The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 417
ซือหยูนั้นแสร้งทำเป็นไม่กังวลแต่หัวใจของเขาเต้นอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด เขาใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบเด็กสาว น่าแปลกที่แม้ว่าเด็กสาวจะอยู่ใกล้กับเขามากแต่มันก็ราวกับไม่มีอะไรเลย!
ในเสี้ยววินาที เด็กสาวตาเป็นประกายสีมรกตและหายไป
พลังอ่อนๆเข้าสู่วิญญาณของซือหยูในทันทีจนทำให้เขาเจ็บปวด วิชาลับวิญญาณ! ซือหยูตกใจกลัว
ปั้ง ปั้ง–
หม้อเก้ามังกรสัมผัสได้ถึงวิญญาณจากภายนอกที่เข้ามา มันสั่นเล็กน้อยเพื่อข่มพลังแปลกปลอมนั้น
“ข้าคือจ้าวยี่หยู”
เซี่ยจิงหยูตอบ นางยิ้มอย่างน่าหลงใหลจนหลงลืมภัยตรงหน้าไป นางย่อตัวลงและลูบหัวเด็กสาวตัวน้อย
“หนูน้อย เจ้าน่ารักยิ่งนัก เจ้าชื่ออะไรรึ?”
ซือหยูเบิกตากว้าง จ้าวยี่หยูจะไม่ระวังเช่นนี้รึ?
พลังที่เข้ามาในร่างซือหยูเมื่อครู่…ซือหยูรู้แล้วว่ามันคือสิ่งใด มันคือวิชาลับที่จะทำให้เห็นภาพหลอน จ้าวยี่หยูถูกควบคุมไปแล้ว!
ซือหยูยังท่าทางคงเดิมแม้จะมีความกังวลในใจ
เขายิ้มและหัวเราะ
“ข้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬ หนูน้อย ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวรึ? เจ้าไม่กลัวอันตรายหรอกรึ?”
จางตี๋เก้อยิ้มเผยลักยิ้มทั้งสองข้าง นางมองผ่านซือหยูกับเซี่ยจิงหยูด้วยสายตาอันเฉียบคม แต่นางก็หยุดมองซือหยูอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสงสัย จากนั้นก็ละสายตาไป
“พี่ชาย พี่สาว…”
จางตี๋เก้อพูดอย่างอ่อนหวาน
“พี่สองคนให้สมบัติทุกอย่างกับข้าจะได้หรือไม่?”
เซี่ยจิงหยูหัวเราะอย่างอ่อนโยนและไม่ปฏิเสธนาง
“ได้สิ”
นางหยิบปิ่นปักผมยื่นให้จางตี๋เก้อ สมบัติเทพนานาชนิดและของหลายสิ่งที่นางเก็บรวบรวมทั้งหมดอยู่ในปิ่นปักผมที่เป็นสมบัติเทพ
“สมบัติเทพมิติงั้นรึ? ฮ่าๆ!”
จางตี๋เก้อหัวเราะเสียงดัง
“ตัวตนของพี่สาวต้องไม่ธรรมดาแน่”
นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดี ยี่หยูถูกควบคุมจริงๆ!
ซือหยูหยิบของสองสิ่งออกมา หนึ่งในนั้นคือคันฉ่องจักรวาล สมบัติเทพที่ใช้เก็บสิ่งของ ส่วนอีกอย่างคือกล่องหยกที่มีหยุนย่าสีอยู่ภายใน
จางตี๋เก้อมองดูซือหยู ซือหยูที่ถูกมองนั้นรู้จักราวกับถูกเห็นทั้งร่างไปแล้ว เว้นแต่รอยฝ่ามือกับหม้อเก้ามังกรในวิญญาณ ทั้งร่างของเขาถูกมองดูทั้งนอกและใน
“บางทีข้าอาจจะกังวลเกินไปหน่อย…”
จางตี๋เก้อพูดออกมา
นางหุบยิ้ม สีหน้านางหม่นหมอง นางเผยความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เข้ากับรูปลักษณ์ออกมา
นางมองดูคันฉ่องจักรวาลและกล่องหยก นางตกใจเล็กน้อย
“น่าสนใจนัก ข้าอยู่ที่นี่มาพันปี ทวีปเฉินหลงดูจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว มิเช่นนั้นเด็กสองคนนี่ก็คงจะไม่มีสมบัติเทพที่ใช้เก็บสิ่งของได้ ศิษย์พี่ภูติความว่างเปล่าคงจะเริ่มใช้กงล้อหยินหยางในอีกไม่นาน…สมบัติภูติที่ใช้สร้างความปั่นป่วนในความมืดมิด”
จางตี๋เก้อคิดและคืนสิ่งของให้กับทั้งสอง
“ที่นี่ถูกผนึกมาพันปีและทรัพยากรก็ถูกใช้จนหมดแล้ว ข้าคืนของเหล่านั้นให้กับพวกเจ้าเพื่อไม่ให้ไอ้แก่นั่นสงสัย อย่างไรมันก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี ชีวิตของพวกเจ้าก็ด้วย”
จางตี๋เก้อไม่ได้คาดหวังคำตอบ นางพูดอยู่กับตัวเอง จากนั้นนางจึงหันไปสั่ง
“ตามข้ามา”
ยี่หยูกับซือหยูตามนางไป ซือหยูแสร้งทำเป็นเสียสติที่จะต่อต้าน
ซือหยูเดินและมองไปข้างหน้า เขาไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากความว่างเปล่า เขาไม่กล้าจะเหลือบมองแผ่นหลังของจางตี๋เก้อด้วยซ้ำ ด้วยระดับที่สูงอย่างขอบเขตภูติ นางสัมผัสได้ทุกสิ่งแม้สายตาที่เบาบางที่สุด ถ้านางรู้ว่าเขาแสร้งทำเป็นถูกควบคุม…เขาก็คงจะหนีความตายไม่พ้นเป็นแน่!
ส่วนจ้าวยี่หยู นางเดินตามจางตี๋เก้ออย่างไม่มีสติ ถ้าหากมีโอกาสซือหยูจะช่วยนางให้คืนสติกลับมา
******
แม้ตังกุยจะรอมานานเขาก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดในเมืองก้นบึ้ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มสงสัย
ติ๊ก ติ๊ก–
สร้อยหยกเปิดขึ้นด้วยการสื่อสารอีกครั้ง เสียงของเล่ยมู่ดังผ่านสร้อย
“ข้าเจอพวกนั้นแล้ว…”
“สี่พันลี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตังกุย เอาแก้วต้นกำเนิดกลับมาให้ได้ มันคือความเป็นตายของเมืองก้นบึ้ง เจ้ารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จ!”
ตังกุยที่ถูกขู่นั้นโกรธแค้น ตังกุยนั้นมีส่วนผิดที่ไม่มองคนของตัวเองให้ดี แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ฮงมู่นั้นคือคนผิด แต่มันก็ไม่แปลกที่เล่ยมู่จะมีความไม่พอใจในตัวเขา
ตังกุยเก็บสร้อยหยกและมุ่งหน้าไปในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
******
ที่เมืองก้นบึ้ง
เล่ยมู่วางสร้อยหยกที่ใช้สื่อสารลง เขามองดูเครื่องติดตามด้วยฝ่ามือทั้งสองที่สั่นเครือ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
คนที่เขาเชื่อใจที่อยู่ด้านหลังหน้าซีดราวกับกระดาษ
“ท่านเจ้าเมือง ให้เขาได้เจอกับภูติสวรรค์จะได้กำจัดเขาก็จริง แต่ถ้าภูติสวรรค์ปรากฏตัว นั่นก็มีโอกาสสูงที่นางจะมาหาพวกเรา ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น เราต้องการพลังของทุกคน ท่านจะส่งเขาไปตายทำไมกัน?”
เล่ยมู่สายตาเหี้ยมโหด
“ฮื่ม! ถ้าภูติสวรรค์อยากจะทำลายพวกเราในตอนที่ม่านพลังของเมืองหายไปแล้วเช่นนี้ แล้วมีกึ่งเทพเพิ่มขึ้นมาอีกคนเดียวจะช่วยอะไรได้เรอะ? ปล่อยให้ตังกุยไปช่วยถ่วงเวลาพวกเราเสียยังดีกว่า”
“หรือว่าท่านกำลังจะชำระกระบี่สายฟ้าตอนนี้? มันต้องใช้เวลาสองวัน ข้าไม่คิดว่ามันอาจจะไม่ทันการ”
เล่ยมู่เย้ยหยัน
“ข้าจัดการแล้ว! ตั้งแต่ที่ข้าบังเอิญเจอกระบี่สายฟ้าในลาวาใต้ดินที่ถูกเพลิงธรณีชำระมาเกินหมื่นปี…ข้าก็เตรียมการไว้แล้ว ข้าวางเวทย์เอาไว้ในกระบี่สายฟ้า หากกระบี่ก่อตัวขึ้น แม้จะยังชำระไม่เสร็จสิ้น ข้าก็ใช้พลังของมันได้ครึ่งส่วน! พลังเช่นนั้นอาจจะฆ่าภูติสวรรค์ไม่ได้ แต่ทำให้นางบาดเจ็บก็เกินพอแล้ว!”
คนใต้บังคับบัญชาของเขาเริ่มสบายใจ
“ท่านเจ้าเมืองยิ่งใหญ่นัก เมืองก้นบึ้งจะต้องถูกช่วยไว้ได้แน่”
ก่อนหน้านี้เล่ยมู่เป็นแค่คนชั่วร้ายในเมืองก้นบึ้ง จากนั้นเขาจึงได้พบเจอลาวาใต้ภิภพอย่างคาดไม่ถึงและกระบี่สายฟ้า
ด้วยพลังจากกระบี่สายฟ้า เขาบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้นาม “เล่ยมู่” มาครอง เขาเชี่ยวชาญวิชาอัสนีและทำให้คนทั้งก้นบึ้งมังกรหวาดกลัว
หลังจากร้อยปีจวบจนวันนี้ สายฟ้าของกระบี่สายฟ้านั้นได้ก่อตัวขึ้นในที่สุด ถ้าเขาได้ใช้มัน เขาจะปลดปล่อยพลังอันมิอาจหยุดยั้งออกมาได้!
******
เหนือก้นบึ้งมังกร
กังต้าเหล่ยคาบใบหญ้าในปาก เขานอนอยู่หน้ากระท่อมไม้ เขาดูเบื่อหน่ายขณะที่อุ่นเหล้า
“ไอ้แก่ เจ้าจะซ่อนตัวไปถึงเมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ที่ข้าติดตามเจ้า ข้าไม่เคยได้เห็นวันที่คนหมื่นคนจะนับถือข้า ข้ากลับต้องเร้นกายอยู่ในก้นบึ้งมังกรบ้านนอกนี่ เจ้าหลอกข้ามาตลอดเรอะ? เจ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆเรอะ?”
บนศิลาก้อนใหญ่ ชายแก่ที่เมามายสะอึก เขาเหลือบมองกังต้าเหล่ยและหัวเราะ
“ถ้าเจ้าอยากจะรู้ว่าข้าแข็งแกร่งหรือไม่ ทำไมเจ้าไปลงไปถามเจ้าภูติน้อยนั่นดูเล่า?”
กังต้าเหล่ยสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันกลับไปมองทางเข้าก้นบึ้งมังกรด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้แก่ นางจะออกมาจริงๆรึ? ปีนั้นนางเกือบจะทำลายผนึกออกมาได้ และข้าก็เป็นคนที่ต่อยนางไป ถ้านางหนีออกมาได้จริงๆ…ไอ้แก่ เจ้าคงจะทำอะไรนางไม่ได้ ไม่ใช่เช่นนี้รึ?”
ชายแก่ที่มึนเมาพูดพึมพำ
“ข้าต้องกลัวนังผีน้อยนั่นด้วยรึ?”
เขาหยุดพูดไป จากนั้นก็ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมั่นใจ
“ตอนที่ข้ามีพลังสูงสุด ดัชนีน้อยๆของข้าก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการทุกสิ่ง!”
กังต้าเหล่ยแปลกไปเล็กน้อย เขาลูบจมูก
“ไอ้แก่ เจ้ายังมีเวลา เจ้าไปเตรียมโลงศพของตัวเองหลังจากที่เราไปจากทวีปเฉินหลงก็ยังทัน”
“ไอ้เด็กเวร!”
ชายแก่โกรธเกรี้ยว
“ถ้าไม่ใช่เพราะทวีปเฉินหลงมันทำให้ข้าฟื้นฟูไม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องกลัวนังเด็กผีนั่น!”
ชายแก่ทำท่าราวกับเขาเคยเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้วมาก่อน
“แต่ที่เราต้องห่วงไม่ใช่นังผีน้อยนั่น แต่เป็นพวกคนชั่วในก้นบึ้งมังกร ข้าคิดว่ามันจะไม่โง่เขลาพอที่จะแตะต้องอะไรบางอย่าง…ที่มันอันตรายที่สุด”
******
ในก้นบึ้ง จางตี๋เก้อใบหน้าไร้อารมณ์ นางก้มหน้าและดูเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าหันหลังกลับไปมองขอบนภาห่างไกล คนที่มีรอดแผลเป็นบินเข้ามา
จางตี๋เก้อตกใจและยิ้มเยาะ
“เจ้าโง่!”
ตังกุยเห็นซือหยูกับเซี่ยจิงหยูจากไกลๆจึงเร่งความเร็วขึ้น เมื่อเขาใกล้ถึงก็เพิ่งจะมองเห็นเด็กสาวน่าหลงใหลที่อยู่ด้วยกัน
ตังกุยตัวแข็งทื่อ ทำไมเล่ยมู่ไม่บอกถึงเรื่องเด็กสาวคนนี้กัน? และเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนตังกุยก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขาตกตะลึงอย่างไร้คำพูด
“ภูติสวรรค์จากตี๋เก้อ!”
เขาอยากจะหนีแต่ก็เห็นรอยยิ้มพิศวงบนใบหน้าจางตี๋เก้อ เขารู้ว่าเขามิอาจหนีพ้น! เขากัดฟันฝืนตัวเองไม่ให้บินหนี
ปั้ง–
“ท่านภูติสวรรค์ ข้าตังกุยจากเมืองก้นบึ้ง!”
เขาคุกเข่าต่อหน้านาง
“เล่ยมู่ทิ้งข้าแล้ว ข้ายินดีจะรับใช้ท่าน”
ตังกุยต้องใช้นางเป็นที่หลบภัย!
จางตี๋เก้อหัวเราะ
“เจ้าฉลาดนัก ข้าต้องขอชม เจ้าไม่หนี แล้วเจ้ายังรู้ตัวว่าเจ้าถูกคนข้างหลังคันฉ่องนั่นหักหลังในปราดเดียว”
ตังกุยโกรธแค้น เขามิอาจเชื่อว่าเล่ยมู่จะเห็นตัวตนของภูติสวรรค์จากสมบัติเทพและเก็บข้อมูลไว้กับตัวเพื่อหลอกเขา! เล่ยมู่หวังจะส่งตังกุยมาเพื่อตาย!
“ขอบคุณท่านภูติสวรรค์ที่ชมเชยข้า…”
“เขาชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่มีเหตุให้ข้าต้องภักดี”
แต่จางตี๋เก้อก็หุบยิ้ม
“ใครกันที่พูดว่าข้าจะรับเจ้า? อย่าเอาข้าไปเทียบกับตระกูลกุยต่ำต้อย”
ตังกุยเริ่มหวั่นใจ เขามองผ่านซือหยูกับเซี่ยจิงหยู
“ท่านภูติสวรรค์โปรดฟังข้าก่อน ข้าจะฟังคำชี้แนะและรับใช้ท่าน! นอกจากจะเป็นคนของก้นบึ้งแล้วข้ายังเป็นรองเจ้าตำหนักอีกด้วย ข้ามีประโยชน์กับท่านแน่”
จางตี๋เก้อถากถาง
“เจ้าพยายามจะพูดว่าเจ้ามีประโยชน์กว่าสองคนนี้รึ? ความจริงคือสองคนนี้มีประโยชน์กว่าเจ้ามากมายต่างหากเล่า”
ตังกุยกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมาสร้างหมอกหนาเมื่อเห็นว่านางคิดจะสังหารเขา จากนั้นจึงหยิบสมบัติเทพรูปกระสวยออกมาจากเสื้อ
หลังจากที่สัมผัสกับโลหิต สมบัติเทพได้สั่นสะเทือนและเปล่งประกายแสงมรกตออกมา
“ไป!”
ตังกุยตะโกนและคว้าแสงมรกตด้วยมือข้างเดียว
สมบัติเทพเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่ากลัว มันพาเขาหนีไปหลายหมื่นลี้ในพริบตา
จางตี๋เก้อเยาะเย้ย
“คิดหนีรึ?”
นางมองซือหยูกับเซี่ยจิงหยู
“พวกเจ้ารอที่นี่ ข้าขอเวลาครึ่งชั่วยาม”
นางพูดจบพร้อมกับร่างเล็กๆที่หายไปราวกับว่านางยักย้ายตัวเองออกไป
นางปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าตังกุย
“จู่ๆข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่าเจ้ายังไม่ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว”
จางตี๋เก้อมองเขาเหมือนนางกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“อย่างน้อยเจ้าก็พิสูจน์บางสิ่งได้”
นางใช้ฝ่ามือกดลงกับพื้น พลังวิญญาณจากจักรวาลเอ่อล้นอย่างบ้าคลั่งและรวมตัวกันเหนือนภาสร้างเป็นฝ่ามือยักษ์ที่กว้างพันศอก แม้แต่เส้นโลหิตก็เห็นได้อย่างชัดเจน มันดูเหมือนฝ่ามือของจริง
เมื่อฝ่ามือกดลงมา สมบัติเทพในมือตังกุยระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ตังกุยกระเด็นลอยไป โลหิตกระจายออกจากร่างดั่งพิรุณ
“ไม่นะ….”
เขาตะโกน
เขาล้มลงกับพื้นเมื่อฝ่ามือกดทับลงมาและถูกบดขยี้จนเหลือชิ้นดี
******
ซือหยูสีหน้าไร้อารมณ์ เขารักษาความเป็นหุ่นเชิดเอาไว้เหมือนกับเซี่ยจิงหยู แต่เขารู้สึกไม่สบายใจและฝืนที่จะไม่แสดงท่าทางออกมา เขาคิดจะหนีสุดหัวใจ ชั่วยามเดียวก็มากเกินไปที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเขากับจางตี๋เก้อ
จ้าวยี่หยูตกอยู่ในอันตรายแต่ซือหยูมิได้ถูกควบคุม นางอาจจะหาเขาไม่เจอแต่ก็เสี่ยงอย่างมาก เขาควรจะหนีหรืออยู่กับที่เพื่อดูสถานการณ์ดีนะ?
หลายนาทีผ่านไป ซือหยูยังคงทรมานอยู่กับการคิดไม่ตก แต่ก็ไม่นานนักก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยุดขยับตัว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ซือหยูได้ยินเสียงผิวปากและสายลมเบาๆ จางตี๋เก้อนั้นยืนอยู่ข้างหลังซือหยู นางยิ้มเยาะ
“ดูเหมือนว่าข้าจะระแวงเกินไปจริงๆ แต่ยังไงก็คงไม่มีเด็กคนไหนต่อต้านวิชาควบคุมจิตใจของข้าได้หรอก”
นางยังคงกังวลถึงซือหยูอย่างที่เขาคิด นางนั้นกำจัดตังกุยได้ในเสี้ยววินาที ส่วนเวลาครึ่งชั่วยามนั้นก็เพื่อล่อให้ซือหยูขยับตัว นางได้รอดูว่าซือหยูจะทำอะไรเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเสียสติไปแล้วจริงๆ
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะ
“เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่พวกเจ้าสองคนจะเข้าร่วมกับแผนของข้าแล้ว สมบัติเทพทำลายโลกจะให้พี่ชายที่ใช้วิชาอัสนีเป็นการชั่วคราว!”
จางตี๋เก้อหัวเราะเสียงดัง นางสะบัดมือและสร้างสายลมรุนแรงพาตัวพวกเขาไป