The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 535
เมื่อเขาพูดว่า “ไสหัวไปซะ” พลังกระบี่ที่มองไม่เห็นก็ทะลวงนภาตรงไปหานาง ซือหยูบอกตัวเองว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีและอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่มันก็สายไปแล้ว
แต่ต่อมาซือหยูก็เบิกตากว้างเมื่อพบกว่าเด็กสาวเพียงยื่นสองดัชนีมาข้างหน้าและรับพลังกระบี่ที่ตัดได้ทุกสิ่งเอาไว้! จากนั้นนางก็ออกแรงจากดัชนีสลายพลังกระบี่จนเป็นฝุ่นผง
ในสายตาของคนนอก เด็กสาวมิได้ขยับตัวแม้แต่น้อยและไม่มีใครรู้ว่านางกับโจวจิ้งได้ปะทะกันไปแล้ว
แต่แรก ใบหน้าของโจวจิ้งเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เสียงของเขาเปลี่ยนไปเช่นกัน
“เจ้าคือ…ชางก่วนชิงเอ๋อจากตำหนักโลหิต!”
เด็กสาวในหมวกไผ่ยกมือถอดหมวกไผ่เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามไม่ว่าจะยินดีหรือโกรธเกรี้ยว
รูปหน้าของนางราวกับถูกสลักออกมา ผิวของนางชมพูระเรื่อ ดวงตาของนางยังสดใสเป็นประกาย เส้นผมยืดสยายไปตามแรงลม ชุดสีชมพูที่นางสวมนั้นเรียบง่ายแต่ก็ดูสูงส่ง มันทำให้ร่างกายของนางดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก
เมื่อผู้คนเห็นนางครั้งแรกก็เห็นความบริสุทธิ์มิอาจหม่นหมองของบัวชมพูที่สดใหม่ ความสละสลวยน่ารักของหญิงสาวที่มีส่วนโค้งเว้าน่ามอง
แต่ซือหยูกลับแปลกใจในตัวตนของนาง…ตำหนักโลหิต หนึ่งในสองกำลังหลักจากทุกสำนักในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด
ลู่จือยี่เป็นผู้เฒ่าจากตำหนักเมฆาม่วงและเป็นเจ้าของเรือจันทร์กระจ่าง ซือหยูเห็นความแข็งแกร่งของนางมาก่อน และด้วยความผิดพลาดในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มิอาจลืมเลือนระหว่างเขากับนาง
ในตอนนั้น คนจากตำหนักโลหิตก็ได้มาปรากฏตัวที่กระโจมเทพสวรรค์!
“สตรีปีศาจ ชางก่วนชิงเอ๋อ!”
เหล่าผู้คนตกตะลึง และเสียงส่วนมากยังมาจากบุรุษที่แสดงความเคารพนับถือ
นั่นคือนางรึ? ซือหยูตกใจ เขาเคยเห็นหน้านางมาก่อน!
ที่ลานประลองลับสวรรค์ในทวีปเฉินหลงมีรูปปั้นร้อยรูปปั้นที่ตั้งตระหง่าน ทุกรูปปั้นคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดจากแต่ละรุ่น คนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นที่แล้วคือเด็กสาวอายุสิบสี่ปี! และนางผู้นั้นคือคนเดียวกับชางก่วนชิงเอ๋อที่อยู่ตรงหน้าเขา!
“ว่าแล้วเชียว สตรีปีศาจก็มาอยู่ที่ชั้นแปดของกระโจมเทพด้วย!”
เสียงความตกใจจากผู้คนดังเป็นระยะ ทุกคนมองสาวน้อยด้วยความนับถือราวกับได้เจอราชินี
ในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด ชางก่วนชิงเอ๋อนับได้ว่าเป็นหญิงสาวที่พระเจ้าประธานพรให้ นางเคยเป็นศิษย์นอกของตำหนักชิงวิญญาณ หลังจากที่ผ่านการทดสอบก็พบว่าพรสวรรค์ของนางนั้นธรรมดาเป็นอย่างมากและมีโอกาสน้อยนิดที่จะได้ทะลวงพลังสู่ขอบเขตภูติ
แต่นางกลับได้ล้างสังหารคนทั่วทุกมุมในกระโจมเทพสวรรค์ครั้งที่แล้ว ดังนั้นทั้งสิบแปดสำนักจึงมอบหมายงานสำคัญให้กับศิษย์นอกทั้งสิบแปดที่จะกลายเป็นศิษย์ในในอนาคตเพื่อรวมพลังสังหารนาง
แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดต้องสั่นคลอน ทุกคนพ่ายแพ้เพราะนางคนเดียว
จากนั้น ด้วยความไร้เทียมทานนั้นเอง นางได้กลายเป็นรูปปั้นศิลาแสดงความยิ่งใหญ่แก่โลกภายนอก
เมื่อออกจากกระโจมเทพสวรรค์ ตำหนักชิงวิญญาณได้ทดสอบพรสวรรค์ของนางอีกครั้งและพบว่านางครอบครองเศษเสี้ยวของสายเลือดเก่าแก่
และสายเลือดเก่าแก่นั้นคือสายเลือดในตำนานในจิวโจว ดูเหมือนว่ามันจะมีตัวตนอยู่แค่ในบันทึกโบราณ เมื่อข่าวแพร่ออกไป ทุกสำนักก็ตกตะลึง
ข่าวนี้ยังไปถึงสำนักบัวขาวและตำหนักชิงวิญญาณก็ต้องเสียนางไปทันทีเพราะสำนักบัวขาวต้องการนาง สำนักอื่นก็ดูเหมือนจะเริ่มลงมือทำอะไรบางอย่าง ส่วนมากพวกเขาอยากจะต่อสู้เพื่อสายเลือดโบราณนี้
ท้ายสุด ตำหนักโลหิตที่ควบคุมตำหนักชิงวิญญาณก็เข้ามาจัดการด้วยตัวเอง สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งได้ฝึกฝนนางมาหลายปีและพานางกลับสู่สำนัก
ว่ากันว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้นั้นได้เหนือกว่าจ้าวเทวะและไปถึงระดับผู้สร้างสรรพสิ่งที่เป็นตัวตนในครั้งอดีตแล้ว! ด้วยพลังนั้น การขัดขืนอันใดล้วนไร้ประโยชน์
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ชางก่วนชิงเอ๋อในตอนนี้เป็นศิษย์อย่างไม่เป็นทางการของยอดฝีมือในระดับผู้สร้างสรรพสิ่ง!
ด้วยเกียรติเช่นนี้ แม้ว่านางจะถูกกดฐานพลังเอาไว้ แต่ใครกันในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดจะกล้าลงมือกับนาง? และชางก่วนชิงเอ๋อก็มีสายเลือดเก่าแก่ พลังของนางนั้นไร้เทียมทานถ้าเทียบกับคนที่มีฐานพลังเท่ากัน ใครจะสู้กับนางได้เล่า?
ต่อหน้าชางก่วนชิงเอ๋อ โจวจิ้งที่มักจะไม่เจอกับคนที่สู้กับเขาได้ก็ต้องหวาดกลัว
ในลานประลองลับสวรรค์ เขาได้ต่อสู้กับนางหนึ่งครั้งด้วยความมั่นใจอย่างมาก แต่ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ในสามกระบวนท่า! ความโหดร้ายนั้นทำให้โจวจิ้วงเข้าใจถึงความห่างชั้นระหว่างกัน ไม่หยาบคายแม้แต่น้อยที่จะบอกว่ามันต่างชั้นไปถึงระดับกลางของขอบเขตภูติ
“ข้าบอกว่าเจ้าอ่อนแอ เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ชางก่วนชิงเอ๋อเดินออกมา
โจวจิ้งตัวสั่น ใบหน้าแทนที่ด้วยความกลัว
“ข้าเพียงแค่ใจร้อนไป หวังว่าภูติอย่างเจ้าจะอภัยให้ข้า”
แม้แต่คนอย่างโจวจิ้งก็ต้องประสานหมัดขอโทษอย่างตรงไปตรงมา
เจิ่งซื่อชิงรีบก้มหัว เขาไม่กล้าจะมองตาชางก่วนชิงเอ๋อ แม้ว่านางจะงดงามดั่งเทพธิดา เขาก็ไม่กล้าจะคิดไม่ดีไม่งามใดๆเลย
เพียงชางก่วนชิงเอ๋อมองรอบๆ ทุกคนก็ก้มหน้าลงไปตามๆกัน
“พวกเราทั้งหมดเป็นคนจากจิวโจว ก่อนจะเกิดเหตุร้ายย่อมต้องรวมเป็นหนึ่ง ก่อนสมบัติจะเปิด ข้าไม่อยากจะต่อสู้กันเอง”
เมื่อเสียงอันน่าพึงใจของชางก่วนชิงเอ๋อดังขึ้นราวกับคำเตือน…ก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน
ซือหยูหรี่ตา เหตุใดถึงมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวออกมาเล่า?
ราชาปีศาจหรี่ตาเช่นกัน เขาหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
จากนั้นดวงตาของชางก่วนชิงเอ๋อก็มองไปยังซือหยู นางยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับได้เจอสหาย
“พี่หิมะทมิฬ ไม่เจอกันนานนะ”
นางโยนร่างแรกรุ่นอันน่าหลงใหลเข้าใส่อ้อมแขนของซือหยูราวกับลูกนกที่ได้กลับรัง
ซือหยูตกใจและหลบนางโดยไม่ทันคิด แต่นางก็เบี่ยงตัวคว้าแขนของซือหยูเอาไว้ ใบหน้าขาวอมชมพูแดงระเรื่อ
ทุกคนเงียบกริบ พวกเขางุนงงกับท่าทางที่น่ารักของชางก่วนชิงเอ๋อ นางผู้ที่พระเจ้าประธานพร เด็กสาวผู้ครอบครองสายเลือดโบราณที่ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนได้แต่แหงยหน้ามอง และเด็กสาวที่มักจะเย็นชาอยู่เสมอทำท่าทางเช่นนั้น! พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลย
ซือหยูพยายามจะแกะแขนของนางออกแต่ชางก่วนชิงเอ๋อก็กอดแขนของเขาแน่น นางไม่คิดจะลดแรงลงแม้แต่น้อย
แกร๊ง—
เสียงโลหะตกกระทบเบาๆ นิ้วมือของเซี่ยจิงหยูแข็งทื่อ เข็มขนนกแห่งความมืดในมือร่วงไปกับพื้น นางตัวเย็นสั่นไม่ไหวติง ดวงตามิอาจเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น นางทั้งตกใจและริษยา
“พี่หยู…นางเป็นใคร?”
เซี่ยจิงหยูพยายามอย่างมากที่จะใจเย็นลง แต่นางก็มิอาจหยุดเสียงให้สั่นได้ นางก้มซ่อนสีหน้าที่มี
แต่ซือหยูก็ไม่ได้สัมผัสถึงความโกรธจากเซี่ยจิงหยู
“เจ้าเป็นใคร? ไม่เห็นรึว่าข้ากำลังกลับมาเจอกับพี่หิมะทมิฬอีกครั้ง? เจ้านี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย”
ชางก่วนชิงเอ๋อย่นจมูกเบาๆ นางพูดอย่างไม่พอใจ
“พี่หิมะทมิฬ นางเป็นใครกัน?”
เซี่ยจิงหยูริษยาอย่างมากเมื่อได้ยิน ซือหยูจะกล้าให้มันคลุมเครือแบบนี้ต่อไปรึ?
สายฟ้าเปล่งประกาย เขาสลัดตัวเองหลุดจากชางก่วนชิงเอ๋อไปที่ข้างเซี่ยจิงหยู จากนั้นเขาก็มองชางก่วนชิงเอ๋อด้วยความเย็นชา
“ข้าคือหยินหยู และข้าก็ไม่เคยเจอเจ้ามาก่อน เจ้าน่าจะระวังตัวเจ้าไว้นะ!”
เซี่ยจิงหยูงุนงง ดวงตาของนางโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย
ความแปลกใจเขียนอยู่ในดวงตาชางก่วนชิงเอ๋อ นางไม่คิดเลยว่าซือหยูจะรอดพ้นไปจากอ้อมแขนที่รัดแน่นของนางได้
“ฮ่าๆๆ ต่อให้พี่หิมะทมิฬไม่รู้จักชิงเอ๋อ ชิงเอ๋อก็รู้จักพี่หิมะทมิฬมานานแล้ว ตามคำสั่งของท่านอาจารย์ ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญพี่ไปพบนาง”
ชางก่วนชิงเอ๋อหยิบเข็มทิศออกมา และเข็มนั้นก็ชี้ตรงไปที่ซือหยู!
ไม่ต้องถามเลย นั่นคือสายเลือดโบราณของมู่เทียนฉวนผู้เป็นอาจารย์ของนาง ไม่เหมือนกับชางก่วนชิงเอ๋อที่ครอบครองเศษเสี้ยวของสายเลือดโบราณ ซือหยูนั้นมีสายเลือดโบราณของจริงอยู่กับตัว
เรื่องที่แปลกก็คือตามที่อาจารย์บอก อีกฝ่ายนั้นควรจะเป็นผู้หญิง แต่เข็มทิศก็ชี้ไปยังราชาปีศาจหิมะทมิฬ
ที่ก้นบึ้งมังกรเก้านรก ซือหยูกับเซื่ยจิงหยูนั้นอยู่ด้วยกัน ม่อเทียนฉวนที่อยู่ในโลกที่มองไม่เห็นได้รู้ชื่อของแต่ละคนมานานแล้ว แต่ม่อเทียนฉวนก็บอกไม่ได้ว่าคนใดที่มีสายเลือดโบราณอยู่กับตัว
ดังนั้นนางจึงมอบเข็มทิศที่สัมผัสสายเลือดโบราณได้ให้ชางก่วนชิงเอ๋อ เข็มทิศชี้ไปยังราชาปีศาจหิมะทมิฬ เขาจะต้องครอบครองสายเลือดโบราณไม่ผิดแน่ ซือหยูคือคนที่นางตามหา!
อาจารย์รึ? ยอดฝีมือในระดับผู้สร้างสรรพสิ่งน่ะรึ? ซือหยูตกใจมาก เขาไปต้องสายตาของผู้สร้างสรรพสิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือว่าจะเป็นตอนที่เขาได้สมบัติจากเทียนจี่จื้อ? ถ้าเช่นนั้น เขาจะตามชางก่วนชิงเอ๋อไปที่จิวโจวไม่ได้ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม
“ขออภัย ข้าไม่รู้จักอาจารย์ของเจ้า ข้ายอมรับความเอื้อเฟื้อ แต่ข้าก็มิอาจยอมรับได้ ขออภัยที่ข้าทำตามความปรารถนาของนางไม่ได้”
ซือหยูพูดอย่างระวังตัว
ทุกคนราวกับถูกสายฟ้าฟาดเมื่อได้ยินคำพูดของซือหยู มีคนที่กล้าปฏิเสธคำเชิญชวนของผู้สร้างสรรพสิ่งด้วยเรอะ!
รอยยิ้มของชางก่วนชิงเอ๋อหายไป นางไม่คิดว่าซือหยูจะปฏิเสธนาง
“ท่านอาจารย์บอกให้ข้าพาพี่กลับไปที่ตำหนักโลหิตให้ได้ไม่ว่าจะยังไง พี่หิมะทมิฬ อย่าทำให้เรื่องมันยากจะดีกว่า”
ชางก่วนชิงเอ๋อขู่ทีเล่นทีจริง
ซือหยูหัวเราะ
“ถ้าเจ้ามีพลังจะทำอย่างนั้นก็เอาเลย!”
มันเป็นเรื่องตลกจริงๆ เขามาจากทวีปเฉินหลง ไม่ว่าจะยังไง กระโจมเทพสวรรค์ก็จะส่งเขากลับไปที่ทวีปเฉินหลง แม้ว่าชางก่วนชิงเอ๋อจะมีพลังมาก นั่นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพาซือหยูกลับไปยังจิวโจว
ชางก่วนชิงเอ๋อขู่อีกครั้ง
“พี่หิมะทมิฬ ข้าเกรงว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่พี่ตัดสินใจได้หรอกนะ”
ซือหยูแววตาเคร่งเครียด
“จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า! ถ้าเจ้าอยากจะพาตัวข้าไป ก็แสดงพลังว่าเจ้าทำได้ให้ข้าเห็น!”
ครู่ก่อนยังเป็นภาพอันน่ารักและน่ายินดี แต่พริบตาเขาก็เปลี่ยนสถานการณ์ไปเป็นตอนที่พร้อมจะชักกระบี่เข้าใส่กันได้ทุกเมื่อ!
“พี่หิมะทมิฬ ดูเหมือนท่านจะมั่นใจมากนะ”
ชางก่วนชิงเอ๋อยิ้ม
ซือหยูตอบอย่างเรียบเฉย
“มันเป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือกต่างหาก”
“ช่างเลือกได้ดี แต่พี่หิมะทมิฬ ก่อนข้าจะลงมือ เราไม่เชิญพวกโจรนั่นลงมาก่อนรึ?”
ชางก่วนชิงเอ๋อหัวเราะแปลกๆ
ซือหยูตกใจเล็กน้อย เขาใช้เนตรวิญญาณมองขอบนภาและพบกับอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นชางก่วนชิงเอ๋อก็เงยหน้ามองนภาเหนือศีรษะ นางสะบัดมือพัดเมฆาให้กระจายออกไป มิติแตกราวกับจะหลุดออกมาเป็นชิ้นส่วน ก้อนเมฆาเหนือพวกเขาหายไป!
และในก้อนเมฆก็มีคนอยู่สองคน!
หนึ่งในนั้นคือชายเคราแพะวัยกลางคน ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มที่เย็นชา ซือหยูบอกไม่ได้ว่าแต่ละคนมีฐานพลังเท่าใด ส่วนอีกคนนั้นมีแก้วพลังชีวิตอยู่สามดวง
อย่างที่เขาคิดไว้ คนที่ซือหยูไม่รับรู้พลังก็คือชายที่แข็งแกร่งที่สุดในกระโจมเทพสวรรค์ เขาคือหัวหน้าผู้คุ้มครองที่มีฐานพลังขอบเขตภูติ และเขาก็เป็นคนเดียวที่ฐานพลังไม่ได้ถูกจำกัดเอาไว้!