The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 562
หลังจากที่เวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ทั้งสามต่อสู้ได้ต่อสู้กันมามากกว่าร้อยกระบวนท่า ซือหยูใช้พลังชีวิตไปในปริมาณมหาศาลพร้อมกับพลังกายที่ถดถอย ร่างกายของเขาเริ่มมีบาดแผลปรากฏให้เห็นแล้ว
ชะตาของไป่หยีเตี้ยนก็ไม่ได้ต่างกันนัก เขาถูกกระบี่สายฟ้าของซือหยูฟันใส่ ราชาปีศาจก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เพราะตนเป็นปีศาจ สายฟ้ามีผลชะงัดนักกับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงบาดเจ็บหนักกว่าไป่หยีเจี้ยน
ทั้งสามต่อสู้กันต่อไป แต่พวกเขาก็มิอาจโค่นล้มอีกฝ่ายลงได้…
“เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า เจ้าน่าจะไปตามหากิเลนวิญญาณจะดีกว่า มิเช่นนั้นเจ้าจะล้มเหลวทั้งสองอย่าง พอถึงตอนนั้นก็อย่ามาบอกว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
ซือหยูถอยหนีเมื่อพูดเตือน
ไป่หยีเจี้ยนคิดถึงคำพูดของซือหยู เพราะเป้าหมายของเขาก็คือการจับกิเลนน้อยบัดซบนั่นด้วย! ไป่หยีเจี้ยนลังเลและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี…
การล้างแค้นให้ลูกชายหรือออกไปจากกระโจมเทพสวรรค์…อะไรจะสำคัญกว่า?
ขณะที่เขากำลังตัดสินใจ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้น
“สู้กันต่อไปซี่! เหล่าจะหยุดทำไมกัน?”
ซือหยูตกใจกับเสียงนั้น ท่าทางของเขาค่อนไปทางหวาดกลัว เขามองไปยังราชาปีศาจและพบว่าดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความกลัวเช่นกัน
แต่ไป่หยีเจี้ยนไม่ได้รู้จักเสียงนี้ เขาตะโกนออกไป
“เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าแอบซ่อนอยู่ตรงนั้นทำไม?”
“ซ่อนเรอะ? หึหึ…ข้าซ่อนซะเมื่อไหร่กัน! พวกเจ้าก็แค่อ่อนแอจนไม่รับรู้ถึงข้าก็เท่านั้น”
แสงสีเงินแล่นผ่านทางเข้า มันเป็นแสงสีเงินทำให้คนที่มองเห็นตัวสั่น
ไป่หยีเจี้ยนเริ่มตกใจเมื่อสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าเขาจะไร้ความสามารถจนมิอาจสัมผัสได้ถึงพลังของอีกฝ่าย ในข้อนี้มีคำอธิบายอยู่สองเหตุผล
อย่างแรกก็คือเขามิอาจสัมผัสพลังของอีกฝ่ายได้ก็เพราะว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าเขาเป็นอย่างมาก ส่วนอย่างที่สองก็คืออีกฝ่ายนั้นไม่ใช่มนุษย์
หลังจากที่สังเกตมาพักหนึ่งเขาก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายควรจะเป็นอย่างหลัง นั่นก็เพราะไป่หยีเจี้ยนเป็นมนุษย์คนเดียวในกระโจมเทพสวรรค์ที่แสดงพลังขอบเขตภูติออกมาได้ เขาไม่เคยได้ยินสักครั้งว่าบรรพบุรุษพูดถึงคนที่มีพลังสูงกว่านี้ สิ่งที่เขามองเห็นตรงหน้าคือหุ่นเชิด
นั่นหมายความว่าหุ่นเชิดนี้มาจากภายนอก ดังนั้นไป่หยีเจี้ยนจึงมิอาจต่อกรกับหุ่นเชิดนี้ได้แม้เขาจะใช้พลังสูงสุดก็ตาม
แสงสีเงินจางไปเผยให้เห็นร่างที่ไม่ต่างจากมนุษย์ เขาสวมชุดสีเงินที่พริ้วไหวตามแรงลม
ที่มุมปากของเขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
“หึหึ ข้าไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ข้าไม่คิดจะมายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเจ้า”
ไป่หยีเจี้ยนขมวดคิ้ว
“แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมกันเล่า? ยากนักที่จะได้เจอหุ่นเชิดอย่างเจ้าที่มีทั้งฐานพลังและสติเป็นของตน ถ้าเจ้าไม่อยากจะให้มันหายไปก็ไสหัวไปซะ!”
ในมุมมองของไป่หยีเจี้ยน ถ้าหากหุ่นเชิดตัวนี้เข้าร่วมต่อสู้ มันก็ไม่ต่างกับความตายของพวกเขา!
“หึหึ ข้ามาที่นี่ทำไมน่ะรึ? ทำไมเจ้าไม่ถามสองคนข้างๆเจ้าเล่า?”
เขาคือหุ่นเชิดสีเงินตัวเดียวกับที่ไล่ล่าทั้งสองมาจากชั้นเจ็ดของกระโจมเทพ!
ในตอนนี้ ซือหยูกับราชาปีศาจใจหาย พวกเขาถูกไล่ต้อนจนมุมอยู่ในพื้นที่ปิดตายแห่งนี้
ไป่หยีเจี้ยนขมวดคิ้วถามทั้งสองคน
“เจ้าสองคนรู้จักเขารึ?”
เขาหัวเราะเต้นแรงเมื่อหันไปเห็นซือหยูกับราชาปีศาจที่หน้าซีดเผือด เขามองได้อย่างเดียวว่าสิ่งนี้คือลางร้าย เขาต้องรีบถอยทิ้งระยะห่างจากหุ่นเชิด
แต่เมื่อเขาถอย หุ่นเชิดสีเงินกลับยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจแล้วสินะ! ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องตาย”
ฉั่วะ!
ด้ายโลหิตมหาศาลพุ่งออกจากรูขุมขนของหุ่นเชิดไล่ตามไป่หยีเจี้ยนราวกับพายุโลหิตที่ต้องการจะกลืนกินเขา ไป่หยีเจี้ยนชักสีหน้า เขารีบหยิบยันต์ออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ยันต์ระเบิดปล่อยพลังของขอบเขตภูติออกมา เกราะขนาดใหญ่แผ่ออกมาจากยันต์ที่ระเบิด
เกราะนี้สามารถทนรับการโจมตีจากภูติในระดับกลางได้ มันคือสมบัติวิเศษที่ไป่หยีเจี้ยนเก็บสำรองไว้ใช้ แต่ก่อนที่ไป่หยีเจี้ยนจะได้คลายใจ เกราะของเขาก็แตกออก เสียงแตกสะท้อนดังก้องทั้งตำหนักกระดูก
ทะเลโลหิตที่เติมเต็มท้องนภาเข้าล้อมรอบกายของเขา เสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานดังมาจากภายใน
หุ่นเชิดสีเงินร้องคำรามอย่างเป็นสุขราวกับกำลังได้เล่นสนุก
“ขอบเขตภูติช่างเป็นของดีจริงๆ!”
สีเงินบนร่างกายของมันเปล่งประกายยิ่งกว่าที่เคย มีแม้กระทั่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าฐานพลังขอบเขตภูติกำลังจะทะลวงผ่านกลายเป็นขอบเขตจ้าวเทวะ!
ภาพเหตุการณ์พลิกผันที่ภูติอย่างไป่หยีเจี้ยนตายโดยไม่เหลือแม้แต่ซากศพหรือกระดูกนั้นน่าตกตะลึงอย่างมาก!
จากนั้นหุ่นเชิดสีเงินก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายและมองไปยังร่างกายของซือหยู มันแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าหนู เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกน่า!”