The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 444
เขาหรี่ตามองผู้คนฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไปหยุดอยู่ที่ฉินจิวหยางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปหยุดที่ชายแก่ขี้เมา
“โอ้?”
“เจ้ามาที่นี่ได้โดยไม่ต้องมีราชาแห่งความมืดมาช่วยเชียวรึ? หรือว่าเจ้าเตรียมเซ่นสวรรค์แล้วเข้ามาที่นี่ผ่านวิธีนั้น?”
ไป่ลั่วสีหน้าเยือกเย็น เขาไม่นอบน้อมแม้จะอยู่ต่อหน้าชายแก่
“ผู้เฒ่าจิว…”
ชายแก่เหลือบมอง
“ไม่เลว อีกแค่ก้าวเดียวจะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติ เจ้าใกล้เคียงกับหลงหวูชิงของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ทีเดียว! ทะลวงพลังในครั้งนี้ให้ได้ ราชาแห่งความมืดที่ทำสมาธิมาตลอดร้อยปีจะได้ไม่ผิดหวัง”
ไป่ลั่วเบิกตากว้าง ไม่มีใครรู้ว่าราชาแห่งความมืดเป็นหรือตาย ชายแก่ขี้เมานี้ยืนยันว่าราชาแห่งความมืดยังมีชีวิตอยู่
เจ็ดจ้าวแห่งความมืดยืนเงียบๆอยู่ที่อีกด้านและไม่พูดอะไรอีก เซี่ยจิงหยูมองซือหยูอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
ดูเหมือนซือหยูจะรู้สึกแบบเดียวกัน แม้ว่าใบหน้านางจะปิดบังไว้ด้วยม่านวารีก็ราวกับเขาสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มอันงดงาม เขายิ้มตอบ
แต่เขาก็ไม่ละสายตาจากไป่ลั่วและเฉินยิ่ง! ทั้งสองมีความบาดหมางอันลึกล้ำระหว่างซือหยู พวกมันยังไม่ได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป!
ในตอนนั้นเองก็มีคลื่นพลังปรากฏขึ้น เขาคือผู้เฒ่าชุดดำที่พาคนเข้ามา
ซือหยูตกตะลึง ผู้เฒ่าชุดดำคือราชาโลกดับสูญคนแรก…นักรบโบราณที่เป็นอิสระจากหลุมศพ! ตอนนี้เขาเป็นเพียงซากศพที่ถูกควบคุมโดยหลงจื้อชิงให้ใช้พลังขอบเขตภูติในการเปิดประตูทองคำบานใหญ่
เหล่ายอดฝีมือสามคนบินเข้ามา หนึ่งในนั้นมีสาวสวยที่มีพลังอันเยือกเย็นรอบกาย ความงามของนางนั้นราวกับไม่ได้เป็นของมนุษย์แต่ดวงตาคู่นั้นดูป่าเถื่อนยิ่งนัก ดูเหมือนนางจะฆ่าคนได้จากระยะเป็นพันๆลี้ ฐานพลังของนางกำลังเข้าสู่กึ่งเทพ และนางก็เหนือกว่ากึ่งเทพธรรมดาทั่วไป!
ข้างหลังนางคือคนที่มีพลังระดับราชามนุษย์ที่หน้าตาคล้ายกับหลงเฟยหยู ใบหน้านั้นรูปงามและดูมีพลัง
สุดท้ายคือเซี่ยนเอ๋อ ตั้งแต่ที่เห็นนางครั้งสุดท้าย นางก็ได้เป็นผู้คุมสวรรค์แล้วเช่นกัน ดวงตากลมโตกำลังมองรอบๆ เมื่อนางเห็นซือหยูกับจ้าวยี่หยูก็โบกมือด้วยความประหลาดใจ
หลงจื้อชิงจ้องมองและเห็นซือหยู แววตาเขาเยือกเย็นขึ้นทันที แต่เขาก็มองไปเห็นชายแก่ขี้เมา เขาข่มใจและแสดงความเคารพ
“ผู้เฒ่าจิว!”
เจ้าพันธมิตรแห่งพันธมิตรผู้คุมสวรรค์นั้นจำต้องลดตัวต่อหน้าชายแก่ขี้เมา
ชายแก่โบกมือ
“ไม่ต้องมากพิธีนักหรอก บ่มเพาะหลงหวูชิงให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องก็พอ”
หลงจื้อชิงพยักหน้าและเดินถอยหลังกลับ
ครืน—
ในตอนนั้นเอง มิติบิดเบือนอีกครั้ง คนกลุ่มใหญ่เข้ามา นั่นคือสี่ตระกูลโบราณ!
นอกจากตระกูลตู่และตระกูลยี่ที่ถูกทำลาย ตระกูลกุยที่ไม่มา และตระกูลฉินที่มากับซือหยู ตระกูลอื่นต่างมาทั้งหมด ตระกูลฉี หมิง หวัง และหลี่…สี่ตระกูลยิ่งใหญ่…มาถึงแล้ว
มีผู้อาวุโสในตระกูลมาไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือนั้นคือศิษย์มากพรสวรรค์ในตระกูล แต่ละตระกูลจะส่งศิษย์มาคนเดียวและทุกคนล้วนเป็นราชามนุษย์ ไม่มีใครเป็นกึ่งเทพเลย
เจ็ดจ้าวแห่งความมืดต่างปล่อยจิตสังหารออกมาเมื่อได้เห็นแปดตระกูลโบราณ อาณาจักรทมิฬนั้นไม่ได้มีสัมพันธ์อันเป็นมิตรกับแปดตระกูล
มิติบิดเบือนอีกครั้ง ชายลึกลับที่สวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัวก้าวเข้ามา
ชายแก่ขี้เมาหรี่ตามองก่อนจะหัวเราะแห้งๆ
ซือหยูแอบมองชายในชุดม่วงด้วยความประทับใจ ชายชุดม่วงดูเหมือนจะสัมผัสได้และเหลือบมองมาทางซือหยู ลานกว้างดูมืดลงในพริบตา
*******
บรรยากาศอาจจะบอกได้ว่าเป็นมิตร แม้แต่ความบาดหมางในอดีตก็มิอาจบานปลายในกระโจมเทพสวรรค์
สองวันต่อมา มีเสียงดังกระหึ่ม พื้นที่รอบๆลดขนาดลง
ชายแก่ขี้เมาร่างกายเปล่งแสง เขามองดูรอบๆและประกาศ
“ช่วงเวลาในการเข้ามาที่นี่หมดลงแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นแค่กลุ่มเดียวที่เข้ากระโจมเทพสวรรค์ครั้งนี้”
ซือหยูเลิกคิ้ว เหล่ายอดฝีมือในทวีปต่างมากันหมด มีเพียงตระกูลกุยแห่งแปดตระกูลที่ไม่มีใครพบเห็น พวกนั้นไม่สนใจในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้หรอกรึ?
ปั้ง ปั้ง ปั้ง—
มิติบิดเบือน เสาศิลาประหลาดมากมายปรากฏที่กลางพื้นที่ พื้นที่กลางเสาศิลารายล้อมด้วยภาพที่คล้ายมังกรเก้าตัว
“ไปที่บนเสาศิลาพวกนั้นเถอะ”
ชายแก่โบกมือพาทั้งสามขึ้นไปบนเสาศิลา แต่เขายังคงยืนอยู่ที่พื้นและยิ้มมองทั้งสามคน
หลงจื้อชิงพูดต่อ
“เจ้าตามคนก็ควรจะไปที่เสาศิลาคนละต้น”
หลงหวูชิง หลงเฟยฉิง และฉินเซี่ยนเอ๋อบินขึ้นเสาศิลา
ที่เหลือมองดูและเข้าใจกฎระเบียบ แต่ละคนจับจองเสาศิลากันคนละต้น
ดูเหมือนว่าที่พื้นจะสัมผัสได้ถึงพลัง แต่ละขุมกำลังนั้นจะได้เสาศิลาหนึ่งต้นและดูเหมือนจะมีหลายส่วน ส่วนที่ซือหยูอยู่นั้นคือส่วนเดียวกับที่เจ็ดจ้าวแห่งความมืดอยู่ด้วย…ส่วนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมีสี่ตระกูลโบราณและชายชุดม่วง ทั้งหมดเป็นห้าส่วน ด้านบนเสาศิลานั้นจะเป็นศิษย์จากแต่ละที่ เหล่าผู้อาวุโสที่ตามมานั้นไม่ได้ขึ้นไปด้วย
ทันใดนั้นเอง เสาศิลาทั้งห้าได้ล้อมเป็นวงกลม มังกรในภาพทั้งเก้าสั่นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อความลอยอยู่กลางอากาศ
“ในการประลองลับสวรรค์ เสาศิลาแต่ละต้นจะประลองกับเสาศิลาที่เหลืออีกสี่ต้น ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่จะพาไปที่ไหน ยิ่งการต่อสู้เข้มข้นเท่าใดก็หมายถึงพรสวรรค์และพลังที่เหนือล้ำ มิติจะพาผู้ที่มากด้วยพลังไปยังที่ที่มีวัตถุดิบและทรัพยากรมากกว่า”
“มังกรทั้งเก้าเบื้องล่างจะตอบสนองอย่างเหมาะสมในการต่อสู้ของพวกเจ้า”
“บันทึกการต่อสู้จะใช้เพื่อจัดลำดับพวกเจ้า คนที่ได้ลำดับสามจะได้รับสมบัติเทพระดับกลางที่ยังไม่ถูกชำระล้าง คนที่ได้ที่สองจะได้สมบัติของชิ้น ส่วนคนที่ได้ลำดับแรกจะได้ทั้งสมบัติเทพระดับกลางและยังได้วารีบุพผาสวรรค์อีกด้วย มันจะลบล้างผนึกจากทุกสมบัติเทพได้เลย”
ซือหยูเบิกตากว้าง รางวัลสมบัติเทพนั้นก็มากพอแล้ว แต่ผู้ชนะยังจะได้วารีบุพผาสวรรค์อีก! แหวนทองปราบมารที่ซือหยูได้มานั้นยังขาดหยดหมื่นพล ถ้าเขาได้วารีบุพผาสวรรค์มาล่ะก็…
แต่เมื่อมองรอบๆเขาก็ไม่มั่นใจอยู่บ้าง ที่นี่มีกึ่งเทพสี่คน คนเหล่านั้นคงจะหมายตาลำดับแรก และดูจากสีหน้า พวกเขาต่างหวั่นไหวกับรางวัลของผู้ชนะลำดับหนึ่งอย่างมาก!
ชายแก่ขี้เมามองด้วยความเหยียดหยาม
“กระโจมเทพสวรรค์รู้ดีว่าจะใช้รางวัลอะไรตามดินแดน! กระโจมเทพสวรรค์ในจิวโจวเสนอรางวัลเป็นสมบัติเทพระดับสูง แล้วที่หนึ่งยังได้สมบัติวิญญาณ!”
ทุกคนต่างถูกดึงโดดโดยรางวัล แต่มันก็ไม่ยุติธรรมเลย
“การประลองลับสวรรค์เริ่มได้ เจ้าเลือกเสาศิลาที่อยากจะประลองซะ”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
“พี่จิวหยาง ให้ข้าก่อนเถอะ!”
ฉินยู่ชางร้อนรน เขาอยากจะประลองเต็มที่
ฉินจิวหยางตอบ
“เจ้าคิดจะเลือกใครงั้นรึ?”
ฉินยู่ชางมั่นใจอย่างมาก เขามองไปยังชายชุดม่วงลึกลับ
“ข้าจะประลองกับเขา!”
เขาไม่คิดเลยว่าฉินจิวหยางจะปฏิเสธในทันที
“ไม่ได้!”
“ชายคนนั้นอันตรายมาก ข้ายังไม่มั่นใจเลยว่าจะชนะหรือไม่”
ฉินยู่ชางสีหน้าเปลี่ยนไป ชายชุดม่วงที่มาคนเดียวนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
ฉินยู่ชางละสายตามองไปยังพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
“ข้าได้ยินนามของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มานานแล้ว…”
เขาพูดและหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ข้าทนรอเห็นพลังของพวกนั้นกับตาไม่ไหวแล้ว!”
เขามองทั้งสามคนก่อนจะจับจ้องไปที่หลงเฟยฉิงที่อยู่ตรงกลาง
ฉินจิวหยางพยักหน้าเบาๆ
“เจ้าจะลองคนนี้ก็ได้”
ฉินยู่ชางนี้หลงเฟยฉิงอย่างมั่นใจ
“ข้าฉินยู่ชาง ข้าจะประลองกับเจ้า”
หลงเฟยฉิงไม่คิดว่าจะมีคนประลองกับเขา เขาตัวแข็งทื่อก่อนจะหายใจแรง
“ข้าหลงเฟยฉิง ข้ายอมรับคำท้า!”
หลงหวูชิงพูดอย่างไร้อารมณ์
“ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ในสิบกระบวนท่า ทัณฑ์สวรรค์จะรอคอยเจ้า!”
สตรีผู้นี้โหดเหี้ยมจริงๆ
หลงเฟยฉิงใจสั่นแต่ก็แสดงความนับถือออกมา เขาบินลงบนพื้นระหว่างเสาศิลาทั้งห้า
ฉินยู่ชางกระโดดลง พื้นสั่นด้วยแรงกระแทก รอยแตกมากมายกระจายไปตามจุดที่เขาตกลงไป
ฉินยู่ชางหยิบเอาแส้หนังเก้าข้อต่อออกมาจากข้างหลัง มันคือสมบัติเทพระดับกลางที่ถูกชำระจนสมบูรณ์ มันปล่อยแรงกดดันวิญญาณอันทรงพลังออกมา
“เข้ามา…”
ฉินยู่ชางพูดเป็นคนแรก
หลงเฟยฉิงกางพัดในมือ เผยให้เห็นภาพเขียนงดงาม
“เริ่มได้!”
ฉินยู่ชางใจเย็น เขาปล่อยพลังวิญญาณลงในแส้เก้าข้อต่อ แส้หนังเริ่มเปล่งแสงมรกต มันดูเหมือนสิ่งงดงามที่ทำจากหยก
แส้ยาวฟาดลงกับพื้น ความเร็วนั้นมิอาจเห็นได้ด้วยตามนุษย์ เสียงระเบิดดังขึ้น พลังนั้นน่าตกใจอย่างมาก มันเกือบจะถึงกึ่งเทพ! แต่หลงเฟยฉิงก็มิได้หวั่นไหว เขาสะบัดข้อมือเบาๆ ภูเขาลูกยักษ์ลอยออกมาจากพัด ภูเขานั้นดูมีชีวิตชีวา…และเหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ
จู่ๆแรงกดดันประหลาดก็แผ่ออกมา พื้นที่ฉิงยู่ชางยืนอยู่เริ่มจมลงไป เขาหน้าแดง ยากที่เขาจะหลุดพันธนาการจากวิชาประหลาดเช่นนี้
ฉินยู่ชางผู้มั่นใจโกรธเกรี้ยว เขาสะบัดแส้และตะโกนอย่างดุร้าย แส้พุ่งตรงใส่หลงเฟยฉิง มันซัดภูเขาลูกยักษ์กลับไป
เสียงระเบิดดังก้อง ภูเขาแหละสลายเป็นเสี่ยงๆ แต่ฉินยู่ชางก็ไม่มีเวลาให้คลายใจ ศัตรูขยับพัดในอีกครั้งสร้างแม่น้ำสายยาวปะทะกับฉินยู่ชาง
“จะหยาบคายเกินไปแล้ว!”
เขาตะโกน
“เก้ามังกรทะยานฟ้า!”
ฉินยู่ชางบิดข้อมืออย่างรวดเร็วในหลายทิศทาง แส้ในมือหมุนวนราวกับมังกรควงสว่าน วายุยักษ์พุ่งออกจากแส้ปกคลุมแม่น้ำสายยาวและซัดออกไป
แต่ในตอนนั้นเอง ภูเขาลูกใหญ่อีกสามลูกก็พุ่งเข้ามากระแทกจากบนฟ้าโดยไร้คำเตือน
ภูเขาทั้งสามมากระชั้นชิดจนเกิดที่ฉินยู่ชางจะป้องกันตัว เขาถูกกดดันโดยภูเขาทั้งสามลูกในทันที เขาหน้าแดงก่ำ ร่างถูกกดอยู่กับพื้นมิอาจขยับไปไหนได้