The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 511
ความสนใจของซือหยูผุดขึ้นมา เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง
“ข้าอาจจะแลกกับเจ้า แต่ก่อนจะแลกกัน เจ้าไม่คิดจะบอกให้ข้ารู้สักหน่อยรึว่ามันคือโอสถอะไรกันแน่?”
โจวฉีหมิงหยุดนิ่งไป แม้ว่าเขาจะรู้สึกยินดีที่ได้เห็นโอสถ แต่เขาก็ตกใจ
“หรือว่าเจ้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องโอสถภูติมาก่อน? โอสถนี้จะเปลี่ยนแก้วพลังวิญญาณเป็นแก้วพลังชีวิตได้!”
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูลูบค้าง เขาหยุดคิดและรินโอสถใส่ปาก
“ไม่นะ!”
โจวฉีหมิงตะโกน เขาเบิกตากว้าง
แต่มันก็สายไปแล้ว เมื่อเขาเห็นว่าซือหยูกลืนโอสถไป สีหน้าของเขาก็ไม่พอใจอย่างมาก
“เจ้าโง่!”
เขาตะคอกอย่างโกรธแค้น
“เจ้ามันไร้ของสิ้นเปลือง! โอสถภูติจะให้ยอดฝีมือที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวงใช้เพื่อที่จะได้ทะลวงพลังสู่ขอบเขตภูติ! โอสถนี้จะทำให้เลี่ยงวิบัติสวรรค์ได้โดยตรง และเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตภูติได้สำเร็จแน่นอน! แต่เจ้าเป็นแค่ราชามนุษย์…ยังไม่แม้แต่จะเป็นกึ่งเทพด้วยซ้ำ เจ้าใช้มันไปแล้วจะมีความหมายอะไร? อาจารย์บอกให้ข้าตามหาห้องลับที่นี่เพราะมันอาจจะมีโอสถภูติอยู่ภายใน! แต่เจ้ากลับใช้มันไปแบบไร้ประโยชน์!”
โจวฉีหมิงเดือดดาล เขาพยายามมากมายที่จะมายังชั้นแปดของกระโจมเทพสวรรค์เพียงเพราะโอสถภูติเท่านั้น แต่ซือหยูกลับเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว!
“โอ้? นั่นสินะวิธีใช้งาน!”
ซือหยูตกใจอย่างมากที่ได้รับรู้เรื่องนี้
เขาแบมือและพบโอสถสีมรกตที่ยังอยู่ในมือ! เขาทำเป็นแสร้งกลืนโอสถไปเท่านั้น โจวฉีหมิงเป็นห่วงโอสถเสียมากกว่าจนไม่ได้มองมือของซือหยู
“เจ้าหลอกข้าเรอะ?”
โจวฉีหมิงใบหน้าหม่นหมอง
ซือหยูยิ้มเยาะ
“ถ้าข้าไม่หลอกเจ้า เจ้าจะบอกความจริงกับข้าหรือไม่ หืม…เปลี่ยนแก้วพลังวิญญาณเรอะ ขนาดโกหกเจ้ายังโกหกไปส่งๆเลย!”
โจวฉีหมิงขมวดคิ้ว
“ก็ได้ ข้าเป็นคนผิด! แต่ข้อตกลงก็ยังอยู่ โอสถภูติมันไร้ประโยชน์กับเจ้า ให้มันกับข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะให้วิชาบ่มเพาะระดับตำนานกับเจ้า เป็นไปไม่ได้แน่ที่ยอดฝีมือเร่ร่อนอย่างเจ้าจะได้ตำราระดับตำนาน โอกาสอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าจะลังเลอะไรอยู่อีก?”
แต่ซือหยูก็เก็บโอสถนั้นไว้อย่างไม่ใส่ใจ
“ขออภัย ข้าก็มีวิธีใช้โอสถนี่เหมือนกัน”
วิชาระดับตำนานล้ำค่ามากก็จริง แต่ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการทะลวงพลังเป็นขอบเขตภูติ! ซือหยูได้สัมผัสกับเหล่าคนจากจิวโจวและได้ข้อมูลเรื่องการทะลวงขอบเขตภูติ ดูเหมือนว่าโอกาสสำเร็จจะไม่สูงนัก อย่างเช่นหยางยี่เต๋าที่แข็งแกร่ง เขาก็เคยล้มเหลวในการเป็นภูติมาก่อน เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์เพื่อหาโอกาสนั้น
ดังนั้นจึงชัดเจนได้เลยว่ามูลค่าของโอสถภูตินั้นสูงเพียงใด ถ้าหากมันทำให้คนทะลวงสู่ขอบเขตภูติได้แน่นอน!
“เจ้าคิดให้ดีจะดีกว่า”
โจวฉีหมิงพูดด้วยความกังวล
“ปฏิเสธข้า ก็ไม่ต่างจากปฏิเสธตำหนักชิงวิญญาณ!”
ซือหยูหัวเราะ เขายิ้มอย่างเยือกเย็น
“ถ้าเจ้าขู่ข้า มันก็ไม่ต่างจากเอาชีวิตเจ้ามาเข้าแลกหรอกนะ!”
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆและยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้พลาดอะไรไป เขา เขาเข้าไปในเวทยักย้ายและออกจากพื้นที่ปิดผนึก
โจวฉีหมิงไล่ล่าซือหยูออกมาข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง เขารีบพุ่งหาทางออกไปสู่ด้านนอก แต่ซือหยูไปไหนแล้วเล่า? สัญญาณเดียวของเขาคือเศษเสี้ยวสายฟ้าที่อยู่บนนภา
“บัดซบ! มันใช้เลี่ยงสายฟ้าหนีไปอีกแล้ว!”
โจวฉีหมิงไล่ล่าซือหยูด้วยความโกรธแค้น!
แต่ไม่นานหลังจากที่เขาออกไป สายฟ้าก็แล่นมาสู่ในถ้ำ ซือหยูเขากลับมา! เขายิ้มแย้ม
“ฮ่าๆๆ ถูกสมบัติปลอมหลอกได้ง่ายเหลือเกิน…”
เขาจ้องมองเวทยักย้ายในศิลาขาว มีดสีเลือดปรากฏในมือ เขาฟันเวทยักย้ายแยกเป็นสอง เวทยักย้ายสีขาวนั้นแตกสลายไปด้วย เขาเจอกับเวทสีเขียวอีกที่อยู่ภายใน! มันคือเวทยักย้ายของจริงที่นำไปสู่ที่เก็บสมบัติโอสถ เวทสีขาวนั้นมีไว้เพื่อปิดบังห้องสมบัติของจริง!
เมื่อคนพบเวทยักย้ายสีขาวที่ซ่อนอยู่ในสองชั้นของกำแพงศิลา ทุกคนก็คงสนใจแต่เวทสีขาว ใครจะไปคิดอีกเล่าว่ายังมีเวทยักย้ายที่อยู่ลึกไปกว่านั้นอีก?
เมื่อซือหยูมาถึงห้องลับก็พบสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาที่เคยได้รับตำราช่างลับสวรรค์มาก่อนรู้ดีว่าการได้รับสมบัติทั้งห้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เขาก้าวเข้าไปในรอยแตกและใช้งานเวทยักย้ายสีเขียว จากนั้นสิ่งรอบข้างก็หมุนวนไปมา ซือหยูปรากฏตัวในพื้นที่ปิดผนึกที่คล้ายกับห้องลับที่แล้ว
แต่ในชั้นของห้องลับนี้ไม่ได้มีขวดและเหยือกมากมายเช่นห้องก่อนหน้า ในห้องกว้างๆนี้มีเพียงโต๊ะหินที่กลางห้อง บนโต๊ะปกคลุมไปด้วยฝุ่นควัน
กล่องหยกทองสองกล่องวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ
ซือหยูหรี่ตามอง เขาเจอมากับตัว กบแก้วเพลิงเนตรขาวสอนเขาว่าอย่าประมาทในตัวสมบัติ ซือหยูพบแมลงปีกแข็งสีม่วงบนโต๊ะ ร่างของมันปล่อยพลังที่ดุร้ายสุดขั้วออกมา!
“ขอบเขตภูติ!”
ซือหยูรู้ตัวและตั้งท่าป้องกัน
แต่ไม่นานเขาก็พบว่าแมลงตัวนั้นไม่ได้มีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว มันเป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า
เขามองดูรอบห้องอีกครั้งและพบว่าในห้องที่ถูกปิดผนึกนี้ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก เขาหันไปมองแมลงปีกแข็งตัวนั้นและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ตายแล้วสินะ ดูเหมือนว่าพวกสัตว์อสูรในขอบเขตภูติทุกตัวจะไม่เหมือนกับกบแก้วเพลิงเนตรขาวที่ได้อยู่ในสถานที่ที่เหมาะกับตัวเอง”
กบแก้วเพลิงเนตรขาวมีชีวิตอยู่ในบ่อลาวาใต้ดินที่เป็นสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม แต่แมลงตัวนี้มิได้โชคดีเช่นนั้นและตายในที่สุด
ซือหยูทำใจหยิบตัวมันขึ้นมา เขามองดูฝุ่นที่คลุมกายของมัน บอกได้เลยว่ามันตายมานานแล้ว แต่มันก็ยังมีรังสีพลังที่ดุร้ายที่ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าด้วงตัวนี้มีพลังที่น่าประทับใจในตอนที่มันยังมีชีวิต ดังนั้นร่างของมันก็นับว่าเป็นสมบัติ ซือหยูโยนมันลงในมุกวิญญาณเก้าหยก เขาวางมันไว้ใกล้ๆกับกบแก้วเพลิงเนตรขาว
ซือหยูมองไปยังกล่องหยกทองทั้งสอง หนึ่งในกล่องนั้นคงจะมีวิชาปรุงโอสถลับสวรรค์อยู่ด้วย
“วิชาปรุงโอสถรึ?”
ซือหยูตาเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม
ตำรานี้อาจจะเป็นวิชาลับที่แม้แต่เหล่าจ้าวเทวะก็ต้องหมายตา แม้ซือหยูจะไม่เคยปรุงโอสถมาก่อน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลองในอนาคตไม่ได้
เขาเก็บกล่องเอาไว้อย่างระมัดระวัง
เขามองดูกล่องที่สองและสงสัยว่ามันน่าจะมีโอสถล้ำค่า! แต่น่าแปลกใจที่ภายในกล่องนั้นมีคลื่นลมที่เปล่งแสงราวกับดวงดาว!
เมื่อเห็นครั้งแรก คลื่นลมนี้ดูเหมือนทางช้างเผือกสีคราม ดาวหลายดวงเปล่งประกายในคลื่นลม พลังกำเนิดจากฟ้าดินเคลื่อนไหวไปกับคลื่นลม มันงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
“นี่มันอะไรกัน? กลุ่มหมอกรึ?”
ซือหยูหยิบกล่องหยกขึ้นมา ความเย็นแล่นสู่จิตใจผ่านทางฝ่ามือ เสียงอันทรงพลังและเก่าแก่ดังจากภายในหัว
“ยินดีด้วย!”
เสียงดังก้องจนน่าตกใจ
“เจ้าได้รับสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตำหนักลับสวรรค์!”
ซือหยูรู้สึกถึงความเจ็บปวดมหาศาลในหัว เขาร้องครางออกมา
“เจ้าเป็นใคร?”
เขาถามอย่างเยือกเย็น
พรึ่บ–
ทันใดนั้นรูปลักษณ์ของทางช้างเผือกก็ลอยออกมาจากกล่องหยกด้วยตัวเอง มันกลายเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์
“ฮ่าๆๆ! เจ้าอยู่ในดินแดนของข้าแต่ก็ยังถามว่าข้าเป็นใครอีกรึ?”
เสียงหัวเราะดังมาจากคนสีเงิน
ดินแดนของเขารึ? ซือหยูงุนงง
ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา เขาเบิกตากว้าง คำตอบที่เขาได้รับนั้นมิอาจจะเชื่อได้