The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 578
ซือหยูใช้มือส่งพลังผ่านวัตถุดิบสีเงินเพื่อกำจัดจิตวิญญาณของหุ่นเชิดที่ยังหลงเหลืออยู่ ในตอนนี้ หุ่นเชิดสีเงินได้กลายเป็นเพียงก้อนเหล็กที่ไร้ชีวิต
วัตถุดิบเหล็กกล้าชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะพบเจอและได้มาครองง่ายๆ ซือหยูไม่มีทางพลาดอะไรไปอยู่แล้ว เขาค้นทั่วร่างของมันและพบกับไม้ท่อนหนึ่ง มันคือไม้หกทิศที่ไป่หยีเจี้ยนเคยใช้!
มันมีฎีกาสวรรค์ของเทียนจี่จื้อที่คาดเดาการโจมตีของศัตรูได้! และมันยังมีพลังป้องกันมหาศาล มันน่าอัศจรรย์มาก!
ไป่หยีเจี้ยนถูกหุ่นเชิดสีเงินกลืนกินเข้าไป สมบัติชิ้นนี้จึงตกเป็นของหุ่นเชิดสีเงิน และในตอนนี้ก็กลายเป็นของของซือหยู
ซือหยูรู้สึกหวั่นใจ แม้เขาจะไม่ต้องการสมบัติที่ใช้ป้องกันตัวเพิ่มอีก เขาก็รู้ว่าเซี่ยนเอ๋อกับเซี่ยจิงหยูไม่ได้เป็นอย่างเขา
เมื่อค้นจนเสร็จ ซือหยูเก็บวัตถุดิบสีเงินไว้ในมุกวิญญาณเก้าหยก เขาเริ่มค้นหาตามพื้น
หลังจากที่ค้นจนทั่ว ซือหยูเจอแหวนทองปราบมารของชายแก่ แหวนทองปราบมารที่ถูกใช้งานหลายครั้งเริ่มมีสีเทาเกิดขึ้น นั่นแสดงให้เห็นถึงพลังที่ลดลงไป
เมื่อเจอแหวน ซือหยูหยุดการค้นหา เขาละสายตาไปยังราชาปีศาจ
“ทำไมเจ้ายังไม่หนีไปอีก?”
ราชาปีศาจเงยหน้ามองท้องฟ้าเปิดกว้าง เขายิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้าข้าไปได้ ข้าจะอยู่ที่นี่รึ ข้าจะเสี่ยงมาให้เจ้าเจอตัวทำไม?”
“จะพูดอะไรกันแน่?”
ซือหยูถามกลับ
ราชาปีศาจหัวเราะอย่างขมขื่น
“ทางออกต้องต้องใช้คนที่มีพลังในขอบเขตภูติผ่าน พลังข้าลดลงมาขนาดนี้ ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะช่วยข้า!”
ซือหยูไม่ขยับตัว
“ข้าจะช่วยเจ้าไปทำไม?”
“หึหึ แน่ล่ะ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วยเปล่า ตงบอกมาว่าเจ้าอยากได้สิ่งใด?”
ราชาปีศาจถาม
ในที่สุดซือหยูก็ยิ้มออกมา
“พูดได้ดี! เอาล่ะ ข้าต้องการของสิ่ง! อย่างแรกคือสมบัติอรหันต์! อย่าบอกว่าเจ้าทิ้งไว้ในทวีปเฉินหลงกับตระกูลกุย ข้าไม่เชื่อเจ้าแน่!”
ราชาปีศาจตัวแข็งทื่อ เขาบอกชายแก่ไปว่าสิ่งนั้นทิ้งไว้ในทวีปเฉินหลง แต่ซือหยูสงสัยกับเรื่องนี้มานานแล้ว
ราชาปีศาจพยักหน้าหลังจากลังเล
“ก็ย่อมได้ ถ้าเจ้าช่วยข้าออกไป สิ่งนั้นก็จะเป็นของเจ้า!”
สมบัตินี้อยู่กับตัวเขาจริงๆ เขาเพียงแค่พูดหลอกเพื่อปกป้องมันจากชายแก่
ซือหยูยังไม่จบกับการร้องขอ
“อย่างที่สอง ให้วิชาบ่มเพาะที่ควบคุมภูติได้กับข้ามา! ราชาปีศาจอย่างเจ้ารู้จักภูติดีกว่ามนุษย์ อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่มี!”
ราชาปีศาจใจหาย
“เจ้าคิดจะควบคุมข้าเรอะ? กล้าดียังไงมาขอวิชาที่ใช้ควบคุมภูติกับข้า? เจ้าหนู เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน?”
ซือหยูหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าข้าอยากจะใช้เจ้า ทำไมข้าจะต้องเสียเวลาต่อรองกับเจ้าตอนนี้เล่า? ไม่ยากหรอกที่ข้าจะจับเจ้าในสภาพแบบนี้!”
ฟึ่บ!
ซือหยูเหลือบมองกิเลนน้อย กิเลนน้อยเข้าใจในทันที กิเลนน้อยพ่นพลังออกมาจากปาก
ในพลังนั้น ร่างเล็กๆร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา นั่นคือจางตี๋เก้อ!
ใบหน้าที่เลอะเทอะของนางเผยความชิงชังและโกรธแค้น นางที่รู้ตัวว่าถูกเคลื่อนตัวออกมายังภายนอกข่มอารมณ์ของตัวเองและแสร้งทำเป็นยินดีในทันที
ราชาปีศาจถอนหายใจด้วยความโล่งอก ภูติสวรรค์เกือบจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่! ราชาปีศาจเข้าใจแล้วว่าซือหยูกำลังจะทำอะไร
“เหตุนี้เองสินะ! ถึงข้าจะไม่ได้ใช้วิชา ข้าก็เคยเจอกับพวกเด็กที่ไม่เชื่อฟังมาบ้าง! ข้ารู้วิธีที่จะฝึกมันให้เชื่อฟัง ถ้าเจ้าไม่ถือสาก็เอาบันทึกของข้าไปอ่านสิ”
ราชาปีศาจตอบ
เขาหยิบเอาสร้อยหยกออกมาวางบนหน้าผาก เขาส่งกระแสจิตเข้าไป กระแสจิตนี้มีวิธีการในการควบคุมภูติที่ราชาปีศาจเองเคยทำ
ซือหยูยอมรับมันและวางลงบนหน้าผากของตัวเอง สีหน้าเขาดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก
จางตี๋เก้อมองสิ่งที่เกิดขึ้น นางโกรธแค้นในใจเมื่อได้ยินว่าซือหยูต้องการที่จะควบคุมนางโดยสมบูรณ์ นางไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แต่นางก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ ซือหยูที่เห็นความชิงชังในแววตานางมองกลับด้วยสายตาเย็นชา
“เอาล่ะ ส่งสมบัติอรหันต์มา ข้าจะส่งเจ้าออกไป!”
ราชาปีศาจหยิบเอากล่องหยกออกมาอย่างไม่ใส่ใจ กล่องนี้มีสบัติอรหันต์สีทองอยู่ด้วย พลังที่มีนั้นเข้มข้นกว่าแหวนทองปราบมารอย่างมาก!
“กล่องหยกนี้มีจิตวิญญาณของข้าอยู่เสี้ยวหนึ่ง เพียงแค่คิด มันจะระเบิดออกมา จากนั้นสิ่งที่เจ้าได้ไปจะถูกทำลาย!”
ราชาปีศาจโยนกล่องหยกไปให้ซือหยู
“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่ระเบิดหลังจากที่เจ้าไปถึงจิวโจวแล้วเล่า?”
ซือหยูถาม
ราชาปีศาจหัวเราะ
“เจ้าไม่ต้องห่วง จิวโจวทำอะไรกับกระโจมเทพสวรรค์นี้ไม่ได้ ถ้าข้าไปถึงจิวโจว ข้าจะควบคุมเสี้ยววิญญาณไม่ได้อีกแล้ว พอถึงตอนนั้นเจ้าก็กำจัดเสี้ยววิญญาณของข้าไปซะ”
ซือหยูตรวจดูกล่องอย่างละเอียด เขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อแน่ใจว่าเสี้ยววิญญาณสามารถกำจัดออกไปได้
“จางตี๋เก้อ มานี่!”
ซือหยูยื่นมือและสละแก่นโลหิตหนึ่งหยดของตัวเองผสมกับพลังสายฟ้า จากนั้นจึงใช้พลังทั้งสองผสมกันสร้างรอยสัญลักษณ์ตราลงบนหน้าผากของนาง
รอยสีแดงดั่งโลหิตปรากฏที่ระหว่างคิ้ว รอยนี้เป็นดั่งเมฆาเพลิง มันทำให้นางที่น่ารักอยู่แล้วดูมีสิ่งให้มองดู
“ไปส่งเขาที่จิวโจวซะ!”
ซือหยูสั่งอย่างเย็นชา
จางตี๋เก้อตาเป็นประกาย ดวงตาของนางดูตื่นเต้นแม้จะไร้อารมณ์ นางตะโกนตอบ
“ได้เลยนายท่าน!”
นางคว้าตัวราชาปีศาจและมุ่งหน้าไปยังทางออกเบื้องบน ทางออกที่อสูรได้ระเบิดออกถูกปิดไปมากแล้วในครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้เหลือเพียงที่ว่างมากพอจะได้คนคนเดียวผ่าน
พลังภูติของจางตี๋เก้อสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเมื่อนางโยนราชาปีศาจไปยังทางออก ม่านแสงฉาบม่านตัวราชาปีศาจไป เขาออกไปได้สำเร็จ!
แต่ก่อนที่เขาจะออกไป ราชาปีศาจหันกลับมามองซือหยูด้วยแววตาลึกล้ำ ท่าทางของเขายากจะอ่านออก ซือหยูบอกไม่ได้เลยว่ามันเป็นความขอบคุณหรือมีสิ่งอื่นใดอยู่อีก
ราชาปีศาจพูดอีกครั้ง
“คงเป็นการดีถ้าเจ้าออกจากทวีปเฉินหลงให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นมันจะสายเกินไป!”
เขาพูดจบและหายตัวไปโดยสมบูรณ์
จางตี๋เก้อตาเป็นประกายเมื่อแยกจาก นางพยายามจะตามราชาปีศาจไป!
ซือหยูตะโกน
“ข้ารู้น่า!”
เมื่อเขาพูดจบ เพียงแค่ประสงค์ในใจ เขาก็ทำให้เมฆาเพลิงที่ระหว่างคิ้วของจางตี๋เก้อแผดเผาออกมา! ความเจ็บปวดนั้นส่งตรงไปถึงดวงวิญญาณ จางตี๋เก้อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและร่วงลงมาจากฟ้า
แต่จางตี๋เก้อก็กัดฟัน
“อ๊ะ นี่มันวิชาสายฟ้าโลหิตที่ใช้ควบคุมภูติผี! ข้าเคยใช้วิชานี้แล้ว ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง!”
จางตี๋เก้อรู้จักผนึกเมฆาเพลิงและรู้วิธีควบคุมมัน! จางตี๋เก้อรวบรวมพลังภูติทั้งหมดที่มีไปที่กลางหน้าผาก
พลังภูติโอบล้อมเมฆาเพลิงที่ระหว่างคิ้วเอาไว้! แม้ว่าสายฟ้าในเพลิงเมฆาจะละลายหายไปจากพลังภูติ…มันก็ยังเร็วไม่พอ
จางตี๋เก้อใช้เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดพุ่งไปยังทางออกแม้จะเจ็บปวด ซือหยูที่มองดูนางสีหน้าไม่เปลี่ยนไป
เขาถามออกมา
“เจ้าไม่ได้ลืมอะไรไปหรอกรึ?”
วิญญาณของนางยังมีวิชาดวงใจอัสนีที่ซือหยูติดเอาไว้! วิญญาณนางจะถูกทำลายด้วยความคิดเดียวของซือหยู!
แต่จางตี๋เก้อดูจะไม่กลัว นางกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้าก็ลองดูสิ!”
ซือหยูอยากจะลองเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ต้องตกใจที่เขาเชื่อมต่อกับสายฟ้าที่อยู่ในดวงวิญญาณของนางได้!
“หึหึ ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนเจ้าคิดไม่ถึงล่ะสิ! เจ้ามันไร้เดียงสานักที่เชื่อว่าจะบงการข้าได้จากแค่การทิ้งสายฟ้าในวิญญาณ!”
จางตี๋เก้อหัวเราะอยู่นานก่อนที่นางจะชี้ไปยังกลางหน้าผากของตัวเอง
นางนำรอยเมฆาเพลิงออกพร้อมกับสายฟ้าในวิญญาณ! นางทำลายทั้งสองพลังด้วยนิ้วทั้งห้า
นางมีประสบการณ์มามากมายในหนทางการต่อสู้ กับคนธรรมดา การใส่ผนึกลงในวิญญาณนั้นจะทำให้ควบคุมกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่กับจางตี๋เก้อ นางมีวิธีที่จะเป็นอิสระจากมัน!
นางเก็บซ่อนเรื่องนี้มาโดยตลอด นางแสร้งภักดีต่อซือหยู ตอนนี้นางทำตามแผนสำเร็จและกำลังจะเป็นอิสระ! นางเกือบจะได้กลับจิวโจวแล้ว!
แต่ซือหยูกับดูใจเย็นและมั่นคง เขาถามอย่างเยือกเย็น
“ข้าไร้เดียงสาจริงๆน่ะรึ?”
จางตี๋เก้อใจเต้นแรง นางรู้สึกถึงลางร้าย คำพูดกับท่าทางของเขาทำให้นางหนาวไปจนถึงกระดูก
จากนั้นนางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดในหัว เพลิงสีขาวเริ่มปะทุจากดวงวิญญาณของนาง! วิญญาณของนางกำลังถูกเพลิงวิญญาณเผา!
จางตี๋เก้อร้องด้วยความเจ็บปวดและร่วงลงมาจากฟ้า! นางกระแทกพื้นอย่างแรง หลุมใหญ่เกิดขึ้นจากแรงกระแทกนั้น
โลหิตไหลออกมาจากปาก ร่างกายของนางเจ็บปวดอย่างรุนแรง นางตะโกนร้อง
“หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้! ข้ายอมแล้ว ข้าผิดไปแล้ว!”
แต่ซือหยูไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่จ้องมองนางอย่างเยือกเย็น
“วิชาสายฟ้าโลหิตไม่ใช่สายฟ้าโลหิตธรรมดาๆ มันมีเพลิงวิญญาณของข้าที่ข้าอัดลงไปในจิตใจเจ้า! ดูเหมือนว่าการผ่านร้อนหนาวของเจ้าจะยังไม่เท่ากับข้านะ!”
ซือหยูโบกมือนำเอาเพลิงวิญญาณส่วนมากออกจากร่างจางตี๋เก้อ แต่ก็ยังคงมีเพลิงส่วนน้อยที่เผาวิญญาณของนางอยู่
ซูม
แสงสีทองเปล่งประกาย ซือหยูโยนแหวนทองปราบมารไปที่นาง มันรัดนางจนแน่น เขาโยนนางลงในมุกวิญญาณเก้าหยกทันที
เขาใช้ความคิดปิดนางเอาไว้ในมุมหุบเขาและบังคับให้วิญญาณของนางถูกเพลิงวิญญาณที่ยังเหลืออยู่เผาต่อไป จางตี๋เก้อเจ็บปวดโดยตลอด ใบหน้านางขาดซีด นางอ้อนวอนเขาไม่หยุด
“ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว โปรดปล่อยข้าเถอะ นายท่าน!”
แม้นางจะดูน่าเวทนา ซือหยูก็ไม่แสดงความอ่อนข้อ แววตาเขาเยือกเย็นดังเดิม
“คิดถึงสิ่งที่เจ้าทำลงไปซะ ค่อยคุยกันที่เจ้าพร้อมจะเรียกข้าว่านายท่าน”
จางตี๋เก้อหยุดอ้อนวอน น้ำตานางไหลออกมาในทันที
“คนอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาทำให้ข้าเป็นทาส? รอให้นายข้าเจอตัวเจ้าก่อนเถอะ เขาจะทำให้เจ้าอ้อนวอนขอความตาย!”
ผู้เป็นนายรึ? โอ้? ซือหยูไม่รู้เลยว่าจางตี๋เก้อยังมีนายคนอื่นอยู่อีก
“หึหึ อย่างนั้นก็ดี ข้าจะได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสองคนซะ!”
จากพลังของซือหยูในตอนนี้ จางตี๋เก้อคงช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก เหตุที่เขาทรมานนางก็เพื่อลงโทษที่นางประมาทในการต่อสู้กับอสูร นางเกือบจะทำให้ทุกคนตาย…นั่นทำให้ซือหยูโกรธจัด!
จากนั้น ซือหยูตัดสินใจที่จะพักไปสักระยะเพื่อฟื้นฟูพลัง ตอนนี้หุ่นเชิดสีเงินตายไปแล้ว ลูกหลานคนเฝ้าสมบัติเองก็ตายหมด และเขาเพิ่งจะจัดการอสูรที่น่ากลัวที่สุดไป!
ซือหยูรู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องแรงกดดันในอก เขาผ่อนคลายลง เขาถอนหายใจยาวและยืนขึ้นมองยอดเขาทั้งห้าก่อนจะทะยานสู่นภา!