The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 568
เมื่อเขามองดูตัวหนอนก็พบว่ามันมีขนาดเท่าเมล็ดข้าว มันตัวกลมโปร่งใส ผิวเรียบตึงเปล่งประกายอ่อนๆ กลิ่นหอมหวานของดอกไม้แผ่ออกมาจากร่างกายพร้อมกันกับพลังชีวิตที่เข้มข้น
หนอนที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอตัวนี้มีพลังชีวิตแข็งแกร่งเทียบเท่ากับที่กบแก้วเพลิงเนตรขาวปล่อยออกมา! หวูอู๋ยี่หยิบเอาตำราเล่มหนาออกมาจากแหวนมิติ ที่ปกตำราเขียนว่า “บันทึกวิญญาณโบราณ”
“นี่เป็นตำราเก่าของตำหนักเมฆาม่วง รายละเอียดของสัตว์โบราณต่างๆในทวีปจิวโจวล้วนถูกบันทึกเอาไว้”
หวูอู๋ยี่เปิดพลิกหน้าตำราอย่างรวดเร็วและเริ่มเปรียบเทียบหนอนจากภาพในตำราแต่ละหน้า
แต่หลังจากที่เปิดผ่านไปหลายหน้า นางก็ไม่ได้พบกับหนอนที่คล้ายกันเลย นางพูดเสียงค่อย
“สงสัยข้าคงจำผิด”
ซือหยูเสียความมั่นใจเมื่อได้ยินนางพูดช่นนั้น ถ้าหากหนอนไม่ได้อยู่ในบันทึกตำรา หนอนนี้ก็อาจจะเป็นแค่หนอนธรรมดาๆเท่านั้น
“ข้าดีใจนะที่เจ้าจะช่วยข้า แต่มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอกว่ามันจะเป็นหนอนวิญญาณโบราณหรือไม่”
ซือหยูยิ้มอย่างอบอุ่นเพื่อหยุดบรรยากาศอันกระอักกระอ่วน
หวูอู๋ยี่หน้าแดงระเรื่อ นางพูดด้วยความเขินอาย
“ข้าก็แค่สงสัยเรื่องหนอนวิญญาณโบราณเท่านั้น…ข้าไม่ได้ทำเพื่อนายท่าน…”
เสียงของนางแผ่วเบาจนแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่เชื่อคำที่ตัวเองพูดออกมา นางแอบตำหนิตัวเองอยู่ภายในกับความผิดหวัง
“ข้าไม่ได้ช่วยอะไรนายท่านหรอก”
หวูอู๋ยี่ก้มหน้าเก็บตำราลงไป
ในตอนนั้น กิเลนน้อยกัดตำราและชิงออกมาจากมือนาง จากนั้นมันก็ใช้ขาขวาคู่หน้าเปิดตำราอย่างรวดเร็ว
ดูมันค่อนข้างเอาจริงเอาจังในการเปิดตำราอย่างมาก ผ่านไปครู่หนึ่ง กิเลนน้อยหยุดในหน้าที่เก้าและชี้ไปที่ภาพในตำรา มันเริ่มทำท่าทางให้ซือหยู
“เจ้าจะบอกว่าหนอนที่พวกข้าเห็นคือหนอนวิญญาณตัวเดียวกับในรูปรึ?”
ซือหยูตกตะลึง เขาหยิบเอาตำราไปอ่านดูอย่างละเอียด
หวูอู๋ยี่เดินตามเขามาดูตำราด้วย นางมองดูภาพและคำอธิบายและถามด้วยความสับสน
“นี่คือหนอนวิญญาณ…ผีเสื้อโกลาหลหลากสีรึ?”
ภาพที่เก้านั้นดูมีชีวิตชีวาและมีผีเสื้อที่ดูงดงามอย่างมากอยู่ด้วย ปีกของมันเปล่งประกายเป็นแสงเก้าสีสดใส ปีกนั้นดูโปร่งใสราวกับปีกนางไม้ที่สวยงามมาก ซือหยูมองความสวยงามจนเผลอไป
“เป็นไปไม่ได้หรอกที่มันจะเป็นหนอนผีเสื้อวิญญาณตัวนี้”
หวูอู๋ยี่ทิ้งความคิดถึงความเป็นไปได้และส่ายหน้าอย่างมั่นใจ แต่กิเลนน้อยกลับโบกขาหน้าเพื่อแสดงความมั่นใจของมันเอง
“เป็นไปไม่ได้หรอก! ผีเสื้อโกลาหลหลากสีเกิดจากหนอนวิญญาณโบราณที่สูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
หวูอู๋ยี่มีความรู้เรื่องสายพันธุ์สัตว์อย่างดี นางค่อนข้างรอบรู้กว่าคนอื่น
“ผีเสื้อโกลาหลไม่ได้ดูเหมือนกับหนอนตัวนี้เลย หนอนของผีเสื้อโกลาหลจะดูเหมือนมนุษย์ต่างหาก”
หวูอู๋ยี่พูดช้าๆ
“ตอนที่มันเกิด มันจะเหมือนกับมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่ต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะกลายเป็นผีเสื้อ มันไม่มีขั้นที่เป็นหนอนเลย”
นั่นทำให้ซือหยูสงสัยในหลายอย่าง…
มีหนอนวิญญาณที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ตั้งแต่เกิดอยู่ด้วยรึ? แล้วมันจะเปลี่ยนจากร่างมนุษย์เป็นผีเสื้อในเวลาต่อมาได้จริงๆหรือ?
ถ้าหากเป็นเรื่องจริงก็มีโอกาสสูงมากที่หนอนตัวนี้จะไม่ใช่หนอนผีเสื้อโกลาหล! แต่ทำไมกิเลนน้อยถึงได้มั่นใจนักเล่า?
แต่ทันใดนั้นเอง หวูอู๋ยี่ตาลุกวาว
“ข้าจำได้แล้ว!”
นางอุทานออกมา
“ข้าจำได้แล้วว่าเคยเห็นหนอนแบบนี้มาก่อน! มันไม่ใช่ผีเสื้อโกลาหลหลากสีแต่เป็นผีเสื้อโกลาหลหลากสีที่กลายพันธุ์! พวกสายพันธุ์แท้จะถือกำเนิดเป็นตัวอ่อนร่างมนุษย์ แต่พวกที่กลายพันธุ์จะเกิดมาเป็นหนอน! ข้าจะได้แล้วว่ามีหน้าในตำราที่ถูกฉีกไป และหนอนนี่ก็ถูกบันทึกอยู่ในหน้าเหล่านั้น!”
เช่นนั้นแล้ว นี่ก็เป็นหนอนวิญญาณที่จะเติบโตไปเป็นผีเสื้อโกลาหล! ซือหยูตกตะลึงกับความจริงข้อนี้
หวูอู๋ยี่เห็นความตื่นเต้นของเขาและพูดเตือน
“นายท่านไม่ควรให้ใครรู้เรื่องนี้ หนอนวิญญาณทุกตัวล้วนมีพลังที่พิเศษจากครั้งโบราณ ซึ่งหมายความว่าพลังของมันแข็งแกร่งมาก นายท่านอาจจะเป็นอันตรายถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ พวกเขาอาจจะฆ่านายท่านเพื่อให้ได้มันมา!”
ซือหยูพยักหน้าและถาม
“แล้วหนอนนี่มีพลังพิเศษอะไรล่ะ?”
“เส้นไหม!”
ใบหน้าของหวูอู๋ยี่ทั้งแสดงความริษยาและตื่นเต้น
“ไหมที่ทำจากมันจะแข็งแรงและทนทานเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าแม้แต่อสูรเนรมิตรก็ตัดมันให้ขาดไม่ได้!”
ซือหยูเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดเลยว่าไหมที่เกิดจากหนอนผีเสื้อตัวนี้ล้ำค่ายิ่งนัก!
“แต่ก็มีผีเสื้อโกลาหลที่กลายพันธ์ุอยู่มาก มันแบ่งได้เป็นเก้าระดับ มีเพียงระดับเก้าเท่านั้นที่จะสร้างเส้นไหมที่ทรงพลังแบบนั้นได้…”
หวูอู๋ยี่อธิบาย
ซือหยูไม่ได้แปลกใจ เขาถามต่อ
“แล้วเราจะวัดระดับของหนอนตัวนี้ยังไงล่ะ?”
หวูอู๋ยี่หยิบเอาชามขนาดเท่าฝ่ามือมาแทนคำตอบ ชามนี้มีลายสัตว์อสูรเก้ารูปแบบเขียนเอาไว้
“นี่เป็นชามที่ใช้ทดสอบคุณสมบัติวิญญาณ ถ้าหากวางหนอนลงไป ภาพเขียนสัตว์อสูรที่วาดไว้บนชามจะส่องแสง จำนวนสัตว์อสูรที่ส่องแสงแสดงถึงระดับของมัน นี่เป็นวิธีที่มักจะใช้ในจิวโจว มันแม่นยำเป็นอย่างมาก”
หวูอู๋ยี่วางชามลงและหยิบเอาหนอนใส่ชาม เมื่อหนอนลงสู่ชามมันก็ไม่ได้แตกตื่นเลย
ทั้งหวูอู๋ยี่กับซือหยูเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทั้งคู่สงสัยถึงระดับของหนอนวิญญาณ และขณะเดียวกันชามก็เริ่มส่องแสงออกมา
แสงสีแดงอ่อนส่องสว่างมาจากภาพเขียนสัตว์อสูรเพียงตัวเดียว หวูอู๋ยี่ตัวแข็งทื่อ นางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ระดับหนึ่ง ระดับต่ำสุด…”
นางพูดช้าๆ
ซือหยูผิดหวังเมื่อหมดหวังจะได้ไหมที่รับพลังโจมตีจากอสูรเนรมิตรได้
“หนอนกลายพันธุ์ระดับหนึ่งมีสายเลือดของผีเสื้อโกลาหลแค่จางๆเท่านั้น ไหมที่ได้แย่ยิ่งกว่าไหมจากหนอนธรรมดาๆเสียอีก”
หวุอู๋ยี่หยุดพูดไปครู่หนึ่งและถามเบาๆ
“นายท่าน เราจะทำอย่างไรกันดี?”
นางต้องการจะสื่อว่าเก็บหนอนตัวนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ซือหยูมองดูหนอนและลังเลอยู่บ้าง เขาหันไปมองหน่อไผ่ที่ซีดเซียวและเริ่มเหี่ยวเฉา
“เลี้ยงมันไปก่อนก็แล้วกัน เอาหน่อไผ่ต้นนั้นให้มันกิน ยังไงซะมันก็ไม่รอดอยู่แล้ว”
เพราะหนอนตัวนี้ได้กินไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ไปแล้วหนึ่งต้น คงน่าเสียดายที่จะโยน