The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 460
กังต้าเหล่ยมิอาจเชื่อสายตา
“เจ้านั่นมันอยากจะฆ่าพวกเราจริงๆนะ ไม่งั้นมันก็คงไม่เอาเหรียญพันธนาการภูติออกมา! มันต้องเจอกับอย่างอื่นและไม่มีเวลามาทำอะไรพวกเรา!”
ยู่จางเห็นด้วย
“นั่นคือคำอธิบายเดียวแล้วล่ะ”
“น้องหิมะทมิฬ ตื่นเร็ว!”
ฉินจิวหยางช่วยซือหยูให้ได้สติ เขามองดูซือหยูที่เหนื่อยอ่อนและยิงพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายเข้าช่วย
ซือหยู “ตื่นขึ้น” เพียงแค่ตอนนี้ สีหน้าของเขาหม่นหมอง
“เจ้านั่นไปไหนแล้วล่ะ?”
ฉินจิวหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะโชคดี บางทีเจ้าภูตินั่นอาจจะเจอคนแข็งแกร่งที่ไล่มันไป ไม่งั้นพวกเราสี่คนก็ตายไปแล้ว”
ซือหยูแสร้งตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน
“พวกเราโชคดีเช่นนั้นเชียวรึ?”
ร่างของกังต้าเหล่ยมีแสงปกคลุมอีกครั้ง เขายิ้ม
“ครั้งนี้พวกเราโชคดี! ใครจะไปคิดเล่าว่าเราต้องเจอกับมันเพียงเพื่อจะใช้เวทย์ยักย้าย?”
ยู่จางมองกังต้าเหล่ย นางครุ่นคิด
“ข้าว่าเราอย่าอยู่ที่นี่นานๆเลย เจ้านั่นอาจจะกลับมาเมื่อใดก็ได้ ไปดูเวทย์ยักย้ายเถอะ ข้าไม่รู้ว่าการต่อสู้จะทำให้มันมีผลอะไรหรือไม่”
สีหน้าทุกคนหม่นหมอง พวกเขารีบบินไปยังเวทย์ยักย้าย พวกเขาพบกับความยุ่งเหยิงบริเวณเวทย์ยักย้ายแต่ก็ถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่ามันยังใช้งานได้
กลุ่มซือหยูมองยู่จางพร้อมกัน ยู่จางนั้นไม่รู้จะทำสิ่งใด นางได้แต่คาดเดาความตั้งใจของทั้งสามคน นางได้เห็นพลังการต่อสู้ของทั้งสามคนมาแล้ว นางไม่มีทางรับมือด้วยตัวคนเดียวได้แน่ นางเตรียมจะหนี
แต่กังต้าเหล่ยกลับพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าช่วยพวกเราต่อสู้…ถ้าแม่นางจางจะลืมเรื่องศิษย์น้องไปได้ แม่นางก็มากับเราเถอะ”
ยู่จางสีหน้าผ่อนคลายลง นางหัวเราะอย่างขมขื่น
“พวกนั้นตายไปแล้ว! จะมีเรื่องอะไรให้พูดอีกเล่า? ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล เลิกคุยถึงเรื่องนั้นเถอะ การที่ท่านหิมะทมิฬฆ่าหยางเจี้ยนนั้นก็ต้องโทษความคิดร้ายของหลางเจี้ยนเอง เขาสมควรตาย นั่นไม่ใช่ธุระกงการของข้า”
คนที่เหลือสบายใจขึ้น พวกเขาเข้าสู่เวทย์ยักย้าย
******
ที่ชั้นเจ็ดของกระโจมเทพ
ฉินเซี่ยนเอ๋อหนีเอาชีวิตรอด สีหน้าของเขาซีดเผือด ข้างนางคือหลงหวูชิงที่ร่างกายมีแต่คราบโลหิต! ชุดของนางฉีกขาดเผยให้เห็นผิวเรียบเนียน แววตาอันหยิ่งยโสแทนที่ด้วยความหวาดกลัว
“วพวกนั้นเป็นศิษย์นอกจิวโจวรึ?”
หลงหวูชิงพูดขึ้นมา
“พวกนั้นแข็งแกร่งจนน่ากลัว!”
หลงหวูชิงหันไปมองข้างหลัง หีบโบราณของนางนั้นเต็มไปด้วยรูโหว่ ร่างกายของนางมีแต่แผลที่ดูน่าตกใจ โดยเฉพาะแผลตรงไหปลาร้า มีบาดแผลลึกจนมองเห็นกระดูก หากมันลึกไปกว่านี้หัวของนางก็คงจะขาดไปแล้ว! นี่ไม่ใช่สภาพที่พบเจอได้ง่ายกับหลงหวูชิง ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเฉินหลงที่นางเปป็น
หลงหวูชองมองเซี่ยนเอ๋อที่หน้าซีด ใบหน้านางเปื้อนโคลน
“เซี่ยนเอ๋อ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า…ทั้งหมดเป็นเพราะเขาแห่งความตายของเจ้า! ไม่งั้นพวกเราก็ตายไปเพราะเจ้าพวกนั้นแล้ว!”
แววตาหลงหวูชิงอ่อนโยน แม้นางจะเปป็นคนเย็นชา นางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากช่วยปัดโคลนออกจากไหล่เซี่ยนเอ๋อ นางดูน่ารักอย่างมกา
ฉินเซี่ยนเอ๋อลูบหัวตัวเอง นางรู้สึกไม่เป็นธรรม
“เจ้าคนชั่วนั่น! พวกเราแค่ผ่านมาแต่เขาก็คิดจะฆ่าเรา! คนในทวีปเฉินหลงน่ะเหนือกว่า รวมถึงพี่ซือหยู…กับพี่หิมะทมิฬ หึหึ”
ฉินเซี่ยนเอ๋อเล่นกับเขาสีดำในมือและหัวเราะคิกคัก
หลงหวูชิงสีหน้าประหลาด
“หรือว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬสนใจในตัวเจ้า? ข้ายังจะพอเข้าใจที่เขาช่วยเจ้าในก้นบึ้งมังกร แต่ให้สมบัติเทพระดับสูงกับเจ้าเช่นนี้…นั่นมันแปลกมาก!”
ฉินเซี่ยนเอ๋ออ้าปากกว้าง
“จริงรึ? คิดว่าพี่หิมะทมิฬชอบข้างั้นเหรอ?”
ฉินเซี่ยนเอ๋อครุ่นคิด นางมองดูเขาแห่งความตายในมือ ริมฝีปากนางบิดไปมา แม้ว่านางจะรู้สึกโหยหา นางก็ส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่น
“ข้าต้องการแค่พี่ซือหยู ถ้าข้าได้เจอพี่หิมะทมิฬอีกครั้ง ข้าจะคืนสิ่งนี้กับเขา เช่นนี้ดีหรือไม่?”
หลงหวูชิงนิ่งเงียบ ราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นประทับใจเซี่ยนเอ๋ออย่างมาก และด้วยเหตุผลที่มิอาจทราบ เขาทำให้เซี่ยนเอ๋อเกิดความคิดที่ประหลาดไปจากตัวนาง
“เอาเถอะ…”
“แต่อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องนั้นตอนนี้เลย เราต้องไปที่ซากราชาภูติตามบันทึกของพวกเรา ว่ากันว่าที่นั่นยังไม่มีใครเข้าไปดู นั่นน่าจะเหมาะให้เราเข้าไป ถ้ามีโอกาส เราจะซ่อนตัวและบ่มเพาะพลังที่นั่นทันที! แต่ที่นั่นจะมียอดฝีมือมากมายจากจิวโจว เราต้องระวัง อย่าโลภให้มากไป ของชิ้นเดียวก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว”
เซี่ยนเอ๋อพยักหน้าเชื่อฟัง
“ข้าจะทำตามที่พี่หวูชิงบอก”
“เจ้าที่มันเด็กดีจริงๆ!”
หวูชิงลูบหัวเซี่ยนเอ๋อ จากนั้นจึงนำทางนางไปยังซากราชาภูติ
******
ไป่ฉียืนเหนือยอดเขา มีภาพเขียนอยู่ข้างภาย ในภาพเขียนนั้นมีชายแก่ที่ไม่พอใจเท่าใดนัก
“ทำไมเจ้าไม่ฆ่าพวกนั้นด้วยเล่า?”
ชายแก่ขึ้นเสียง
ไป่ฉีที่ได้ยินคุกเข่าด้วยความกลัว เขาเผยร่างที่แท้จริง เขาคือราชาปีศาจ!
“นายท่าน…”
“ข้าสัมผัสได้ถึงยอดฝีมือมากมายจากจิวโ๗ว ข้าไม่ลงมือก็เพราะข้าไม่คิดจะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”
ชายแก่ที่ได้ยินนั้นคิดว่ามันมีเหตุผล เขาไม่ไตร่สวนสิ่งใดอีก
“เอาเถอะ หาเวทย์ยักย้ายที่ต่อไปซะ!”
ราชาปีศาจทำตามคำสั่ง มันเหลือบมองไปยังทิศทางของซากราชาภูติ
******
ณ สถานที่อีกแห่ง
ไป่ลั่วกับคนที่เหลือเดินไปตามทางที่แคบเป็นอย่างมาก ทุกคนไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย
“ยี่หยู ท่านราชาต้องทรงอำนาจโดยแท้จริง ถึงได้มีแผนที่แบบนี้”
ไป่ลั่วเอ่ยปาก
“ตราบเท่าที่พวกเราตามเส้นทางนี้ไป พวกเราจะเลี่ยงพื้นที่อันตรายและไปยังชั้นแปดได้”
ยี่หยูถือแผนที่ในมือ นางพยักหน้าเบาๆ
“เป็นอย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ ไม่มีช่องโหว่ใดในแผนการของราชาหรอก”
ไป่ลั่วที่นำกลุ่มคิดอะไรบางอย่าง
ที่อีกทิศทาง กลุ่มของสี่ตระกูลโบราณรีบร้อนมุ่งหน้าไปทางป่าที่มืดมิดโดยมีจางตี๋เก้อเป็นผู้นำ
******
โลกหมุนวน ซือหยูรู้สึกมึนหัวอีกครั้งจากเวทย์ยักย้าย เขาลืมตามาพบกันห้องลับที่ถูกทิ้งร้าง ห้องนี้เต็มไปด้วยฝุ่นหนา
เขามองดูรอบๆและเห็นว่าฝุ่นในห้องลับนั้นหนาถึงสามนิ้ว! การเหยียบชั้นฝุ่นก็ไม่ต่างกับเหยียบนุ่นหนาๆ
เห็นได้ชัดว่าเวทย์ยักย้ายที่นี่ไม่เคยมีผู้ใดใช้งานมาก่อน ดังนั้นเส้นทางจึงได้รกร้างเช่นนี้
ซือหยูเหลือบมองไปเห็นมุมกำแพง เขาพบโครงกระดูกขาวของคนหนึ่งคน ชุดสวมใส่ได้กลายเป็นฝุ่นควันตามกาลเวลาที่ล่วงเลย หลายส่วนของโครงกระดูกนั้นสึกกร่อน
ซือหยูโบกมือพัดฝุ่นรอบโครงกระดูกออกไป เขาพบกระบี่พังๆกับม้วนคัมภีร์ที่เปื่อยยุ่ย
ซือหยูหยิบของทั้งสองสิ่งขึ้นมาดู สนิมเกาะกินทั้งกระบี่ มันใช้การไม่ได้อีกแล้ว ส่วนม้วนคัมภีร์ยังพอมีคุณสมบัติวิญญาณอ่อนๆ แต่ข้อความก็เลือนลางจนเกินกว่าจะเข้าใจ ทั้งหมดที่อ่านได้มีเพียงคำว่า “มังกรอสูรนรกกลืนกิน” ที่ปก และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจจากคัมภีร์
“วิชาอสูรงั้นรึ?”
ซือหยูตกใจ มีคนไม่มากนักที่จะบ่มเพาะวิชาอสูรในทวีปเฉินหลงเพราะที่นั่นขาดทรัพยากร เป็นไปไม่ได้เลยที่ซือหยูจะบ่มเพาะวิชาอสูร และคัมภีร์ก็เสียหายเกินกว่าจะเข้าใจได้ เขาอ่านมันไม่ได้แม้จะอยากเท่าใด ซือหยูเตรียมจะโยนมันทิ้งไป
“ท่านหิมะทมิฬ…”
ยู่จางพูดขึ้นมา
“ท่านควรจะเก็บมันไว้นะ”
นางเดินไปทางเขาอย่างเย็นชา นางมองแผ่นหลังของซือหยูอย่างประหลาด นางเชื่อว่าไม่มีใครในกลุ่มซือหยูที่จะเอาชนะนางได้หากต้องสู้กันตัวต่อตัว แต่ซือหยุก็เป็นคนแรกที่ลืมตาหลังจากเวทย์ยักย้าย! นางประหลาดใจมากเมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าซือหยูนั้นชิงลงมือหาสมบัติก่อนแล้ว
“สิ่งนี้มีค่างั้นรึ?”
ซือหยูถาม
ยู่จางหัวเราะและไม่คิดจะปิดบัง
“พูดตามตรง ในวันสุดท้ายของกระโจมเทพสวรรค์ เหล่านักสู้จะต้องเข้าร่วมพิธีแลกเปลี่ยน สิ่งที่มีอาจจะไร้ค่า แต่มันก็อาจจะเป็นของล้ำค่าในสายตาของคนอื่น! ตามพิธีแลกเปลี่ยนในอดีตก็มักจะเป็นเช่นนี้ เก็บของไว้ก็จะเป็นการดี อาจจะมีเรื่องน่าตื่นตารอคอยอยู่ก็ได้”
“พิธีแลกเปลี่ยน…?”
ซือหยูงุนงง
เขามาในกระโจมเทพสวรรค์ก็เพื่อทำภารกิจของผู้อาวุโสจิวและเพื่อหาวัตถุดิบในการสร้างเนตรเงินล้างอสูร เขามีสมุนไพรบาดาลอมตะอยู่แล้วแต่ก็ไม่มีเบาะแสว่ามุกเลี่ยงอัสนีหรือโลหิตของมังกรจริงๆอยู่ที่ใด มันจะยากเกินไปถ้าจะต้องค้นหาของพวกนั้นด้วยตัวคนเดียวในกระโจมเทพสวรรค์ แต่ก็มีพิธีแลกเปลี่ยนอยู่อีก นั่นจะเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของซือหยู!
“มันจะจัดขึ้นเมื่อใดรึ?”
ซือหยูรีบถาม
ในตอนนั้น กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางรีบปรี่เข้ามา
“น้องหิมะทมิฬ เจ้าเร็วจริงๆ!”
กังต้าเหล่ยพูดด้วยความนับถือ
ทั้งสองคนสงสัยอย่างมากกับโครงกระดูก แต่เมื่อรู้ตัวก็พบแล้วว่าซือหยูหยิบเอาของทั้งสองสิ่งที่เสียหายไปแล้ว มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องขอแบ่งสิ่งที่ได้อย่างเท่าเทียมถ้าหากมันมีค่า
ซือหยูหัวเราะและเก็บของสองชิ้นในคันฉ่องจักรวาล
“นั่นก็แค่โครงกระดูก พี่ต้าเหล่ย พี่จิวหยาง ถ้าต้องการก็รับไว้เถอะ”
ทั้งสองเหลือบมองซือหยู แม้แต่ยู่จางก็ต้องให้ความสนใจ ทั้งสามตรวจดูโครงกระดูกอีกครั้ง
“นอกจากจุดนี้ ที่เหลือก็เปื่อยสลายไปตามกาลเวลาแล้ว”
ยู่จางพูดอย่างเรียบเฉย
“แม้แต่คนบ่มเพาะวิชาอสูรที่เก็บสะสมกระดูกมนุษย์ก็อาจจะไม่ต้องการมัน!”
ยู่จางมองดูกำแพงรอบๆ แต่ก่อนที่จะนานนางก็มองดูจนหมดทั้งห้องลับ ทุกคนมองดูทุกซอกซุกมุมแต่ก็ได้เครื่องกระเบื้องมาเพียงสองชิ้นเท่านั้น
“ไปเถอะ”
กังต้าเหล่ยเตะประตูห้องลับออกไปด้วยความผิดหวัง
แสงตะวันสาดส่องสะท้อนโครงกระดูก เงาของมันยืดขยายออก!
ซือหยูที่ยืนอยู่ข้างโครงกระดูกเหลือบมองและเห็นความประหลาดของโครงกระดูกแต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร