The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 360
เหล่ายอดฝีมือตกตะลึง!
ไม่ว่าพวกเขาจะโง่เขลาเพียงใด พวกเขาก็เข้าใจได้ว่าซือหยูไม่ได้หวังพึ่งเจ้าตำหนักหลิวลี่ นั่นเป็นเพียงความคิดด้านเดียวของพวกเขาเท่านั้น
สีหน้าหลิวลี่แข็งทื่อ เขาตอบกลับเพียงแววตาอันเยือกเย็น
รอยแตกเล็กๆปรากฏขึ้นบนแก้วที่เขาถือ
หลิวลี่โกรธแค้นอย่างมาก
โจวเนี่ยนเฉินทุบโต๊ะดังลั่น
“หยินหยู! ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ยังไง! เจ้าถากถางแม้แต่คนที่ช่วยชีวิตเจ้าได้เพียงเพราะความยโสโอหัง! หลังจากที่เจ้าเสียคนหนุนหลังไป เจ้าก็ยังไม่คิดแม้แต่จะอ่อนน้อมกับคนที่เจ้ามิอาจต่อกรได้ เจ้ากลับทำเรื่องให้มันอันตรายยิ่งขึ้น!”
“ข้าต้องพูดเลยว่าเจ้าที่อยู่รอดได้มาถึงวันนี้นั้นเพราะสวรรค์ให้พรเจ้า!”
เหล่าผู้คนสับสนเมื่อได้ยิน
ตำนานยอดฝีมือเป็นเพียงคนที่มีแต่กำลังแต่ไร้ปัญญางั้นรึ?
ซือหยูยิ้มและวางแก้วลง เขายืนขึ้นช้าๆ
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่? ถ้าเจ้าพูดจบแล้วก็มาเริ่มกันเถอะ ข้าจะเหลือศพสภาพดีของเจ้าเอาไว้”
โจวเนี่ยนเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนอ้อนวอนขอความตายเช่นนี้!”
“ถ้าเช่นนั้น ข้า…”
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้สู้กัน กลุ่มสตรีที่ห่มอาภรณ์สีชาดก็รีบเข้ามาขวาง
ร่างของพวกนางผอมบางและมีพลังแข็งแกร่งว พวกนางคือเหล่าหน่วยลาดตระเวนของปราการวิหคเพลิง
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนนั้นมีใบหน้างดงามและรูปร่างอันยอดเยี่ยม นางยังคงสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อแม้จะมีอายุเกินสามสิบปีไปแล้ว
“นั่น หัวหน้ามู่!”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–
กลุ่มยอดฝีมือตกใจและรีบยืนขึ้นเพื่อมอง
แม้แต่โจวเนี่ยนเฉินกับหลิวลี่ก็ต้องยืนขึ้นเพื่อแสดงความนับถือ
มีเพียงซือหยูกับซงหลวนที่ยังนั่งอยู่กับที่
แต่หลังจากนั้นซงหลวนก็ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแสดงความเคารพด้วยการประสานหมัด
ซือหยูไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น มู่เทียนฟางเคยทำอะไรถึงได้รับความเคารพจากคนมากมายเช่นนี้?
แม้แต่ซงหลวนก็ต้องแสดงความเคารพ!
“นั่งเถอะทุกคน ข้าได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาดำเนินงานเลี้ยงนี้ แต่ข้ามาช้าก็เพราะข้าติดภารกิจสำคัญ โปรดจงเข้าใจ”
มู่เทียนฟางประสานหมัดให้กับแขก
เหยาผู้คนตอบสนองอย่างสุภาพ พวกเขาค่อยๆนั่งลง พวกเขาจับจ้องไปยังมู่เทียนฟางโดยไม่ละสายตาจากนางเลย
เจียงมู่เฟยแสดงความนับถือ
“นั่นคือมู่เทียนฟางรึ? นางเป็นศิษย์ของจ้าวแห่งวิหคเพลิงที่ร่ำลือใช่หรือไม่?”
ศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงรึ? ซือหยูประหลาดใจเล็กน้อย มู่เทียนฟางมีฐานะเช่นนั้นเชียวรึ?
ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนต้องแสดงความเคารพต่อนาง
นางคือผู้ที่ร่ำเรียนจากจ้าวแห่งวิหคเพลิงโดยตรง พวกเขามางานชุมนุมจัดขึ้นเพื่อจับคู่หญิงชาย ถ้าพวกเขาสร้างความประทับใจได้นั่นก็อาจจะไปถึงหูของจ้าวแห่งวิหคเพลิง และจะส่งผลกับการจับคู่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
มู่เทียนฟางไม่รีบไปนั่ง แต่กลับมองหาคนบนที่นั่งสวรรค์
นางเลิกคิ้วเมื่อพบเพียงแต่หลิวลี่กับโจวเนี่ยนเฉิน
“หืม? ท่านเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้มาที่นี่หรอกรึ?”
หยินหยู…เหล่ายอดฝีมือตัวแข็งทื่อ
เหตุใดศิษย์ของจ้าวแห่งวิหคเพลิงถึงรู้จักหยินหยูกัน? แล้วนางยังถามถึงเขาตั้งแต่ที่มาถึงอีกด้วยงั้นหรือ?
เมื่อมองดูจากหน่วยลาดตระเวนที่ยืนเรียงแถว หัวใจของพวกเขาเต้นแรง รังสีพลังนั้นดูเหมือนกำลังจะมาทำภารกิจ
หรือว่าพวกนางจะมาจับกุมหยินหยู?
หลิวลี่เลิกคิ้วเและหันไปมองซือหยู
“ต้องให้ข้าเตือนเจ้าอีกกี่ครั้ง? เจ้าสร้างปัญหาให้ข้าอีกแล้วรึ? สิ่งที่เจ้าทำมันหนักหนามากขึ้นทุกครั้ง! พูดมา เจ้าทำความผิดอะไรหัวหน้ามู่ถึงต้องมาจับเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้?!”
เหล่าผู้คนเงียบกริบ
เจ้าตำหนักหยินหยูกล้าทำให้มู่เทียนฟางโกรธด้วยงั้นรึ?
โจวเนี่ยนเฉินลำพองใจ เขาไม่ต้องลงมือเองแล้ว ตอนนี้กำลังจะมีคนจัดการแทนเขา
แต่ที่ทำให้ทุกคนแน่นิ่งไปก็คือ…
มู่เทียนฟางขมวดคิ้วมองไปทางหลิวลี่
“เจ้าเป็นใคร?”
เจ้าตำหนักหลิวลี่ฝืนยิ้ม
“ข้าคือเจ้าตำหนักหลิวลี่ หัวหน้ามู่…..”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ มู่เทียนฟางก็แทรกขึ้นมา
“เจ้าตำหนักหลิวลี่ ข้ากำลังตามหาหยินหยูเพราะมีเรื่องจะปรึกษากับเขา เขาไปหาเรื่องอะไรเจ้ากัน? ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรแต่เจ้าก็บอกว่าเขาทำผิดอย่างนั้นรึ!”
มู่เทียนฟางไม่ชอบคนอย่างหลิวลี่
“ถ้าพวกเจ้าสองคนต่างก็มาจากอาณาจักรทมิฬ ทำไมเจ้าไม่ร่วมมือกันแล้วดูแลเขาเล่า? ทำไมเจ้าต้องตำหนิเขาต่อหน้าทุกคน แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
นั่นทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิวลี่หดเกร็ง เขาไม่พอใจ
เหล่าผู้คนกลั้นหัวเราะ หลิวลี่เป็นคนที่น่าอายที่สุด
แต่มู่เทียนทางนั้นกำลังหาหยินหยูเพื่อปรึกษางั้นรึ?
ทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบใดกัน?
มู่เทียนฟางเหลือบตามองหลิวลี่และโบกมือให้ซือหยู
“หยินหยู นั่งที่นี่เถอะ ด้วยพลังและฐานะของเจ้า เจ้าเหมาะสมจะนั่งบนที่นั่งสวรรค์!”
ซือหยูประหลาดใจเล็กน้อย แม้มู่เทียนฟางจะหัวดื้อไปหน่อย แต่นางก็ไม่ใช่คนไม่ดี
“ไม่ต้องหรอก ที่นี่เงียบสงบดีแล้ว ข้าจะทำให้ตัวเองไม่สบายใจไปทำไมเล่า?”
ซือหยูยิ้ม
มู่เทียนฟางเหลือบตามองหลิวลี่อย่างดุร้ายและมองแบบเดียวกันกับโจวเนี่ยนเฉินที่มีสีหน้าไม่พอใจ นางนั่งลงข้างซือหยู
“หึหึ เจ้าทำให้คนเกลียดชังได้เก่งเหลือเกินนะ!”
มู่เทียนฟางประชดและนึกถึงครั้งแรกที่พบซือหยู นางแทบจะเป็นบ้าเพราะซือหยู
ซือหยูยักไหล่
“ขอบคุณที่ชม…แล้วเจ้าหาคนที่มารายงานเจอหรือไม่?”
มู่เทียนฟางใบหน้าเคร่งเครียด
“ไม่เลย นอกจากนั้น…”
“นอกจากนั้น…”
ซือหยูตาลุกวาว
“นอกจากนั้นคนที่รายงานก็ถูกฆ่าปิดปาก ข้าพูดถูกสินะ?”
มู่เทียนฟางประหลาดใจ นางมองซือหยูด้วยความตกใจ
“หุหุ ข้ามองไม่ออกเอาเสียเลย เจ้าฉลาดพอตัวเลยนะ”
“เขาตายแล้ว ถูกสังหารด้วยดัชนี ไร้ร่องรอยหลงเหลือ”
มู่เทียนฟางไม่พอใจ
ซือหยูแอบถอนหายใจ คงจะดีที่สุดถ้าเรื่องนี้ถูกสืบสวน แต่เขาไม่คิดจะเอาตัวเข้าไปยุ่ง
เรื่องนี้จึงลงเอยเช่นนี้
“ข้าจะต้องสืบเรื่องนี้แล้วนำคนผิดมาลงโทษให้ได้”
มู่เทียนฟางกำหมัดด้วยความโกรธ
ซือหยูนับถือนางแต่ก็ไม่คิดว่านางจะทำได้สำเร็จ
การทำให้โจวจิ้งยินยอมที่จะรับใช้และแทรกซึมเข้าไปในตระกูลเหยาได้ถึงสามปี คนที่ทำเช่นนี้ได้จะต้องไม่ธรรมดา
มู่เทียนฟางอาจจะไม่มีพลังพอที่จะจัดการได้
ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแอบสลักชื่อ ‘โจวจิ้ง’ บนจี้ก่อนจะแอบเอาใส่ลงไปในชุดของมู่เทียนฟาง
แม้ว่านางจะหัวรั้นอยู่เล็กน้อย นางก็อาจจะได้เบาะแสว่าเหตุใดทำไมซือหยูจึงไล่ตามโจวจิ้งก่อนจะมาปรากฏตัวที่คอกไม้
“เอาล่ะ เชิญชมจันทร์กันเถอะ!”
มู่เทียนฟางยกแก้วสุราขึ้น
“แขกทุกท่าน มันจะไม่น่าเบื่อไปหน่อยรึถ้าที่นี่มีแต่ทิวทัศน์ เราไม่ทำอะไรให้มันน่าสนใจสักหน่อยรึ?”
มู่เทียนฟางพูดจบและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา
ผ้าเช็ดหน้านั้นสีขาวสะอาดและปักด้วยลานนกกระจอกสีสดใส
กลิ่มหอมอันลึกลับแพร่กระจายออกจากผ้าเช็ดหน้าเมื่อนางเอาออกมา
มันเป็นกลิ่นของสตรี
กลิ่นนั้นสดชื่นราวกับบุพผากมลกระจ่าง คนที่ได้รับกลิ่นมิอาจคิดหยาบช้าได้เลยเมื่อสัมผัส พวกเขาเพียงแค่รู้สึกพอใจอย่างมิอาจบรรยายได้
ราวกับเหล่าผู้คนกำลังมองบัวขาวที่ทำได้แค่มองจากที่ไกลๆ
ไม่มีใครที่คิดในทางอนาจารเลยหลังจากที่ได้กลิ่นหอมนั้น
ซงหลวนใจลอยและชื่นชมออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“กลิ่นบริสุทธิ์อันใดกัน กลิ่นกายของใครในโลกใบนี้กันที่มีพลังบริสุทธิ์เช่นนี้?”
ซือหยูประหลาดใจ
“ฎีกาสวรรค์รึ? นั่นยังเป็นระดับเทพด้วยรึ?”
เป็นผลจากฎีกาสวรรค์ที่มองไม่เห็นที่ทำให้เหล่าผู้คนรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์อย่างไร้ขอบเขต
ทุกคนที่นี่ยกเว้นซือหยูมิอาจต้านทานผลของฎีกาสวรรค์อันบริสุทธิ์นั้นได้เลย เพราะเขาคือคนเดียวที่ครอบครองฎีกาสวรรค์ระดับเทพ
ในเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้เห็นคนที่ควบคุมฎีกาสวรรค์ระดับเทพได้นอกเหนือจากเขา
ใครกันที่เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้?
“ความบริสุทธิ์ผุดผ่องนี้ หรือว่า…”
เพลิงความหลงใหลลุกในแววตาโจวเนี่ยนเฉิน
มู่เทียนฟางยิ้ม
“ดูเหมือนข้าจะไม่ต้องแนะนำ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้”
“ใช่แล้ว ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของส่วนตัวของสตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่ง เฟิงเซี่ยน!”
เหล่าผู้คนที่ได้ยินแสดงใบหน้าประหลาดออกมา
ทุกคนแกล้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่พวกเขาก็มิอาจละสายตาไปจากผ้าเช็ดหน้าได้
แววตาของพวกเขาหิวกระหายและชื่นชม
เจียงมู่เฟยยิ้มและมองดูรอบๆ นางสังเกตเห็นซงหลวนที่ไม่ละสายตาจากผ้าเช็ดหน้าและไม่ยินดีเล็กน้อย นางบ่นและถอนหายใจแรง
“สตรีผู้นี้สำส่อนยิ่งกว่าจิ้งจอกเสียอีก สตรีลำดับหนึ่งอะไรกัน ข้าคิดว่านางเป็นแค่จิ้งจอกเท่านั้นแหละ”
ซงหลวนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
“มู่เฟย ไม่ดีเลยที่เจ้าไปกล่าวหาคนอย่างนั้น! เฟิงเซี่ยนผู้นี้บริสุทธิ์ดั่งน้ำแข็ง ความบริสุทธิ์ของนางมิอาจมีผู้ใดเทียบได้หรอก”
“ว่ากันว่าตอนที่นางหยุดทำสมาธิ สัตว์นำโชคได้ลงมาปรากฏตัวจากสวรรค์ นั่นคืออาชามีเขาที่ปรากฏตัวให้นางได้ใช้เป็นพาหนะ”
“อาชามีเขานั้นเกิดบนสวรรค์และเป็นสัตว์วิญญาณที่มีคุณสมบัติวิญญาณสูงสุด มันมีแค่ตัวเดียวเท่านั้นในทวีปเฉินหลง! มันจะอยู่รอบสิ่งที่บริสุทธิ์เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อาชามีเขาเข้าใกล้มนุษย์ นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความบริสุทธิ์ของเฟิงเซี่ยนไม่มีผู้ใดเทียบได้”
คำร่ำลืออะไรกัน? ซือหยูตกใจ แค่ปีเดียว มารตัวน้อยอันสดใสอย่างเซี่ยนเอ๋อก็ได้กลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ไปแล้วรึ?
ซือหยูยิ่งคาดหวังที่จะได้กลับมาเจอกับเซี่ยนเอ๋อ เขาอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของนางด้วยตัวเอง
“ข้าก็แค่ล้อเล่นน่ะ”
เจียงมู่เฟยบ่น
“แต่นางก็อาจจะประเมินตัวเองสูงไปหน่อย นางต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเป็นรางวัลในการประลองรึ? ถ้าบุรุษทุกคนคิดจะประลองเพราะสิ่งนี้ พวกเขาก็อาจจะใช้ไม่ได้จนเกินไป….”
“หัวหน้ามู่ นั่นคือรางวัลของการประลองใช่หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่จะร่วมประลอง!”
มู่เทียนฟางหยักหน้าและยิ้ม
“ใช่แล้ว!”
เหล่าชายหนุ่มที่ได้ยินต่างตื่นเต้น
“หา! ลี่จูหลิน เจ้ามีสิทธิ์จะได้ที่หนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้ายังทนข้าไม่ถึงยี่สิบกระบวรท่าเลย! ผ้าเช็ดหน้านั่นเป็นของข้า กุยแฮเต็งผู้นี้!”
“เดี๋ยวสิ! อำมฤตระดับสามขั้นต้นอย่างเจ้าไม่ควรจะได้ผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยนหรอก!”
อำมฤตระดับสามขั้นกลางหนึ่งคนกระโดดขึ้นไปยังกลางลานประลอง
ใบพริบตา ทั้งลานประลองก็เต็มไปด้วยเสียงโวยวาย…ทั้งหมดก็เพราะผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยน
“พวกเจ้า…เจ้าพวกผู้ชายไร้สาระ น่าแค้นใจนัก!”
เจียงมู่เฟยกัดฟันแน่น นางกำหมัดทุบโต๊ะ
“ลงมาให้หมด! ไม่มีใครนอกจากข้าที่จะได้ผ้าเช็ดหน้า!”
ทุกคนเงียบกริบเมื่อเจียงมู่เฟยแสดงตัว
สตรีอย่างนางยังมาสู้เพื่อผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยง ทุกคนตกตะลึง
แต่ที่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้างก็คือพลังของเจียงมู่เฟย นางคือราชันย์สวรรค์ลำดับสองแห่งตำหนักเฉินเทียน! ใครกันจะกล้าประมาทนาง?
จางฉีหลิงกับคนอื่นกลับไปยังที่นั่งด้วยความไม่พอใจ
พวกเขาคงทนเจียงมู่เฟยได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า
เจียงมู่เฟยเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ นางฉีกยิ้มและหันไปมองซือหยู
“น้องซือหยู เจ้าอยากจะได้ผ้าเช็ดหน้าของแม่นางเฟิงเซี่ยนหรือไม่?”
ซือหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ที่คู่ประลองคนแรกเป็นนาง
นางอยากจะประลองกับซือหยูตั้งแต่เมื่อครู่ และนางก็ได้โอกาสนั้นอย่างรวดเร็ว
ซือหยูไม่พูดพร่ำทำเพลง เขายืนขึ้นทันที
“ก็ได้! ข้ายอมรับคำท้า ข้าไม่อยากให้ชายอื่นได้ของของเซี่ยนเอ๋อไปหรอก”
แม้จะเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้า เขาก็ไม่สบายใจที่จะให้ชายอื่นไป
โดยเฉพาะฝูงคนอันหยาบโลนเช่นนี้ คงจะดีกว่าถ้าเขาจะรับเอาผ้าเช็ดหน้านั้นไว้เอง
ซงหลวนวางแก้วชาในมือ
“ย่อมได้ ข้าก็อยากเห็นพลังที่แท้จริงของตำนานยอดฝีมือเหมือนกัน”
ในตอนนั้น พวกเขาเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน หลายคนตื่นเต้นกับการต่อสู้ของพวกเขา
การได้เป็นสักขีพยานในพลังของยอดฝีมือในตำนานแห่งทวีปนั้นทำให้พวกเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก