The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 498
หา? สมบัติของช่างฝีมือลับสวรรค์? ซือหยูสงสัยในเรื่องนี้ ลู่จือยี่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์เพื่อสมบัติของช่างฝีมือหรอกรึ?
ลู่จือยี่นั้นดูคาดหวังแต่ก็เป็นกังวล
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
นางเหลือบมองซือหยูที่สับสน
“อาจารย์เจ้าไม่ได้บอกเรื่องสมบัติของตำหนักลับสวรรค์กับเจ้ารึ?”
ซือหยูเขินอาย แต่สีหน้าเขาก็ยังใจเย็น
“อาจารย์ข้าบอกให้ข้ามาเจอโลกกับศิษย์พี่ยู่จางแล้วก็ไม่ได้บอกอะไรอีก”
ลู่จือยี่เริ่มไม่คล้อยตาม ซือหยูนั้นแข็งแกร่งกว่ายู่จางอย่างมาก แล้วทำไมอาจารย์ของเขาจึงให้ยู่จางมาดูแลเขาเล่า? ยู่จางอาจจะเป็นคนที่ต้องการการปกป้องเสียด้วยซ้ำ และซือหยูยังมีสมบัติมากมาย โดยเฉพาะสมบัติของจ้าวเทวะอย่างลำดับห้าธาตุที่เขาชำระไปแล้ว ภารกิจของเขาจะต้องไม่ใช่ภารกิจธรรมดาๆอย่างแน่นอน
แต่นางก็ไม่ถามอะไรต่อ
“แต่ละยอดเขาเป็นตัวแทนของสมบัติแต่ละประเภท มีสมบัติช่างฝีมือ โอสถ วิชา ภูมิปัญญา และวัตถุดิบ สมบัติแต่ละอย่างเกินกว่าที่พวกเราเข้าใจโดยเฉพาะสมบัติช่างฝีมือกับวัตถุดิบ ในห้าสมบัติที่มี สองอย่างหลังนั้นทรงพลังที่สุด ถ้าเจ้าได้สมบัติของช่างฝีมือ เจ้าก็จะเป็นช่างฝีมือชั้นแนวหน้าของดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดได้เลย”
สมบัติช่างฝีมือกับวัตถุดิบรึ? ซือหยูเริ่มสนใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านมิใช่ช่างฝีมือชั้นแนวหน้าของดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดอยู่แล้วหรืออย่างไรกัน?”
เว่ยกังถาม
“ท่านมีพรสวรรค์ระดับที่ผู้เฒ่าอู๋หยางฉีจากทั้งสองตำหนักต้องชื่นชม”
เว่ยกังมองลู่จือยี่ด้วยความนับถือ เขานับถือนางเป็นอย่างมาก นางคือสตรีนักบ่มเพาะพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนพรสวรค์ทั้งสิบแปด และนางก็ยังมีพรสวรรค์ในด้านงานฝีมือที่เหลือล้ำ นอกซะจากผู้เฒ่าอู๋หยางฉีแล้วก็ไม่มีใครจากทั้งดินแดนที่จะมีความสามารถเหนือกว่านาง
ลู่จือยี่ส่ายหน้า
“มีคนที่ดีกว่าข้าเสมอนั่นแหละ สิ่งที่เรียกว่าปรมาจารย์ช่างอาจจะมีโด่งดังในดินแดนพรสวรรค์ แต่ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ พวกข้าก็เป็นแค่ระดับเริ่มต้น นั่นคือสิ่งที่ผู้เฒ่าอู๋หยางฉีชี้แนะ แม้แต่เขาก็ต้องยอมรับเรื่องนี้ นี่คือเรื่องจริงสำหรับข้า”
ซือหยูไม่คิดว่านางจะเป็นช่างฝีมือที่ยอดเยี่ยมด้วย ดูเหมือนว่านางดึงดันจะมาที่กระโจมเทพสวรรค์เพื่อสมบัติช่างฝีมือ เมื่อคิดถึงสีหน้าแปลกๆที่นางมองซือหยูในตอนที่ซือหยูพยายามจะหยุดให้นางเสี่ยงชีวิตมาชั้นแปด ซือหยูก็ถอนหายใจออกมาอย่างนับถือ ความมุมานะในการบ่มเพาะพลังของนางนั้นตระการตา
ซือหยูเองมิได้สนใจในหนทางนั้น แต่เรื่องวัตถุดิบ…
“แล้วสมบัติวัตถุดิบเล่า?”
ซือหยูถาม
ลู่จือยี่ยิ้มเล็กน้อย
“ทำไมกัน? เจ้าอยากจะได้วัตถุดิบรึ? เจ้าเลิกล้มความคิดไปเสียดีกว่า วัตถุดิบเป็นสิ่งที่ถูกปกป้องไว้ดีที่สุด แม้แต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าเลย! เกินกว่าร้อยปีที่ผ่านมา วัตถุดิบถูกพวกผู้คุ้มครองใช้ไปมากแล้ว ข้าว่าสมบัติล้ำค่าคงถูกใช้ไปแล้ว”
ซือหยูผิดหวัง ถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เขาจะหามุกเงินเลี่ยงอัสนีกับโลหิตมังกรในกระโจมเทพสวรรค์ก็เกือบจะเป็นศูนย์
“ตามข่าวลือ มีสมบัติล้ำค่าจากโลกอสูรที่เกือบจะทำลายตำหนักลับสวรรค์ แต่มีสมบัติอัสนีอย่างหนึ่งที่เหนือกว่าสมบัติภูติเหล่านั้น”
“สมบัติภูติแบบไหนกันถึงจะทำลายตำหนักลับสวรรค์ได้?”
ซือหยูถามโดยไม่ทันคิด
“แล้วสมบัติที่ต่อกรกับสมบัติภูติคืออะไรกัน?”
ลู่จือยี่มองซือหยูและอธิบาย
“ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ข้าค้นคว้าในสำนักแต่ก็เจอข้อมูลไม่มาก ถ้าข้าไม่พลาด มันคือสมบัติภูติที่ทรงพลังพอที่จ้าวเทวะจะต้องต่อสู้แย่งชิงกัน สมบัตินั้นคือมุกเงินเลี่ยงอัสนี! มุกนี้ใช้เพื่อตอบโต้กับทัณฑ์อัสนี มันมีแค่หนึ่งหรือสองชิ้นในมือของสัตว์ประหลาดเฒ่านั่น จากที่ข้ารู้ มันไม่มีเลยในโลกภายนอก”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า “สัตว์ประหลาดเฒ่า” จากจ้าวเทวะที่ทรงพลังอย่างลู่จือยี่จะต้องเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าระดับจ้าวเทวะอย่างแน่นอน
แต่คำพูดว่า “มุกเงินเลี่ยงอัสนี” ก็ทำให้ซือหยูตื่นเต้น หัวใจเขาเต้นแรง มันมีอยู่ในตำหนักลับสวรรค์จริงๆ…! ข่าวนี้ต้อนรับเขาได้ดีอย่างมาก! มันคือสิ่งที่เขาพลิกแผ่นดินหา!
เขาต้องการวัตถุดิบสามอย่างในการสร้างเนตรเงินล้างอสูร อย่างแรกคือสมุนไพรบาดาลอมตะที่ได้มาแล้ว อย่างที่สองคือมุกเงินเลี่ยงอัสนี!
ซือหยูพยายามจะไม่แสดงความตื่นเต้น ลู่จือยี่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไร
พวกเขาบินมาถึงพื้นที่ตรงกลางของยอดเขาที่สาม พวกเขาไมเ่ห็นว่ามีสิ่งใดเหนือศีรษะเพราะมันปกคลุมไปด้วยเมฆาทมิฬและหมอกที่แพร่กระจายไปทั่ว นั่นเป็นสัญญาณของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง บ้างก็มีพลังในระดับกึ่งภูติ
โฮก—
ในตอนนั้น เสียงคำรามดังก้องภู้ขา พยัดฆ์มรกตตัวใหญ่กระโจนออกมาจากหมอก!
หมอกนั้นหนาอย่างผิดปกติ พวกเขาไม่รู้เลยว่าพยัคฆ์มรกตนั้นอยู่ใกล้มาก
“อ๊า!”
ลู่จือยี่ตกใจ นางยกมือขวาดันไปทางพยัคฆ์มรกต
พยัคฆ์ตัวใหญ่จมลงกับพื้น กระดูกของมันแตกละเอียด ลู่จือยี่กดดัชนีลงไป กะโหลกของมันถูกบดจนแหลก เสียงคำรามของมันดับไป
ซือหยูรู้สึกเป็นกังวล…นางฆ่าสัตว์อสูรที่มีพลังระดับซื่อหลิงได้ในสองกระบวนท่า ทั้งๆที่นางกำลังบาดเจ็บสาหัส…
นางฝืนใช้ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์และถูกการโจมตีที่รุนแรงจากหุ่นเชิดสีเงินในป่าศิลาจนบาดเจ็บหนัก พลังในการต่อสู้ของนางในตอนนี้คงเหลือแค่หนึ่งในสิบส่วน ถ้าได้เจอกับโจวฉีหมิงและคนที่เหลืออีกครั้ง นางจะเป็นคนที่พ่ายแพ้เสียเองในครั้งนี้
“สัตว์อสูรนั่นแปลก ตามที่ข้าสู้ สัตว์อสูรพวกนี้มักจะไม่ออกจากหมอกถ้าไม่จำเป็น แต่มันก็ออกมาพยายามฆ่าพวกเรา พฤติกรรมของมันก้าวร้าวแปลกๆ”
ลู่จือยี่มองซากสัตว์อสูรด้วยความสงสัย นางมิอาจพบคำตอบ
“ช่างเถอะ เราต้องรีบไป เดี๋ยวสัตว์อสูรอื่นจะมาซะก่อน”
ลู่จือยี่ก้าวเข้าไปในหมอก ซือหยูกับเว่ยกังตามหลังนางไป
ต่อมาก็มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังมาจากในหมอกขาว หมอกนั้นพัดปลิวไปมาไม่หยุด
******
ครึ่งวันต่อมา ทั้งสามเอนกายกับหินก้อนใหญ่ พวกเขาหายใจหอบ
ลู่จือยี่เหนื่อยล้า สภาพนางแย่ยิ่งกว่าซือหยู แต่สีหน้านางก็ยังคงมุ่งมั่น นางไม่คิดจะเหลียวไปมองข้างหลัง
“ท่านอาจารย์ เราจะทำยังไงต่อดี?”
เว่ยกังถาม
“มีสัตว์อสูรมากกว่าในบันทึกมากนัก เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้าเพราะหมอก ถ้ายังไปต่อ พลังของพวกเราจะหมดเพราะสัตว์อสูร”