The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 438
แม้ซือหยูจะสงสัย เขาก็ไม่มีเวลาไปมากกว่านี้ เขาเริ่มค้นหาทางออกโดยการตามแสงที่เปล่งออกมาจากม้วนคัมภีร์
เวลาผ่านไปช้าๆ ซือหยูไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานเพียงใดก่อนที่จะพบรูเหนือศีรษะ มีพลังจางโลกภายนอกค่อยๆผ่านรูเข้ามา นั่นจะต้องเป็นทางออกแน่!
ซือหยูยินดี เขากำลังจะผ่านรูนั้นไปแต่ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ
******
ลึกในใต้ดิน ที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง
ฉีหมิงกับชายแก่ในภาพเขียนนั่งมองหน้ากัน ระหว่างพวกเขาคือร่างยาวสามสิบศอกของราชาปีศาจ
“ข้าจะใช้วิชาส่งเจ้าเข้าไปในร่างของราชาปีศาจ…”
ชายแก่พูด
“ข้าจะใส่พลังชีวิตลงในตัวเจ้า มันจะทำให้เจ้าป้องกันของพลังพวกภูติผีได้นานหนึ่งก้านธูป เจ้าจะต้องหาแผนที่ลับสวรรค์ให้เจอ มิเช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังที่จะได้กลับออกมา”
เขาเอานิ้วสัมผัสหน้าผากของฉีหมิงและใส่พลังวิญญาณเข้าไป
ฉีหมิงเข้าใจแล้ว
“ได้เลยนายท่าน! ข้าไม่เสียใจเลยถ้านายท่านจะได้ฐานพลังกลับคืนมา”
“ฮื่ม! เจ้าเต็มใจมารับใช้ข้าก็เพราะว่าเจ้าถูกข้าจองจำแล้วก็อยากจะไปจิวโจวกับข้า ไม่ต้องห่วง หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลง ข้าจะพาเจ้าไปจิวโจวกับข้า”
ชายแก่พูดเบาๆ
“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มใช้วิชาแล้ว”
ชายแก่เริ่มใช้พลัง พื้นดินรอบๆทั้งสามเริ่มเปล่งแสงออกมา พลังภูติพุ่งออกมาจากอกของราชาปีศาจก่อตัวเป็นวายุพลังขนาดเท่าฝ่ามือ ร่างของฉีหมิงหายไปพร้อมกับถูกกลืนกินเข้าสู่พลังนั้น
ฟึ่บ–
ฉีหมิงเพิ่งเข้ามาและก็พบว่าพลังภูติอันโหดร้ายได้กดพลังวิญญาณทั้งหมดของเขา มีเพียงพลัวชีวิตในร่างกายที่ทำให้เขาไม่เป็นอะไร
“นี่คือในร่างของราชาปีศาจงั้นรึ?”
“พลังภูติเช่นนี้ ราชาปีศาจหิมะทมิฬต้องตายไปแล้วแน่ๆ ถ้าข้าหาแผนที่ลับสวรรค์เจอเร็วๆข้าจะได้ค้นศพของมัน ข่าวบอกว่าคนคนนี้มีสมบัติมากมายอยู่กับตัว แล้วยังสมบัติเทพระดับสูงนั่น…”
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะเยาะก็ดังเข้าหูเขา
“ขอบคุณที่คิดถึงข้านะเจ้าของร้านฉี…”
“แต่น่าเสียดาย ข้าตายที่นี่ไม่ได้หรอก”
ฉีหมิงตัวแข็งทื่อ เขาหน้าซีดเผือด เขาร้องเสียงหลง
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ…เจ้า…เจ้ายังไม่ตายเรอะ? เป็นไปไม่ได้!”
ฟึ่บ–
หมอกพลังภูติแหวกให้กับคนที่เดินเข้ามา เขาคือซือหยู
ฉีหมิงตัวสั่น เขาหรี่ตามองคัมภีร์ในมือซือหยู
ฉีหมิงพยายามใจเย็นและพูดอย่างเป็นมิตร
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ? ข้าโล่งใจที่เจ้ายังไม่ตาย! ถ้าเจ้าตายไปจริงๆข้าก็คงได้แต่โทษตัวเอง”
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“อย่างนั้นเองรึ?”
ฉีหมิงหัวเราะอย่างอับอาย
“ใช่แล้ว! หากท่านหิมะทมิฬไม่เป็นอะไร ก็ออกจากที่นี่ไปกับข้าเถอะ แม่นางชิงรอพวกเราอยู่ที่ข้างนอก”
เขาพูดจบและเดินไปจับไหล่ซือหยูอย่างเป็นธรรมชาติราวกับจะออกจากที่นี่ไปกับเขา แต่เมื่อเขาเข้าใกล้ ท่าทางเป็นมิตรก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าดุร้าย ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บเข้าเฉือนข้อมือของซือหยู
“เจ้าของร้านฉี นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
ซือหยูพูดตอนที่ถอยหลบ
ฉีหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ก็ถ้าเจ้ายังไม่ตาย ข้าก็จะลงมือเอง!”
“อย่างนั้นรึ?”
ในตอนนั้นเองฉีหมิงก็ได้เห็นใบหน้าเยือกเย็นที่แทนที่ด้วยรอยยิ้มของราชาปีศาจหิมะทมิฬ เขาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ฉีหมิงไม่สบายใจอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงความต่างในพลังและพลังวิญญาณที่ใช้การที่นี่ไม่ได้ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นและคว้าข้อมือของซือหยู!
เขาปล่อยพลังพยายามจะบีบมือซือหยูให้แหลก แต่เมื่อเขาออกแรงก็รู้สึกราวกับว่ากำลังจับเหล็กกล้า ไม่ว่าเขาจะออกแรงเท่าใด เขาก็ขยับอีกฝ่ายไม่ได้เลย!
“เจ้า…ร่างกายเจ้า! นี่มันอะไรกัน?”
ฉีหมิงอ้าปากค้าง เขาปล่อยมือราวกับว่าได้สัมผัสกับสายฟ้า
แต่ในความมืด มือของซือหยูก็มาถึงตัวเขาแล้ว มันคว้าแขนของเขาเอาไว้ ใบหน้าอันเยือกเย็นของอีกฝ่ายจุดปะทุด้วยจิตสังหาร
“ข้าว่าเจ้าพอได้แล้วล่ะ”
ซือหยูใส่แรงที่มือ เสียงกระดูกแตกดังลั่น กระดูกของฉีหมิงหักเป็นสองท่อน
ฉีหมิงกรีดร้องเสียงดัง เขาพยายามจะเป็นอิสระจากมือซือหยูและหนีไป แต่แรงมือซือหยูนั้นแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า
“เจ้า…เจ้าคิดจะฆ่าข้าเรอะ?”
ฉีหมิงตกใจ
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ฉีหมิงกลัวตายอย่างสุดขั้ว แววตาสะท้อนความกลัว
“เดี๋ยวก่อน! นายท่านอยู่ข้างนอกนี้เอง! ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็อาจจะมีชีวิตออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ถ้าเจ้าสาบานว่าจะไว้ชีวิตข้า ข้าจะให้นายท่านไว้ชีวิตเจ้า! ฆ่าข้าไปก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าไม่ฆ่าข้า เจ้าจะรอด”
ซือหยูพยักหน้า
“นั่นก็มีเหตุผล”
ฉีหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ถ้าเช่นนั้..เอื่อก!”
ซือหยูซัดมือสะบั้นคอของเขา
ฉีหมิงนั้นเป็นชายเจ้าเล่ห์ คงจะไม่ฉลาดถ้าต้องตกลงเรื่องสิ่งใดกับเขา และเขายังเป็นแค่คนรับใช้ เขามีสิทธิ์อะไรไปขอร้องเจ้านายของเขากัน?
หลังจากที่เห็นแล้วว่าฉีหมิงตาย ซือหยูก็ค้นตัวของเขาและไม่พบสิ่งใด
“คนจนเช่นนี้เป็นเจ้าของกระโจมแสงทองได้นั่นน่าประหลาดใจจริงๆ!”
เขาสะบัดมือและสร้างเพลิงแผดเผาร่างของฉีหมิงเป็นเถ้าถ่าน
ก่อนที่ซือหยูจะไป เขาก็พบเส้นผมบางๆในเถ้าถ่านนั้นที่ไม่ถูกเพลิงเผาไหม้! ในตอนนั้นซือหยูก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ใยผม แต่มันคือสมบัติที่อดทนต่อความร้อนสูงได้
เขาหยิบมันขึ้นมาวางในฝ่ามือและส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไป ในตอนนั้นวิญญาณได้ถูกดูดซับเข้าไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก
พื้นที่นั้นคับแคบ…มีขนาดเท่ากล่องใบเล็ก มันมีขนาดไม่ถึงครึ่งของคันฉ่องจักรวาลด้วยซ้ำ แต่ในพื้นที่แคบนี้ก็เต็มไปด้วยสมบัติมากมาย!
ตำราระดับอำมฤตฉบับสมบูรณ์เก้าเล่ม! สมบัติเทพห้าชิ้น! สร้อยมากมาย ยังมีสร้อยทลายเทพที่เขาเคยเห็นมาก่อนแล้วก็มีสร้อยสายฟ้าสีเพลิงที่ยังเหลืออีกสองเส้น และยังมีขวดโอสถอยู่แปดขวด สิ่งของมากมายเช่นนี้เหนือยิ่งกว่าที่ซือหยูมี!
“หา? ผ้าคลุมปีกจักจั่นของชิงจู้เหิง!”
ซือหยูจำได้ว่ามีของชิงจู้เหิงปะปนอยู่กับสมบัติเทพ สีหน้าของเขาหม่นหมอง
“ผู้หญิงคนนั้นลึกลับนัก ชิงจู้เหิง พลังของนางเทียบไม่ได้กับราชามนุษย์ ถ้านางตาย นั่นก็ต้องไม่ใช่เพราะฉีหมิง จะต้องเป็นเจ้านายของมันที่ฆ่านาง!”
ซือหยูครุ่นคิดถึงพลังของผู้เป็นนายฉีหมิง
“เขาจะต้องเป็นกึ่งเทพ!”
“เพราะอย่างไร ถ้าเขาอยู่ใจขอบเขตภูติ เขาจะต้องลงแรงขนาดนั้นจัดการกับราชาปีศาจเชียวรึ? คนที่จะฆ่าชิงจู้เหิงได้จะต้องเป็นกึ่งเทพ!”
เขาใจหาย แม้ซือหยูจะเคยสู้กับอสุรากึ่งเทพมาก่อน นั่นก็เป็นตอนที่เขายืมพลังของจางตี๋เก้อ การต่อสู้กับกึ่งเทพเพียงลำดับนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
ซือหยูหยุดคิดและคำนวนผลที่ได้หากจะเผชิญหน้ากับเจ้านายของฉีหมิง
ในที่สุดเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหายตัวพุ่งออกไปยังช่องว่างเหนือศีรษะ