The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 391
ราชาโลกดับสูญ? มันคืออะไรกัน?
แล้วยังเป็นผู้ขัดบัญชาสวรรค์รุ่นแรก? เขาคือชายแก่ที่ตายมาแล้วกว่าหมื่นปีนี่น่ะรึ? หากเป็นเช่นนั้น มันก็เกินกว่าคำว่าน่ากลัวแล้ว!
“เก้าศักดิ์สิทธิ์…เก้าศักดิ์สิทธิ์!”
ดวงตาและปากของผู้ขัดบัญชาสวรรค์รุ่นแรกถูกปิดเอาไว้ แต่เสียงอันน่ากลัวของเขาก็ยังคงดังออกมา
ซือหยูตกใจ มันเป็นเสียงจากวิญญาณ!
เก้าศักดิ์สิทธิ์หันไปเผชิญหน้ากับราชาโลกดับสูญ
“อย่างไรเจ้าก็ตายไปแล้ว เจ้าจะมาบนโลกอีกทำไมกัน? กลายเป็นเถ้าถ่านไปตลอดกาลคือที่สุดท้ายของเจ้า!”
พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวโอบล้อมพื้นที่โดยรอบเมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน จ้าวเฉินยิ่งนั้นราวกับมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ต่อหน้าคลื่นยักษ์
“หนีเร็ว!”
เฉินยิ่งคำราม สองตัวตนนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะเอาตัวเข้าไปยุ่งได้เลย
ฟึ่บ ฟึ่บ–
เก้าศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเวลาจะสนใจพวกเขา เขาจ้องมองราชาโลกดับสูญ
ครืน—
เฉินยิ่งหนีออกมาหลายหมื่นลี้แต่ก็ยังได้ยินเสียงระเบิดทำลายล้างดังมาจากข้างหลัง ปฐพีแยกมาทางพวกเขา ทุกสิ่งมีชีวิตตายสิ้น
ทุกสิ่งกลายเป็นซากปรักหักพัง
ฟึ่บ–
สองผู้ติดตามทั้งสองกระเด็นลอยและแหลกเป็นเถ้าถ่าน หลิงเสี่ยวเทียนกระอักเลือดออกมา จ้าวเฉินยิ่งมีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก เขาหน้าซีด
ผลหลังการต่อสู้จากระยะหลายหมื่นลี้มีพลังทำลายล้างถึงเพียงนี้ แล้วจุดที่ปะทะ…ที่ทั้งสองต่อสู้กันจะน่ากลัวเพียงใดกัน?
“จ้าวเฉินยิ่ง!”
ในตอนนั้นเอง กลุ่มองครักษ์ชุดแดงก็บินออกมาจากป่า พวกเขารีบพุ่งเข้ามาด้วยความตกใจ หลังจากที่เห็นว่าพวกเขามากับหลิงเสี่ยวเทียน เหล่าองครักษ์ก็คุกเข่าให้การต้อนรับ
เฉินยิ่งสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาถูกเจอตัว เขาสังหารหลิงเสี่ยวเทียนไม่ได้อีกแล้ว!
เฉินยิ่งเก็บจิตสังหารเอาไว้และรีบพูด
“เข้าไปเร็ว!”
******
ครึ่งวันต่อมา ที่เศษซากปรักหักพัง
ราชาโลกดับสูญ ผู้ที่ขัดต่อบัญชาสวรรค์รุ่นแรก ยืนอยู่ที่กลางซากอย่างเงียบๆ เก้าศักดิ์สิทธิ์นั้นหายตัวไป
ปั้ง ปั้ง ปั้ง—
ทันใดนั้นก็มีวัตถุใหญ่ปรากฏออกมา มันคือเรือรบโบราณที่ยาวสามแสนลี้! และที่แปลกคือเรือรบลำนี้ลอยอยู่บนท้องฟ้า
มันสีดำสนิทราวกับจะบดบังตะวันและท้องนภา ทั้งจักรวาลปกคลุมไปด้วยความมืดมิด โครงสร้างใหญ่ยักษ์ของมันนั้นราวกับเกาะบนมหาสมุทร
ฟึ่บ–
ใต้ท้องเรือรบเปล่งประกาย คนมากมายบินลงมา ในนั้นมีฉีตงไล่ หลินหยุนฮี และชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสีอำพัน ข้างหลังยังมีคนหนุ่มสาวที่มีซงหลวน เจียงมู่เฟย และยังมี…ฉีหยุนเซี่ยง!
“ขอบคุณท่านราชาแห่งเขตแดนที่ลงมือ ท่านราชา โปรดกลับคืนตำแหน่งเถอะ”
ทุกคนรีบพุ่งเข้ามาหาราชาโลกดับสูญและโค้งคำนับ
ฟึ่บ–
ราชาหายตัวเข้าไปในเรือรบ
ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสีอำพันถอนหายใจด้วยความเศร้าหมอง
“ท่านราชากลับมาปกป้องเรือรบเทพนภาและปกป้องทุกสิ่งบนทวีป ทวีปนี้ร่างโชคดีนัก”
แววตาหลินหยุนฮีแสดงความกังวล
“ทวีปเฉินหลงพบเจอภัยพิบัติหลายครั้งหลายครา แต่ท่านราชาก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เหตุใดท่านราชาถึงได้ปรากฏตัวในภัยพิบัตินี้? ข้าห่วงเหลือเกินว่าภัยร้ายครั้งนี้จะเป็นเรื่องครั้งใหญ่ในยุคสมัย”
คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศเคร่งเครียด ราชาเขตแดนกลับมาบนโลกอีกครั้งแม้จะตายไปแล้ว นั่นจะต้องหมายถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในหมื่นปีก่อน เมื่อหมื่นปีก่อนราชาได้ตายในการต่อสู้กับภัยพิบัตินั้น และหมื่นปีต่อมา…ร่างไร้วิญญาณที่มีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณจะยังคงปกป้องทวีปได้รึ?
ฉีหยุนเซี่ยงเป็นกังวล
“ท่านพ่อ หยินหยูอยู่ที่ไหนล่ะ?”
นางหน้าละห้อยแต่ก็ดูน่ารัก
ซงหลวนละอายใจ
“คณะวิหคเพลิงพบกับภัยร้าย พลังข้าต่ำต้อยเกินไป มิอาจช่วยเขาไว้ได้ และข้าก็ปล่อยให้เขาถูกพาตัวไปโดยมิอาจทำอะไรได้ ข้ามีความรับผิดชอบในเรื่องนี้”
ถ้าซือหยูอยู่ที่นี่เขาก็คงจะเข้าใจว่าเหตุใดซงหลวนกับเจียงมู่เฟยถึงปรากฏตัวออกมาต่อสู้เพื่อเกียรติยศของตำหนักเฉินเทียนที่เปลี่ยนแปลงโดยพวกเขาถูกจองจำ นั่นก็เพราะว่าพวกเขามาคณะวิหคเพลิงเพื่อมาตามหาฉีตงไล่!
ส่วนฉีหยุนเซี่ยงนั้นสมปรารถนา นางได้พบกับผู้เป็นบิดาอีกครั้ง
“เราช้าไป”
ฉีตงไล่ถอนหายใจ
“คณะวิหคเพลิงพบเจอการถูกทำลาย เรือรบเทพนภามาสายเกินไป”
“ดูจากการต่อสู้เมื่อครู่ จ้าวเฉินยิ่งน่าจะพาตัวหลิงเสี่ยวเทียนไป แต่พวกเขาก็ไม่เห็นร่างของซือหยูเลย…”
ฉีตงไล่พูดไม่จบประโยค เขาหันไปตบบ่าฉีหยุนเซี่ยงและถอนหายใจยาว
“จงจำน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตของเจ้าเสียเถอะ”
ที่คณะวิหคเพลิง ซือหยูบาดเจ็บจนมิอาจฟื้นฟูได้ ครึ่งเดือนผ่านไป ชีวิตของเขาอาจจะดับมอดไปแล้ว
“ไม่!”
ฉีหยุนเซี่ยงโศกเศร้า นางใจหายราวกับถูกฉีกกระชาก
นางกับซือหยูอำลากันครั้งสุดท้ายที่ปราการวิหคเพลิง นางไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มสุดท้ายที่มีให้กันนั้นจะเป็นการลาจากครั้งสุดท้ายไปตลอดกาล นางยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากจะพูด ยังมีสิ่งติดค้างมากมายที่นางยังมิได้สะสางง และยังมีอีกหลายความรู้สึกที่นางยังไม่เคยได้พูดออกไป…
ฉีหยุนเซี่ยงหมดสติไปในทันทีเพราะมิอาจยอมรับความจริงว่าซือหยูตายไปแล้วได้ ฉีตงไล่ตกตะลึงแต่ก็คว้าตัวของฉีหยุนเซี่ยงไว้ทันก่อนที่นางจะกระแทกกับพื้น
หลินหยุนฮีคิดถึงซือหยูและถอนหายใจอย่างโศกเศร้า
“แม้การลาจากนี้จะต้องกินเวลาไปอีกหลายปี พวกเราก็ลาจากกันเพียงโลกนี้และโลกหน้า…ข้ายังคงปรารถนาให้เขาได้คิดใหม่เรื่องการเป็นช่างฝีมือ…”
ความเดียวดายและเศร้าหมองฉาบใบหน้าแก่เฒ่า
ชายวัยกลางคนใบหน้าอำพันรู้สึกเวทนาไม่ต่างกัน
“น่าเสียดายเหลือเกิน บุรุษขัดบัญชาสวรรค์แห่งยุคดับสูญไปอย่างนี้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก”
แต่เขาก็พูดต่อด้วยความประหลาดใจ
“แต่พื้นเพของเขาก็น่าสนใจนัก เกาะเฉินยี่เป็นสถานที่ที่มีรากเก้ามังกรแห่งทวีปเฉินหลง บุรุษผู้ขัดบัญชาสวรรค์เกิดที่นั่น! ช่างเหนือจินตนาการยิ่งนัก”
พื้นเพของซือหยูถูกสืบสวนจนกระจ่างชัดโดยพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
ฉีตงไล่คิดไม่ต่างกัน
“ใช่แล้ว ใครจะไปคิดเล่าว่าหยินหยูจะเป็นศิษย์ของสำนักนิรนามในร้อยดินแดน?”
ซงหลวนพูดอย่างนับถือ
“ข้าถูกท่านเจ้าตำหนักชี้แนะตั้งแต่ยังเล็ก แต่ข้าก็ยังต่ำต้อยกว่าศิษย์จากดินแดนที่ไม่แม้แต่จะสร้างราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าทำให้คำชี้แนะของท่านเจ้าตำหนักเสียเปล่า”
ฉีตงไล่ส่ายหน้า
“นี่เป็นความมุ่งหมายของพระเจ้า พวกเรามิอาจคาดหวังเกินไป หยินหยู…ไม่สิ ซือหยูตายไปแล้ว ประกาศให้โลกได้รับรู้เถอะ แม้ว่าตำนานราชาแห่งทวีปอุดรจะลาจากโลกใบนี้ไป เขาก็มิอาจหายไปเฉยๆโดยไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้”
แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว เขาก็ควรจะได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศที่เขาสมควรได้รับ
******
ที่กลางทวีปเฉินหลง
สิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ตระการตาแผ่ขยายไปตลอดระยะสามหมื่นลี้ ยอดฝีมือนับร้อยล้านคนรวมตัวกันอยู่ในสิ่งปลูกสร้างนี้
คนที่โดดเด่นจากทั่วทุกมุมโล่งและเหล่ายอดฝีมือนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ภายใน ภูเขาลูกยักษ์ทอดยาวไปถึงนภาทะลวงเมฆา สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่รอบๆยอดเขาใหญ่ยักษ์นั้นราวกับธารดาราล้อมจันทรา
ทุกคนที่เห็นที่นี่ต่างต้องนับถือ นี่คือเครื่องหมายแห่งอาณาจักรทมิฬ จุดสูงสุดของทวีป! จุดสูงสุดที่ใกล้เคียงกับท้องนภาที่สุด! แค่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนี้ก็มองผ่านได้ทั้งทวีปเฉินหลงไปถึงน่านน้ำ นี่คือตำหนักหลักของอาณาจักรทมิฬ สถานทีที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเฉินหลง
ตระกูลโบราณทั้งแปดไม่กล้าแม้จะมาตั้งรกรากใกล้ที่นี่ นอกยอดเขา กลุ่มยอดฝีมือนั้นเทียบได้กับจำนวนเมฆาบนนภา ยังมีผู้คุมสวรรค์มากกว่าสิบคนที่สังเกตการณ์ผู้คนอย่างเงียบๆ
ทหารหลวงนั้นเข้มงวดและไม่เหมือนกับที่อื่นในทวีป! พวกเขาก้าวไปสู่ยอดเขา
เส้นทางกว้างขวางแผ่ขยายสามร้อยลี้อยู่ภายใน ตลอดทางจะพบยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตยืนป้องกันอยู่นับหมื่นคน
“ยินดีต้อนรับจ้าวเฉินยิ่ง!”
“จ้าวเฉินยิ่ง!”
ทั้งหมื่นคนทำความเคารพเฉินยิ่งเมื่อเดินผ่าน
ในอาณาจักรทมิฬ จ้าวแห่งความมืดนั้นมีเกียรติยศอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาคือคนที่ผู้คนนับถือสูงสุดรองจากราชาแห่งความมืด
ลึกในเส้นทาง ในตำหนักอันงดงาม ชายหนุ่มในชุดดำสี่คนและชุดแดงหนึ่งคนนั่งอยู่ภายในอย่างเงียบๆ พวกเขาทำหน้าที่บัญชาการ พวกเขาดูทรงพลัง
คนที่อายุน้อยที่สุดมีอายุยี่สิบปี ที่แก่สุดอายุยี่สิบห้าปี แต่ทุกคนล้วนมีพลังอำมฤตระดับห้า! เป็นผู้คุมสวรรค์สามคนและราชามนุษย์หนึ่งคน!
ถ้าหากผู้มีพรสวรรค์อันน่ากลัวทั้งสี่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย พวกเขาก็คงจะถูกจัดการไปได้! แต่ที่นี่พวกเขาทั้งสี่มารวมตัวกัน
สุดท้ายคือหญิงสาวในชุดแดงที่ยืนอยู่ทางขวา นางสวมมงกุฎสีเพลิงบนศีรษะ ผ้าคลุมเพลิงอันงดงามยาวประพื้น มันดูเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ และสง่างาม แสดงให้เห็นถึงร่างที่มีส่วนโค้งเว้า ใบหน้าราวหยกของนางมีชั้นไอวารีปกคลุม และไอวารีนั้นยังหนาทำให้ยากที่จะมองผ่าน
ชายหนุ่มทั้งสี่ยืนนิ่ง ส่วนนางนั้นถือตำราอ่านอยู่เงียบๆ นางง่วนอยู่กับการอ่านตำรา นางดูไร้เสียงดาและสง่างามอย่างมาก
“ข้าพาหลิงเสี่ยวเทียนมาที่นี่…”
เฉินยิ่งประกาศ
“เริ่มการไตร่สวนได้แล้ว”
จ้าวแห่งความมืดทั้งหกจะสอบสวนหลิงเสี่ยวเทียนร่วมกัน
เอ๋? เฉินยิ่งขมวดคิ้วและมองไปยังหญิงสาวชุดแดงที่ง่วนอยู่กับการอ่านตำรา
“ยี่หยู แม้เจ้าจะชอบอ่านตำรา เรื่องที่ต้องห่วงตอนนี้ก็คือคนที่กบฏต่ออาณาจักร โปรดวางตำราเถอะ”
กับยี่หยู เฉินยิ่งต้องสุภาพ เพราะอย่างไรนางก็เป็นแค่คนเดียวที่ได้สัมผัสกับราชาแห่งความมืด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะต้องได้ความเคารพนับถือ
“ฮ่าๆๆ! เฉินยิ่ง เจ้าจะไปทำให้ยี่หยูลำบากใจทำไมเล่า? นางสาบานว่าจะมองดูสิ่งที่งดงามทั้งหมดและมองดูทุกสิ่งของโลก การอ่านตำราคือวิธีที่เร็วที่สุด ปล่อยให้นางอ่านไปเถอะ พวกเราสืบสวนกันเองจะดีกว่า”
แม้เฉินยิ่งจะไม่พอใจอยู่บ้าง เขาก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขารู้คำสาบานของยี่หยู นางคือหญิงสาวมหัศจรรย์ นางปรารถนาจะมองดูทุกสิ่งที่งดงามและธาตุแท้ของทวีป และนางก็ยังสาบานที่จะทำเช่นนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว
“ย่อมได้…”
“เราจะเริ่มไตร่สวน หลิงเสี่ยวเทียนได้ขัดต่ออำนาจและทำให้ผู้ตรวจการบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็เข้าท้าทายกำลังของทวีปเหนือ เรื่องที่เขาตั้งใจจะก่อกบฏต่ออาณาจักรเป็นความจริง!”
เฉินยิ่งสรุปความผิดของหลิงเสี่ยวเทียนเช่นนั้น จ้าวแห่งความมืดแต่ละคนมองหน้ากัน
“เฉินยิ่ง…”
“เรื่องผู้ตรวจการ พวกเราส่งคนไปสืบสวนแล้ว ไป่ฮีนั้นใช้อำนาจเพื่อเรื่องส่วนตัวและลอบโจมตีรองเจ้าตำหนัก เรื่องเช่นนี้สมควรถูกลงโทษ ในเรื่องนี้มิใช่ความผิดของหลิงเสี่ยวเทียน พวกเรามีหลักฐานและพยานมากมาย”
คนที่พูดคือราชามนุษย์อีกคน เขาคือจ้าวฉิงจูและเป็นจ้าวแห่งความมืดลำดับสาม เขาดูสะอาดสะอ้าน แววตานั้นเปล่งประกายอย่างนักปราชญ์
เฉินยิ่งสีหน้าเคร่งเครียด เขาเริ่มโกรธ จ้าวฉิงจูนั้นเจ้าเล่ห์นัก เขาใช้เวลาที่จ้าวเฉินยิ่งไปจับกุมหลิงเสี่ยวเทียนและแอบลงมือปกป้องหลิงเสี่ยวเทียน
พวกเขารู้ว่าหลิงเสี่ยวเทียนมิอาจถูกจ้าวไป่ลั่วสังหารได้ มิเช่นนั้นเขาจะต้องครอบงำจ้าวแห่งความมืดคนอื่นให้หมด ส่วนจ้าวแห่งความมืดที่ไม่ยอมจำนนก็จะต้องพบกับการกลั่นแกล้ง
“ส่วนเรื่องท้าทายขุมกำลังที่เจ้าพูดถึง เจ้ามีพยานหลักฐานหรือไม่?”
จ้าวฉิงจูถามอีกครั้ง
จ้าวเฉินยิ่งหยุดพูด ในตอนที่เก้าศักดิ์สิทธิ์เข้ามา จ้าววิหคเพลิงก็หายตัวไปและสมบัติเทพก็ถูกทำลายสิ้น
“เจ้าไม่มีหลักฐานอื่นใดแต่ก็ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นความจริง นี่มันอคติไปหน่อย เจ้าทำให้พวกข้าผิดหวังยิ่งนัก”
จ้าวฉิงจูพูดเตือน
“นี่เป็นการตัดสินคดีกบฏ เรามิควรตัดสินอย่างอุกอาจเช่นนี้”
จ้าวฉิงจูหันไปหาจ้าวแห่งความมืดที่เหลือ
“พวกเจ้าคิดอ่านประการใด?”
แต่นอนว่าหลายคนนั้นเห็นด้วยกับฉิงจูและต่อต้านไป่ลั่ว
“ข้าคิดว่าท่านพูดถูก!”
“ข้าก็คิดว่าท่านพูดถูก!”
สุดท้ายก็เป็นคราวยี่หยู นางเลิกสนใจตำราและมองหลิงเสี่ยวเทียน นางพยักหน้า
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าหลิงเสี่ยวเทียนไม่มีความผิด
“ตามกฎของจ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ด คนส่วนน้อยย่อมต้องยอมต่อคนส่วนมาก”
จ้าวฉิงจูยิ้มอย่างผู้กำชัย
เฉินยิ่งโกรธแค้น เจ้าคนพวกนี้!
แต่ก็มีเสียงดังมาจากสถานที่กว้างใหญ่
“เช่นนั้นรึ?”
“ไปลั่ว! เขามิได้บ่มเพาะพลังอยู่หรอกรึ?”
ทุกคนตกใจอย่างมาก
จ้าวฉิงจูสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าก้าวข้ามสิ่งกีดขวางนั่นแล้วรึ? เจ้าสำเร็จระดับที่สัมผัสจักรวาลได้แล้วรึ?”