The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 486
โอ้? เป็นเขาเองเรอะ!
ศิษย์นอกจากตำหนักชิงวิญญาณที่ไล่ล่าฉินเซี่ยนเอ๋อกับหลงหวูชิงคือโจวฉีหมิง!
ซือหยูแววตาเยือกเย็น ถ้าคนคนนั้นอยากจะทำอะไรกับเซี่ยนเอ๋อ ซือหยูต้องล้างแค้นให้นาง
“ก่อนที่เขาจะมา ที่นี่มีคนประมาณร้อยคนที่ต่อสู้กันอยู่ในป่าศิลา มีคนอยู่มากเกินไปแต่ก็มีเวทยักย้ายแค่ที่เดียว การต่อสู้จึงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ! แต่เมื่อโจวฉีหมิงมาที่นี่ เขาก็ทำให้การต่อสู้หยุดลงและทำให้ทุกคนต้องระวังตัว จากนั้นเขาก็บอกให้ทุกคนกำจัดยอดฝีมือเร่ร่อนไปก่อนเพื่อเหลือตำแหน่งว่างในการใช้เวทยักย้ายแก่คนจากดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด! เขายังสั่งอีกว่ายิ่งสังหารยอดฝีมือเร่ร่อนได้เท่าใด ตำแหน่งในการได้ใช้เวทยักย้ายก็จะเลื่อนระดับขึ้นมา! มีแค่ห้าสิบคนแรกเท่านั้นที่จะมีโอกาสใช้ได้เวทยักย้ายไปที่ชั้นแปดของกระโจมเทพ”
ดังนั้น ยู่จางกับคนที่เหลือรอบๆจึงไล่สังหารยอดฝีมือเร่ร่อน
ซือหยูยืนมือไพล่หลัง เขามองดูพื้นราวกับคิดถึงอะไรบางอย่าง ด้วยพลังของโจวฉีหมิง ไม่มีใครหยุดเขาจากการเข้าสู่เวทยักย้ายได้
แล้วทำไมเขาถึงไม่ใช้เวทยักย้ายไปเล่า? เขาจะอยู่และรอสั่งให้มีการสังหารทำไมกัน? เขาวางแผนอะไรอยู่?
“ถ้านี่เป็นการล้างสังหาร เขาจะยืนยันได้อย่างไรว่าเจ้าฆ่าไปกี่คน?”
ยู่จางหยิบเอาแผ่นวงกลมออกมา มันเปล่งแสงเล็กน้อย
“โจวฉีหมิงใช้วิชาใส่พลังลงในศิษย์ของดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดและดินแดนชะตา ในชั้นเจ็ดแห่งนี้ ถ้ามีคนที่ไม่มีพลังของเขาถูกสังหาร มันก็จะทิ้งร่อยรอยไว้ในแผ่นวงกลม วิชานี้เป็นของตำหนักชิงวิญญาณ พวกมันจะใช้ตอนที่บอกให้คนสังหารคนอื่นเพื่อบ่มเพาะพลังของตนเอง แต่มันกลับถูกเอามาใช้ที่นี่”
ซือหยูตกใจในเบื้องหลัง เขาตระหนักถึงความป่าเถื่อนของวิชาอสูร ดูเหมือนว่านี่จะเป็นที่มาของพลังของคนที่ใช้วิชาอสูร หนทางของพวกเขาป่าเถื่อนและเขียนด้วยโลหิต พวกเขาถึงถูกลิขิตให้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
เขาคิดอยู่ชั่วครู่ แสงสีเขียวเปล่งประกายจากแขนของเขา แผ่นวงกลมมากมายลอยออกมา
“ตามสัดส่วนของคนจากดินแดนพรสวรรค์กับยอดฝีมือเร่ร่อน ถ้าฆ่าหนึ่งคนได้สำเร็จก็เพียงพอแล้วที่เจ้าจะได้อยู่ในห้าสิบลำดับแรกและมีที่ว่างให้ใช้เวทยักย้าย”
ซือหยูเงียบไป จากนั้นเขาก็ทำลายแผ่นกลมทั้งสามแผ่นเหลือไว้เพียงหนึ่ง จากนั้นแหวนมิติก็เปล่งแสงออกพร้อมกับชุดของตำหนักศีลหวนคืนที่ลอยออกมา มันคือชุดของหยางยี่เต๋า!
มีลายเมฆาแผดเผาอยู่ที่กลางอกของชุด มันคือสัญลักษณ์ของตำหนักศีลหวนคืน จากนั้นเขาก็ถอดหน้ากากสีทองแดง เส้นผมของเขาแปรเปลี่ยนจากสีโลหิตเป็นสีเงินตามเดิม
ในที่สุดเขาก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา เขาได้ซุกซ่อนตัวตนมาเป็นเวลานาน เขานั้นรูปลักษณ์งดงาม ฟันขาวสะอาดระยับ ดวงตานั้นพิเศษน่าจับตาราวกับดวงดาว รอยยิ้มของเขาดูดี เส้นผมนุ่มลื่นสีเงินแผ่ขยายด้านหลังราวกับน้ำตก เขาดูตระการตาในแสงตะวันเมื่อสายลมพัดผ่านเส้นผมสีเงิน
ในพริบตาเดียว ซือหยูได้เปลี่ยนจากชายในหน้ากากผมแดงที่ใช้วิชาอสูรมาเป็นเด็กหนุ่มผมสีเงิน รอยยิ้มของเขาชั่วร้ายเล็กน้อย ประกอบกับชุดของตำหนักศีลหวนคืน เขามีบรรยากาศอันสูงส่ง
ยู่จางตัวแข็งทื่อเมื่อมองซือหยู นางไม่คิดว่าเขาจะยังเด็กและหน้าตาหล่อเหลา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ซือหยูนั้นทำให้นางคิดว่าเขาแก่กว่ามาตลอด นางเคยคิดว่าเขาน่าจะอายุเกินยี่สิบปีอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะได้รู้ว่าเขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี! แล้วเขาก็ยังมีรูปลักษณ์ที่ดีอย่างคาดไม่ถึง! เขาราวกับเป็นองค์เทพที่ลงมาตรวจตราดูความเป็นไปของโลก
“มองอะไรรึศิษย์พี่ยู่จาง?”
ซือหยูถามด้วยรอยยิ้ม เขาเรียกนางว่าศิษย์พี่
ในตอนนี้ ทุกคนจากตำหนักศีลหวนคืนยกเว้นแต่ยู่จางได้ตายไปจากการต่อสู้ เขาจึงได้ปลอมตัวเป็นคนจากตำหนักศีลหวนคืน! ตราบเท่าที่ยู่จางไม่ปริปาก ใครกันจะสงสัยตัวตนของเขา?
ยู่จางหน้าแดงระเรื่อ แม้แต่หูของนางก็แดงขึ้นมา นางดูกระอักกระอ่วนและละสายตาไปทางอื่น
“นี่คือตัวจริงของเจ้างั้นรึ?”
ซือหยูพยักหน้า
“เจ้าถามทำไมกัน?”
ยู่จางเขินอาย นางดูไม่กล้าหาญเหมือนอดีต นางพูดเบาๆ
“เจ้าหน้าตางดงามดี อืม…เอาเถอะ เจ้าจะแสร้งเป็นคนของตำหนักศีลหวนคืนก็ได้ เจ้าจะเรียกตัวเองว่าอะไรล่ะ?”
ซือหยูยิ้ม
“หยินหยู”
เขาดูเป็นสุขเมื่อเอ่ยชื่อนี้ นานมาแล้วที่เขาไม่ได้ใช้ชื่อนี้
ยู่จางมองแผ่นหลังซือยหู นางกัดฟันติดตามไป
ที่กลางป่าศิลา เวทวงกว้างถูกผู้คนราวสามสิบคนล้อมรอบ พวกเขาคือคนที่สังหารยอดฝีมือเร่ร่อนได้
จู่ๆเหล่าผู้คนก็มองไปยังขอบนภา พวกเขาดูระวังตัว สองคนบินเข้ามา
“ยู่จางจากตำหนักศีลหวนคืน…”
“ไม่แปลกใจเลย”
เหล่าผู้คนพูดเบาๆ พวกเขาค่อนข้างระวังในพลังของยู่จาง
“แต่เด็กผมสีเงินข้างนางคือใครกันเล่า? มีราชามนุษย์จากตำหนักศีลหวนคืนในการประลองลับสวรรค์ด้วยเรอะ?”
“เจ้าไม่รู้ตัวรึว่าอีกห้าคนที่เป็นพันธมิตรกับนางไม่ได้กลับมา?”
ใบหน้าของสองคนที่กำลังคุยกันสับสน พวกเขามีข้อสงสัยมากมายถึงการมาของเด็กหนุ่มผมเงิน
คนสวมชุดดำที่อยู่ตรงกลางเวทนั้นมีผมสั้นและสายตาเฉียบคม จากหลายสิบคนที่นี่ มีเพียงเขาที่นั่งอยู่กลางเวท คนที่เหลือนั้นยืนอยู่ข้างๆจากภายนอกเพราะไม่กล้าจะเข้าไป ซือหยูเหลือบมองชายคนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นโจวฉีหมิงแม้แต่น้อยในตอนที่หนี แต่เขาก็ไม่มีทางลืมรังสีพลังที่ปล่อยออกมาจากโจวฉีหมิงได้
โจวฉีหมิงลืมตาช้าๆ เขามองสองคนที่เข้ามาใหม่ เขาจับจ้องไปยังซือหยูและขมวดคิ้ว
“ยินดีด้วย ยู่จาง!”
โจวฉีหมิงพูด
“ยังมีพื้นที่พอให้เจ้าได้ใช้เวทยักย้าย! แต่ข้าสงสัยว่าใครกันที่เป็นสหายเจ้า เขาดู…คุ้นๆ”
โจวฉีหมิงมองซือหยู เขารู้สึกราวกับเห็นชายคนนี้จากที่ใดมาก่อนแต่ก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬ
ยู่จางตอบอย่างใจเย็น
“เขาเป็นศิษย์ตำหนักศีลหวนคืน หยินหยู”
คนที่เหลือเริ่มสงสัย
โจวฉีหมิงแววตาเปลี่ยนไป
“ศิษย์จากตำหนักศีลหวนคืนรึ? ข้าจำไม่ได้เลยว่าเจอเขาในการประลองลับสวรรค์ หรือว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือเร่ร่อน?”
เขาสงสัยตรงจุดแต่ยู่จางก็ยังคงไร้อารมณ์
“เจ้าจะพูดตลกอะไรของเจ้า ข้ามีเหตุผลให้คนอื่นปลอมตัวเป็นศิษย์ตำหนักศีลหวนคืนด้วยรึ!”
เหล่าผู้คนเลิกคิ้วเมื่อได้ยิน พวกเขาคิดหาเหตุผลไม่เจอเช่นกัน
“ตำหนักชิงวิญญาณยังใช้วิชาลับส่งเจ้ามาได้…”
นางพูดต่อ
“ตำหนักศีลหวนคืนก็ต้องมีหนทางส่งคนมาที่กระโจมเทพสวรรค์อยู่แล้ว”
ยอดฝีมือเร่ร่อนหลายคนเข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์โดยไม่ผ่านการประลองลับสวรรค์ เมื่อได้ยินเช่นนี้ข้อสงสัยของพวกเขาก็หายไป แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยในตัวตนของซือหยู เขาเป็นแค่ราชามนุษย์ เหตุใดตำหนักศีลหวนคืนถึงสนใจหาทางอื่นให้เขามาที่กระโจมเทพด้วยเล่า?
โจวฉีหมิงครุ่นคิดขณะมองซือหยู จากนั้นเขาจึงละสายตาไปอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง อีกสี่คนบินเข้ามา หนึ่งในนั้นบินผ่านป่าศิลาและร่อนลงที่กลางเวทโดยตรง!
โจวฉีหมิงเลิกคิ้ว เขามองคนตรงหน้าและลหับตาอีกครั้ง จากนั้นรอยย่นที่ติ้วก็หายไป
ซือหยูประหลาดใจ
“หมิงเฟย!”
อีกสามคนเป็นคนจากสี่ตระกูลเก่าแก่ ในนั้นมีฉีเจี้ยที่เคยสู้กับเซี่ยจิงหยู แต่ซือหยูรู้สึกประหลาดกับหมองเฟยคนนี้ที่มีพลังทั่วๆไป นางจะมายืนอยู่ข้างโจวฉีหมิงได้ยังไง!
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองด้วยความสงสัย เขาเบิกตากว้าง เขาเห็นร่างหนึ่งในตัวหมองเฟย นั่นไม่ใช่ใครนอกจากภูติสวรรค์จางตี๋เก้อ
ราวกับว่าเห็นสายตาของซือหยู หมิงเฟยมองกลับมาหาเขา เมื่อนางเห็นซือหยูก็มองอย่างประหลาด นางพบว่าซือหยูค่อนข้างคุ้นหน้า
เหล่าคนที่เหลือจากดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดไม่กล้าจะลงมือแม้จะเห็นยอดฝีมือเร่ร่อนสี่คน! พวกเขามองจางตี๋เก้อด้วยความระมัดระวัง
ฟึ่บ–
ชายชุดม่วงบินเข้ามา เขาคือไป่ฉี! เขาไปอยู่ที่กลางเวทยักย้าย โจวฉีหมิงกับหมิงเฟยมองเขาอย่างไม่ประมาท
ไป่ฉีมองมาทางซือหยู เขาจับจ้องไปที่ซือหยูด้วยความดีใจ เขาจำซือหยูได้และแอบส่งสัญญาณ ซือหยูพยักหน้าด้วยความแปลกใจที่ไป่ฉีจดจำเขาได้แม้จะแปลงกาย ราชาปีศาจยังจำเขาได้! สัญญาณของเขานั้นก็เพื่อบอกว่าเขาต้องร่วมมือกับราชาปีศาจเมื่อถึงเวลา…ในการสังหารชายแก่ในภาพเขียน!
หลายคนบินเข้ามาเช่นกัน บางคนอ่อนแอกว่าคนอื่น แต่คนที่แข็งแกร่งกว่านั้นมีพลังมากยิ่งกว่าซื่อหลิง!
ซือหยูสังเกตหญิงสาวชุดสีน้ำเงิน แก้วพลังในจุดกำเนิดพลังของนางกลายเป็นแก้วพลังชีวิตไปแล้ว นางแข็งแกร่งเท่าๆกับหยางยีเ่ต๋า นางหันกลับมามองซือหยูเช่นกัน
ที่ข้างๆ ยู่จางรู้สึกถึงความหนาวเย็นอย่างคาดไม่ถึง นางหันไปมองและสีหน้าเปลี่ยนไป
“หยินหยู ระวัง!”
“นางคนนั้นคือศิษย์นอกจากสำนักบัวขาว จางซื่อเหลียน สำนักบัวขาวไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีกับตำหนักศีลหวนคืน ตอนนี้พวกเราอยู่ด้วยกันในตำหนักเทพสวรรค์ คงจะมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ เจ้าอย่าไปยุ่งกับพวกนาง! แม้แต่ศิษย์พี่หยางยี่เต๋าก็เอาชนะนางไม่ได้”
อย่างนั้นรึ? ซือหยูจดจำเอาไว้ นางนั้นเขาจึงมองคนที่มีพลังระดับซื่อหลิง ส่วนมากนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่มจากสำนักที่ส่งมา ไม่นานผู้คนก็มารวมตัวกันที่นี่เพิ่มอีก
โจวฉีหมิงลืมตา
“หยิบแผ่นวงกลมของพวกเจ้าออกมา”
เขาหยิบแผ่นวงกลมของตัวเองออกมาเช่นกัน มีสามสัญลักษณ์อยู่ในนั้น