The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 499
ตามบันทึก แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรมากมายในหมอก พวกนั้นก็ยังมีจำนวนที่จำกัด สำหรับกลุ่มคนที่เข้าไปยังยอดเขาในอดีต พวกเขามักจะเจอสัตว์อสูรประมาณสามสิบตัว
แต่ตลอดการเดินทางของพวกซือหยู พวกเขาเจอสัตว์อสูรห้าสิบตัวเข้าไปแล้ว
“แปลกจริงๆ…”
ลู่จือยี่พูด
“หรือว่าเราจะมาผิดเวลากัน?”
นางสับสน เทียบกับสถานการณ์ปกติกับตอนที่พยัคฆ์มรกตพุ่งออกมาโจมตีพวกเขาจากหมอก…เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น
ซือหยูหายใจไม่ทั่วท้อง เขามองดูรอบๆด้วยเนตรวิญญาณ เขามองดูร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรที่เพิ่งสังหาร จากภายนอกนั้นไม่มีสิ่งใดที่แปลก ความต่างก็คือแววตากระหายเลือดของพวกมันยังคงอยู่แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว และแววตานี้ยังเกิดกับสัตว์อสูรทุกตัวที่ได้เจอ
ซือหยูหรี่ตามอง เนตรวิญญาณมองทะลุถร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่ง เขามองผ่านขน เนื้อ และโลหิต ไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของร่างกาย
หลังจากที่มองดูซือหยูก็พบของชิ้นหนึ่ง เขาต้องใจสั่นเมื่อเห็นมัน ในหัวของสัตว์อสูรนั้นมียันต์ที่ปล่อยพลังทมิฬออกมา นี่เป็นพลังที่ทำให้พวกมันป่าเถื่อนอย่างผิดปกติ
“ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับที่เก็บสมบัติ รีบเดินทางให้เร็วขึ้นเถอะ”
ลู่จือยี่รีบเดินทางต่ออย่างร้อนใจ
เรื่องดีก็คือพวกเขาเดินทางมาตลอดครึ่งวันและอยู่ไม่ไกลจากที่เก็บสมบัติ ไม่นานพวกเขาก็ถึงที่เก็บสมบัติ ท่ามกลางหมอกหนา เงาทมิฬปรากฏและหายลับต่อๆกัน เขาพบปล่องขนาดเท่าบ้าน!
ปล่องอันตระการตานั้นมีสี่ด้าน แต่ละด้านยาวพันศอก แสงจากเพลิงภายในนั้นสะท้อนทั่วนภา หากมองจากที่ไกลๆจะเหมือนกับภูเขาไฟ
“ระวังด้วย…”
“ที่นี่คือที่เก็บสมบัติช่างฝีมือ ตามบันทึก จะมีกึ่งภูติอย่างน้อยเก้าคนปกป้องมัน และยังมีหัวหน้ากึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวง!”
แก้วพลังชีวิตสามดวงของหัวหน้านั้นเทียบเท่ากับโจวฉีหมิง ภายในกระโจมเทพสวรรค์ คนที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวงนับว่าเป็นคนที่ทรงพลังมากที่สุด พวกเขาในสภาวะนี้มิอาจรับมือกับกึ่งภูติเก้าคนได้ง่ายๆ รวมถึงกึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวงด้วย
นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขาไม่อยากจะเสี่ยงกับภูเขาลูกอื่นๆ นั่นจะทำให้ศัตรูมีกำลังเสริมเพิ่มขึ้นอีก
“หยินหยู ถ้าเจ้าช่วยพวกข้าหลัง จากที่งานเสร็จ ข้าจะให้สัญญากับเจ้าหนึ่งอย่าง”
นางที่เคยต่อสู้กับซือหยูมาก่อนเข้าใจพลังของเขาดี ซือหยูนั้นแข็งแกร่งถึงระดับคนอย่างโจวฉีหมิง เว่ยกังที่อยู่อีกด้านตัวแข็งทื่อ ป้าของเขาขอให้ผู้น้อยที่เป็นราชามนุษย์เป็นผู้ช่วย!
ถ้าเทียบพลังกันแล้ว เขาแข็งแกร่วกว่าเด็กอย่างซือหยูมากมายนัก!
ซือหยูฝืนยิ้ม
“ผู้อาวุโสประเมินข้าสูงไปแล้ว ด้วยพลังของข้า ข้าจะมีสิทธิ์อะไรไปช่วยท่านเล่า?”
คำพูดนั้นทำให้ลู่จือยี่แปลกใจ ในเวทความฝัน ซือหยูนั้นอยู่ข้างกายนางตลอด แต่เมื่อนางขอให้เขาช่วยในตอนนี้ เขากลับปฏิเสธนางโดยไม่ลังเล
ความเบื่อหน่ายฉายในแววตานาง แต่นางก็ไม่ได้โทษอะไรเขานัก ด้วยพลังของซือหยู ถ้าเขาอยากจะสู้กับพวกนาง เขาก็ต้องเป็นภัยอย่างแน่นอน
“แต่อย่างไร…”
ซือหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าผู้อาวุโสเชิญข้า ข้าก็จะช่วย”
ความผิดหวังของลู่จือยี่เปลี่ยนแปลงเป็นความสุขใจ ใบหน้านางมีรอยยิ้ม แต่เมื่อรู้ตัวนางก็เขินอาย จ้าวเทวะได้ขอให้ราชามนุษย์เป็นผู้ช่วย แต่ที่แย่ยิ่งกว่า นางกลับทำให้ความรู้สึกเผยออกมา!
นางจ้องมองซือหยูที่พูดเช่นนั้น ยากที่นางจะรักษาบรรยากาศความเป็นจ้าวเทวะต่อหน้าซือหยูได้
ซือหยูเพียงแค่ยักไหล่และหัวเราะ เหตุใดเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เป็นหนี้บุญคุณจากจ้าวเทวะผู้แข็งแกร่งเล่า?
ทั้งสามเข้าไปยังที่เก็บสมบัติอย่างระวัง
“หา?”
เมื่อพวกเขาเข้าไปก็พบว่าที่นั่นไม่มีการคุ้มกันเลยแม้แต่น้อย!
ทั้งสามบินขึ้นสูงด้วยความสงสัย พวกเขาก้มลงมองเบื้องล่าง
เพลิงสูงไหม้อยู่ภายในปล่อง มันแผ่ควาร้อนสูงออกมา เพลิงที่ระดับต่ำสุดนั้นมีพลังน้อยกว่าต้นกำเนิดอัคคีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนั่นยังเป็นแค่เพลิงวงนอกสุด ที่ภายในปล่องนั้นน่ากลัวกว่ามาก
“เข้าไปดูกันเถอะ”
ลู่จือยี่เริ่มเป็นกังวล
นางไม่กลัวเพลิงในระดับนี้อยู่แล้ว นางกระโดดไปยังปล่องไฟแม้จะไม่มีแม้แต่พลังชีวิตปกป้องร่างกาย เว่ยกังใช้พลังชีวิตคลุมร่างและกระโดดลงไปอย่างไม่กังวลอะไรนัก ส่วนซือหยูนั้นแข็งแกร่งจากเพลิงเพราะการบ่มเพาะพลัง เขาไม่ได้หวาดกลัว เขากระโดดลงไปตรงๆ
ทั้งสามไปถึงก้นปล่อง ความร้อนอันน่าตกใจแผ่ขยายมาถึงตัวพวกเขา ชั้นเพลิงสีม่วงแดงแผดเผาอย่างโหดร้าย ทุกอย่างในปล่องถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่อากาศก็ถูกสูบเข้าใส่เพลิง เพลิงนั้นร้อนจนเทียบได้กับต้นกำเนิดอัคคี
ซือหยูตกตะลึง เพลิงจากต้นกำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากจากทวีปเฉินหลง ซือหยูมีโอกาสได้ต้นกำเนิดมาโดยผลของแก้วต้นกำเนิด แต่ที่นี่ ที่ใต้ปล่องกลับเต็มไปด้วยเพลิงระดับนั้น!
และที่ใต้ปล่องยังมีเพลิงต้นกำเนิดพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นสีแดงฉาน บางเพลิงนั้นน่ากลัวจนแม้แต่ซือหยูก็กลัวมัน เพลิงพวกนั้นทรงพลังยิ่งกว่าต้นกำเนิดเสียอีก
แต่อย่างไร เพลิงที่ก้นปล่องก็คือสัญลักษณ์ของทางเข้าประตูศิลา ที่ผิวของประตูศิลานั้นเสียหายอย่างหนักราวกับมีหลายคนที่พยายามจะพังมัน
ลู่จือยี่สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“อย่างที่คิดเลย มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ ประตูนี้ไม่เคยถูกใครเปิดมาก่อน! แต่ส่วนของมันก็แตกไปแล้ว!”
นั่นหมายความว่าสมบัติอาจจะถูกขโมยไปแล้วก็ได้!
ลู่จือยี่กระโจนเข้าหาประตูศิลาด้วยความกังวล นางเข้าไปลังเส้นทางลาวาที่ร้อนถึงขีดสุด ซือหยูกับเว่ยกังตามไปติดๆ
หลังจากครึ่งถ้วยชา ซือหยูไม่รู้ว่าเขาเข้าเส้นทางลึกไปเท่าใด ราวกับว่าเขาอยู่ที่แสนศอกใต้ดิน
ความร้อนของเพลิงเพิ่มขึ้นในทุกขณะจนถึงจุดที่ซือหยูขมวดคิ้วเพราะต้องฝืนกับความเจ็บปวด เว่ยกังก็ไม่ต่างกัน เขาเริ่มกัดฟันแล้ว เขาฝืนผ่านเส้นทางต่อไป
ที่ปลายทางเป็นชั้นใต้ดินที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ มันกว้างอย่างมาก เมื่อพวกเขามองรอบๆก็พบว่าที่ตรงกลางนั้นมีเพลิงทมิฬที่ร้อนอย่างมากในบ่ม ลาวาหลั่งไหลจากภายใน และอากาศกรดก็พวยพุ่งออกมาถึงจมูก
แม้ว่าจะห่างกันพันศอก ทั้งร่างของซือหยูก็เจอกับความร้อนอันน่าตกใจจนทำให้เขากระวนกระวายอย่างมาก
เพลิงนั่นมันอะไรกัน? มันแข็งแกร่งกว่าต้นกำเนิดอัคคีอย่างมหาศาล! ที่น่าตกใจที่สุดก็คือที่กลางบ่อลาวาทมิฬ มันมีแผ่นศิลาสีอำพันคล้ำอยู่ แผ่นศิลานั้นอยู่ภายในลาวาแต่ก็ไม่ได้รับผลอะไรจากความร้อน ที่เหนือแผ่นศิลานั้นมีคัมภีร์สีดำสนิทอยู่ด้วย!
ซือหยูเบิกตากว้าง คัมภีร์นั่นจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างมากแน่ถึงได้ไม่ละลายไปกับความร้อนที่ทรงพลังเช่นนี้!
ลู่จือยี่ดีใจ
“สมบัติช่างฝีมือ! วิชาช่างลับสวรรค์!”