พูดมา เจ้าอยากจะทำอะไร? หยินหยูผู้นี้จะเล่นกับเจ้าเอง!”
นางกำลังหนักใจอย่างเห็นได้ชัด ถ้าซือหยูเป็นเด็กหนุ่มธรรมดานางก็คงจะฆ่าเขาเพื่อแสดงอำนาจไปแล้ว
แต่ซือหยูกลับเป็นตำนานยอดฝีมือแห่งทวีป!
นางจะกล้าสังหารคนเช่นนี้รึ?
โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากว่าเหยาหลิงมิได้ถูกเจ้าตำหยักหยินหยูฆ่าตาย
“เช่นนั้นท่านก็คือเจ้าตำหนักหยินหยูสินะ ข้าจะสืบสวนเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน…”
นางเริ่มเจรจาแก้สถานการณ์
แต่ในตอนนั้นเอง หลิวลี่ก็พูดขึ้นมา
“แม่หญิงเหยา ข้าขออภัยที่มิได้อบรมรองเจ้าตำหนักใต้ข้าให้ดี ทำให้ท่านต้องเสียลูกชายไป”
หลิวลี่พูดกับซือหยูอย่างเย็นชา แต่พูดกับตระกูลเหยาด้วยความนับถือ
แต่ที่ยิ่งน่าโกรธแค้นยิ่งกว่าก็คือ…
แม่หญิงเหยานั้นยอมรับด้วยตัวเองแล้วว่าต้องสืบสวนเรื่องนี้และเรื่องก็คงจะตกไป
แต่เพราะหลิวลี่เข้ามาแทรก เขาอ้างว่าซือหยูมีส่วนรับผิดชอบในความตายของเหยาหลิง เขาทำแม้แต่บอกว่าเขาไม่ได้สั่งสอนซือหยูให้ดีพอ!
หลิวลี่อยู่ฝั่งของอาณาจักรทมิฬหรือตระกูลเหยากันแน่?
“แม่หญิงเหยา โปรดเห็นแก่หน้าข้า ให้หยินหยูคุกเข่าขอโทษเถอะ ส่วนเรื่องการชดเชย ให้เขาจัดการให้ในอนาคต จากนี้ไปข้าจะชี้แนะเขาให้ดี โปรดวางมือจากเรื่องนี้…ดีหรือไม่?”
นางตัวแข็งทื่อ ท่าทางของนางประหลาด
นางได้พูดแล้วว่าจะทิ้งเรื่องนี้ไป แต่เจ้าตำหนักหลิวลี่กับพูดแทนฝั่งนางว่าจะลงโทษเจ้าตำหนักหยินหยูงั้นรึ?
ซือหยูที่ได้ยินไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกอย่างไร
แม่หญิงเหยาไม่ต่อความเรื่องแล้ว แต่เจ้าตำหนักหลิวลี่ก็อยากจะมอบความยุติธรรมให้นาง! โดยขอให้ซือหยูที่เป็นรองเจ้าตำหนักด้วยกันคุกเข่าขอโทษ!
เขายังสรรเสริญตัวเอง โดยบอกว่าให้เห็นแก่ชื่อเสียงของเขา!
ซือหยูรอดพ้นจากเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องคุกเข่าขอโทษและชดเชยเพราะต้องเห็นแก่หลิวลี่!
น่าขันสิ้นดี!
“หึหึ เจ้ากล้าจะยอมรับคำขอโทษจากข้าหรือไม่?”
ซือหยูพูดและเอามือไพล่หลัง เขายิ้มอย่างเย็นชา
นางตัวสั่น แม้ว่าชื่อเสียงของซือหยูในเมืองอันยี่จะแพร่กระจายมาถึงตำหนักรอง แต่มันก็มาถึงหอวิหคเพลิงตั้งนานแล้ว
ตำนานยอดฝีมือผู้นี้สังหารได้แม้กระทั่งอำมฤตระดับสามขั้นสูง นางจะกล้าดูหมิ่นเขาได้ยังไง?
“ไม่ต้องหรอก เจ้าไม่ต้อง….”
นางพูดด้วยความละอายใจ
“หืม?”
หลิวลี่ถอนหายใจแรง เขาเหลือบมองซือหยูและพูดอย่างเยือกเย็น
“หยินหยู การกระทำเช่นนั้นมันอะไรกัน? เพราะข้าแสดงตัวออกมาเรื่องก็เลยคลี่คลายไปได้ เจ้าละทิ้งความหวังดีของข้าด้วยการกระทำเช่นนั้นรึ?”
ซือหยูมองหน้าเขาเป็นครั้งแรกและพูดอย่างไร้อารมณ์
“เจ้าไสหัวไปจะได้หรือไม่? ให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้!”